“อาเมี่ยว อาเมี่ยว อ้อ เจ้าอยู่นี่เอง แหะๆๆๆ”
ฝูเฟยเมี่ยวมองสำรวจสตรีวัยกลางคนรูปร่างผอมบางตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า พบว่านางน่าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าบ้านของพี่สาวนาง ดูจากอาภรณ์ที่สวมใส่ และเครื่องประดับอันมีปิ่นหยกและกำไลหยก
“อ้อ ท่านป้ารองฉีนั่นเอง มาถึงนี่ไม่ทราบว่ามีอันใดหรือเจ้าคะ หรือว่า…มาเยี่ยมหลานชายที่เพิ่งเกิดใหม่?” หญิงสาวเลิกคิ้วพลางถาม ตามธรรมเนียมแล้วหากผู้ที่เป็นญาติกันมาเยี่ยมเยียนถามข่าว หรือมาดูเด็กย่อมจะต้องมีของติดไม้ติดมือมาให้เด็ก ถือเป็นธรรมเนียมที่คนที่นี่ปฏิบัติกันมา แต่นี่…ในมือของสตรีร่างบางดั่งกิ่งหลิวผู้นี้กลับว่างเปล่า
ฉีลี่จูยิ้มแห้งๆ พลางเอ่ย
“เอ่อ พอดีข้ารีบ เลยว่าจะรีบมารีบไป ไม่ทันได้เตรียมของอะไรมาเยี่ยมลูกของเจ้าหรอก ว่าแต่…เอ่อ เด็กแข็งแรงดีใช่หรือไม่?”
ฝูเฟยเมี่ยวพยักหน้าเบาๆ ใบหน้าของนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ท่านป้ารองฉี มีธุระอะไรกับข้าหรือไม่?”
สตรีวัยกลางคนร่างบางทำท่าอึกอักเล็กน้อย ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเอ่ยออกมา
“นี่ อาเมี่ยว เจ้าตัดสินใจได้หรือยังเล่า เรื่องอาฟางหรงน่ะ เมื่อเช้าข้าเข้าไปในเมือง เจอกับลู่ฮูหยิน นางบอกว่าตอนนี้ยังคงต้องการเด็กที่จะเลี้ยงเอาไว้เป็นบ่าวรับใช้บุตรสาวบุตรชายนางอยู่ นี่…นางให้ค่าตัวตั้งยี่สิบตำลึงเชียวนะ เงินยี่สิบตำลึงนี้เจ้าเอาไปสิบตำลึง ส่วนข้าผู้เป็นนายหน้าเอาไปสิบตำลึง เจ้าว่าดีหรือไม่” ฉีลี่จูพูดหน้าระรื่น นางเป็นสตรีหม้าย สามีตาย จำเป็นต้องหาเงินไปเลี้ยงลูกถึง 4 คน อาชีพของนางก็คือการเป็นนายหน้าหาเด็กไปขายเป็นทาสรับใช้ให้แก่บ้านของพวกเศรษฐีคหบดีในเมืองต่างๆ ซึ่งเป้าหมายของการรับซื้อเด็กของคนพวกนั้นล้วนมีหลายจุดประสงค์ ทั้งให้เป็นบ่าวรับใช้ เป็นสาวใช้อุ่นเตียง หรือแม้กระทั่งขายต่อเข้าหอนางโลม
ฝูเฟยเมี่ยวยิ้มเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
“ท่านป้ารองฉี ข้าบอกท่านไปกี่ครั้งแล้วว่าข้าไม่เคยคิดจะขายลูกกิน ข้าจะทนได้อย่างไรหากต้องขายลูกเข้าไปเป็นบ่าวรับใช้บ้านคหบดี โดนโขกสับสารพัด”
ฉีลี่จูมีท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย วันนี้สีหน้า ท่าทางและน้ำเสียงของอดีตน้องสะใภ้นั้นเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
“เอ่อ อาเมี่ยว ใจเย็นๆ ก่อน ท่านคหบดีลู่และฮูหยินนั้นใจดีมากนะ อีกอย่างข้าเห็นว่าเจ้ากำลังลำบาก อาซวน เอ่อ… เขากับเจ้าก็เพิ่งจะเลิกรากันมิใช่หรือ อีกอย่างเจ้าก็เพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ ข้าเห็นว่าเจ้าคงขัดสนเงินทอง ลำพังตัวเองก็ยังไม่แข็งแรง จะทำมาหากินอันใดได้ นี่ข้าหวังดีหรอกนะถึงได้มาถาม” หางเสียงของฉีลี่จูนั้นฟังดูแข็งกระด้างคล้ายๆ กับไม่พอใจ
ฝูเฟยเมี่ยวแสยะยิ้ม ก่อนจะฉะพี่สาวคนรองของอดีตสามี
“ฉีลี่จู แล้วลูกที่บ้านของเจ้าล่ะ เห็นว่าเจ้ามีลูกตั้ง 4 คนมิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่เอาลูกเจ้าไปขายสักคนสองคนเล่า”
คราวนี้ฉีลี่จูถึงกับเลือดขึ้นหน้า จู่ๆ อดีตน้องสะใภ้หัวอ่อนผู้นี้มากล้าขึ้นเสียงกับนางได้อย่างไร สตรีร่างบางถึงกับชี้หน้าฝูเฟยเมี่ยว
“ชิชะ นี่ข้าอุตส่าห์หวังดี ไปสอบถามมาให้ เห็นว่าเจ้ายากจนข้นแค้นไม่มีจะกินหรอกนะ ถึงยอมช่วย นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะร้ายกาจเช่นนี้ กล้าบอกให้ข้าเอาลูกของข้าไปขายเช่นนั้นรึ?”
“เอ้า!ก็ทีลูกคนอื่นเห็นท่านอยากยุให้ขายนักมิใช่รึ เห็นบอกว่าคนรับซื้อนั้นใจดีนักมิใช่รึ เหตุใดจึงไม่ขายลูกของตัวออกไปเล่า ลูกจะได้ไปอยู่ในที่ดีๆ อ้อ…ที่เจ้าบอกว่าข้ายากจนข้นแค้นน่ะ ส่วนหนึ่งก็เพราะถูกน้องชายสารเลว อดีตสามีเฮงซวยมันปอกลอกเอาอย่างไรเล่า พอได้ดิบได้ดีกลับเลือกที่จะถีบหัวส่งข้าและลูกๆ ฝากไปบอกมันด้วย อย่าคิดว่าจะเสวยสุขอยู่ได้นาน อีกไม่นานเรื่องที่เขาเอาเปรียบสตรี ทิ้งลูกทิ้งเมียจะต้องไปถึงหูฮ่องเต้แน่นอน แล้วเจ้าลองคิดดูสิ ว่าน้องชายตัวดีของเจ้าจะได้รับผลเช่นไร ฮ่าๆๆๆ เห็นทีความพยายามที่ไปร่ำเรียนมาหลายปีคงไม่มีประโยชน์แล้วตอนนี้” ฝูเฟยเมี่ยวเดินหน้าขึ้นมาประจันหน้ากับพี่สาวร่างบางของอดีตสามีก่อนที่จะกระแทกหน้าอกของตนกับหน้าอกเล็กๆ ของอีกฝ่าย
ฉีลี่จูเห็นเช่นนั้นก็ถอยกรูดจนตกคันนาลงไปคลุกเคล้ากับโคลน นางล้มกลิ้งลงไป สองมือตะกุยตะกายจะขึ้นมาจากโคลนนั้นให้ได้
“เอ้า!เหตุใดพี่น้องสกุลฉีถึงชอบลงไปเล่นโคลนในนาของข้ากันจังนะ ดูสิ รวงข้าวของข้าเสียหายหมดแล้ว อย่าลงไปนอนเล่นนาน รีบขึ้นมาเดี๋ยวข้าวข้าจะตายเสียก่อน ฮ่าๆๆๆ” ฝูเฟยเมี่ยวหัวเราะเสียงดัง นางเดินจากไปสองสามก้าวก่อนที่จะหยุดและหันกลับมามองฉีลี่จูที่กำลังปีนคันนาขึ้นมาได้
เวลานี้สภาพของสตรีวัยกลางคนร่างบางนั้นดูมอมแมมสิ้นดี ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง อาภรณ์นั้นเลอะไปด้วยโคลนตม ใบหน้าของฉีลี่จูนั้นแดงก่ำด้วยโมหะและโทสะ นางคิดจะพ่นสารพัดคำด่ามาตอกกลับอดีตน้องสะใภ้ ทว่า…คำพูดเหล่านั้นกลับจุกอยู่ที่คอ
“เจ้า…เจ้า…ฮื่ย!”
“ข้าทำไมรึ?อ้อ…ข้าจะบอกเจ้ากับพี่สาวตัวดี และน้องชายตัวซวยของเจ้าด้วยว่านับจากนี้เป็นต้นไปห้ามมาเหยียบบ้านข้า ห้ามมาเหยียบที่ดินของข้าอีก ข้ารู้สึกว่ามันเป็นเสนียดจัญไร แล้วเจ้าน่ะ ขึ้นมาได้แล้วก็รีบไสหัวไปซะ ไป!” ฝูเฟยเมี่ยวชี้นิ้วไล่
ฝ่ายฉีลี่จูลนลานวิ่งหนีจนสะดุดขาตนเองล้มลงไปอีกรอบ นางไม่เคยเห็นอดีตน้องสะใภ้ดูน่ากลัวและปากร้ายเช่นนี้มาก่อน ที่ผ่านมาฝูเฟยเมี่ยวเป็นสตรีหัวอ่อน โง่งม โดนเอาเปรียบและโดนหลอกใช้สารพัดมิใช่หรือ ฉีลี่จูนั้นทั้งผิดหวังทั้งเสียหน้า คราแรกนางนึกว่าจะเอาเรื่องที่ฝูเฟยเมี่ยวเพิ่งคลอดลูกมาเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายขายบุตรสาวคนโตไปเป็นบ่าวรับใช้ที่บ้าวของคหบดีลู่ได้ซะอีก ชวดทั้งเงิน 10 ตำลึง อีกทั้งยังโดนด่า โดนไล่ราวกับเป็นหมูเป็นหมา มันน่าเจ็บใจชะมัด ฝากไว้ก่อนเถอะ
ฝูเฟยเมี่ยวถอนหายใจยาว คราวนี้สองป้ามหาภัยพี่สาวของอดีตสามีเฮงซวยของเจ้าของร่างเดิมคงจะไม่กล้ามารังแกนางและลูกๆ อีกนะ แต่เรื่องนี้ยังไม่อาจไว้ใจได้ อย่างไรนางและลูกๆ ก็ต้องระวังตัว
ตอนนี้ฝูฟางหรงที่เฝ้าน้องอยู่บนบ้านนั้นผล็อยหลับไปพร้อมๆ กับผู้เป็นน้องชาย นับว่านางนั้นยังโชคดีที่บุตรชายคนเล็กนั้นเลี้ยงง่าย ไม่งอแง ตอนนี้ฝูเฟยเมี่ยวกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรได้บ้างจึงจะสร้างฐานะของครอบครัวให้ดีขึ้น เลี้ยงลูกทั้งสองของเจ้าของร่างเดิมนี้ได้เป็นอย่างดี
ภายในหมู่บ้านเฉียงไฉ่แห่งนี้นั้นมีบ้านของผู้คนอยู่ราวๆ50 หลังคาเรือน บ้านของฉีเจียวเหม่ยและฉีลี่จูนั้นอยู่ในหมู่บ้าน ส่วนบ้านของฝูเฟยเมี่ยวนั้นอยู่ด้านนอกหมู่บ้านเพราะปลูกอยู่ในที่นาจำนวนสิบหมู่ของยายนาง
“นี่ พวกเจ้าคอยดูเอาเถอะ อาเมี่ยวน่ะจะเลี้ยงลูกไปได้สักกี่น้ำ ฮึ!นางน่ะอวดดียิ่งนัก” ฉีเจียวเหม่ยเปิดประเด็นหัวข้อสนทนา ซึ่งจะนำไปสู่การนินทา
“ข้าก็เห็นเป็นเช่นนั้น สตรีโง่งม หัวอ่อนเช่นนางจะทำอันใดได้ ฉีห่าวซวนน่ะคิดถูกแล้วล่ะที่เลิกรากับนางได้ มิเช่นนั้นฝูเฟยเมี่ยวก็จะเป็นตัวถ่วงความเจริญเขาไปจนตายน่ะแหละ”
สตรีผู้นี้จีบปากจีบคอพูดด้วยความรู้สึกที่สาแก่ใจ นางคือ หูเยี่ยหลิน เป็นสตรีรุ่นราวคราวเดียวกันกับฝูเฟยเมี่ยวที่เคยแอบรักฉีห่าวซวนนั่นเอง ตอนที่ฉีห่าวซวนตัดสินใจที่จะอยู่กินเป็นสามีภรรยากับฝูเฟยเมี่ยวนางคลั่งแทบเป็นแทบตาย ถึงแม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปหลายปี และฝูเฟยเมี่ยวไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับนาง แต่หูเยี่ยหลินยังคงผูกใจเจ็บที่ตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พอได้ข่าวว่าบุรุษที่ตนเองแอบรักนั้นได้ดิบได้ดีสอบได้เป็นขุนนางก็รู้สึกเสียดายยิ่งนักทั้งๆ ที่ตัวนางเองก็มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว และให้รู้สึกริษยาฝูเฟยเมี่ยวที่จะได้เป็นฮูหยินของขุนนาง นางถึงกับอาละวาดจนบ้านพัง ครั้นพอได้ข่าวเรื่องการเลิกลาของฝูเฟยเมี่ยวและฉีห่าวซวนนางนั้นถึงกับอารมณ์ดี ยิ้มแก้มแทบปริ หัวเราะได้ทั้งวัน ในเมื่อตัวนางเองไม่ได้เขามาครอบครองฝูเฟยเมี่ยวก็ต้องไม่ได้เช่นกัน
ฉีเจียวเหม่ยยังสำทับอีกว่า
“นางโกรธเคืองที่อาซวนทิ้งนางไป ก็แหม…ผู้ใดจะไม่ทิ้งไปล่ะ ตอนนี้เขาเป็นขุนนางใหญ่โต มีอำนาจ วาสนา บารมี เขาสามารถหาสตรีดีๆ พวกบุตรสาวขุนนางใหญ่ๆ มาแต่งงานก็ย่อมได้ พวกเจ้าก็เห็นๆ อยู่ว่าน้องชายของข้าน่ะรูปร่างหน้าตางามสง่าเพียงใด ถ้าคนอื่นที่ไม่รู้จักได้พบเห็นย่อมปักใจเชื่อว่าเขาคือคุณชายสูงศักดิ์ มิใช่ลูกหลานชาวบ้านชาวไร่ชาวนาอย่างแน่นอน” ฉีเจียวเหม่ยคุยอวดเบ่งอย่างภาคภูมิใจ แต่ก็มีบางสิ่งที่ดูจะเกินความจริงไปบ้าง ฉีห่าวซวนน้องชายของนางนั้นตอนนี้ยังเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ผู้หนึ่ง หาใช่ขุนนางใหญ่โตไม่
“แต่…ฝูเฟยเมี่ยวก็น่าสงสารนะ ดูสิ เพิ่งคลอดลูกแท้ๆ กลับต้องมาเลี้ยงลูกตั้งสองคนคนเดียว น่าเห็นใจนางจริงๆ” สตรีร่างบางผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเศร้าๆ นางรู้สึกเห็นใจในโชคชะตาของฝูเฟยเมี่ยวยิ่งนัก
ทันใดนั้นหูเยี่ยหลินก็ผลักอกของนางจนหญิงสาวเซถลาล้มลง
“นี่ ลี่จิน คิดจะเป็นสหายข้า อย่าริอ่านคิดสงสารหรือเห็นใจ ฝูเฟยเมี่ยวเด็ดขาด จำเอาไว้” พูดจบหูเยี่ยหลินก็เดินจากไป ปล่อยให้สหายที่อ่อนแออย่างถังลี่จินนั้นต้องน้ำตาซึมเพราะเจ็บแขนที่ครูดกับพื้นดินแข็งๆ
“ข้าขอเตือนเจ้า อย่าริไปสงสารหรือเห็นใจฝูเฟยเมี่ยวอย่างที่ เยี่ยหลินบอก มิเช่นนั้นจะโดนเหมือนเมื่อตะกี้ เข้าใจหรือไม่?” ฉีเจียวเหม่ยตะคอกก่อนเดินจากไป
คนพวกนี้ช่างไร้หัวใจยิ่งนัก เหยียบย่ำซ้ำเติมคนที่อ่อนแอและโชคร้าย ถังลี่จินอดนึกถึงตนเองมิได้ นางเองก็มีสภาพไม่ต่างจาก ฝูเฟยเมี่ยวมากนักหรอก โดนผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้มองว่าเป็นสตรีโง่เง่าหัวอ่อน จ้องจะเอาเปรียบอยู่เรื่อย นางเป็นสหายของหูเยี่ยหลินมาตั้งแต่เด็กจนโต ก็โดนเอาเปรียบเรื่อยมา จนบางครั้ง ถังลี่จินก็รู้สึกราวกับว่าตนเองนั้นมิใช่สหาย แต่เป็นบ่าวรับใช้เสียมากกว่า
‘ข้าเห็นใจเจ้ายิ่งนัก ฝูเฟยเมี่ยว เพิ่งจะคลอดลูกแท้ๆ แต่กลับถูกสามีทอดทิ้ง’