ตอนที่ 13 จะให้เรื่องถึงทางการดีหรือไม่

2320 คำ
เรื่องวันนี้จบลงที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน สามีของหูเยี่ยหลิน ฉีเจียวเหม่ยและฉีลี่จูต่างพากันวิ่งหน้าตาตื่นมาดูที่บ้านผู้ใหญ่เจิ้น “ท่านลุงผู้ใหญ่ ข้าไม่ยอมนะเจ้าค่ะ ดูสินางทำร้ายข้าจนน่วมไปหมด ฮือๆๆๆ” หูเยี่ยหลินร่ำไห้ ผู้ใหญ่เจิ้นนั้นเป็นพวก ‘พวกมากลากไป’ เขาเห็นว่าฝูเฟยเมี่ยวตอนนี้ก็เหมือนตัวคนเดียว ไม่มีพรรคไม่มีพวก ไม่น่าจะมีปะโยชน์อันใดต่อเขา แต่หูเยี่ยหลินนั้นบิดาของนางมีสหายและพวกพ้องเยอะ น่าจะมีประโยชน์ต่อเขาในวันข้างหน้า “เจ้าจะเอาอย่างไร จะให้ข้าลงโทษนางอย่างไรก็ว่ามา” ผู้ใหญ่บ้านวัยกลางคนเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย เรื่องการตบตีของสตรีนั้นช่างหาสาระมิได้เสียจริงๆ “ช้าก่อน ท่านผู้ใหญ่เจิ้น ท่านยังมิทันได้ทำการสอบสวนเลย จะด่วนสรุปว่าข้าผิดได้เช่นไร” ฝูเฟยเมี่ยวเสียงแข็ง ท่าทาง ‘ไม่ยอม’ ของนางนั้นทำให้ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านเฉียงไฉ่ชะงัก แต่ไหนแต่ไรมาสตรีนางนี้นั้นโง่งมเหมือนหมูมิใช่หรือ “ก็เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าทำร้ายภรรยาข้าจนนางเจ็บหนัก” เสียงที่ดังขึ้นทางด้านหลังคงจะเป็นผู้อื่นไปมิได้ นอกจากสามีของสตรีที่กำลังร้องโอดโอย ฝูเฟยเมี่ยวหันไปมองบุรุษหน้าจืดผู้นั้นพลางแค่นหัวเราะ “ท่านมาถึงก็มากล่าวโทษข้า แล้วถามภรรยาของท่านหรือยังเล่าว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ในเมื่อไม่มีผู้ใดถามข้าก็จะบอก ฟังนะทุกๆ คน” ฝูเฟยเมี่ยวกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็พบว่าตอนนี้มีชาวบ้านทั้งชายหญิงเดินมารวมตัวกันที่บ้านผู้ใหญ่เจิ้นจำนวนมาก พวกเขาต่างอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น นานทีหมู่บ้านของพวกเขาจะมีเรื่องงิ้วให้ได้ดูชม “ข้ากับลูกข้ากำลังมองหาขี้เลื่อย จู่ๆ สตรีนางนี้ไม่รู้ว่ากินยาผิดเทียบมาหรืออย่างไรเข้ามาหาเรื่องข้ากับลูก ลูกสาวข้ากลัวจนตัวสั่น ทีแรกนางก็นึกว่าสตรีนางนี้เป็นบ้า เป็นพวกวิปลาส” ฝูเฟยเมี่ยวหยุดหายใจพลางชำเลืองมองไปยังคู่กรณี ตอนนี้ทุกคนต่างเงียบกริบรอฟังสิ่งที่ฝูเฟยเมี่ยวกำลังจะพูดต่อ มีเพียงหูเยี่ยหลินเท่านั้นที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางกัดฟันกรอดเมื่อถูกหลอกด่าว่า ‘บ้า’ อีกครั้ง และครั้งนี้ก็หนักหนากว่าครั้งก่อน เพราะฝูเฟยเมี่ยวนั้นพูดต่อหน้าผู้คนมากมาย “นางทำท่าจะเข้ามาทำร้ายลูกข้า หากไม่เชื่อก็ลองถามลูกสาวข้าดู ทุกท่านก็รู้ว่าเด็กล้วนพูดความจริง เรื่องโกหกตอแหลนั้นเด็กยังทำไม่เป็นเหมือนผู้ใหญ่หรอก จริงหรือไม่เล่าหูเยี่ยหลิน?” ฝูเฟยเมี่ยวพูดพลางส่งสายตาเยาะเย้ยคู่กรณี “หน็อย!ไม่จริง อย่าไปเชื่อมัน” หูเยี่ยหลินขบกรามดังกรอดๆ “ด้วยความเป็นแม่ ข้าย่อมต้องปกป้องลูก ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายลูกข้า พวกท่านทั้งหลายลองคิดดูสิจะมีมารดาคนใดยอมให้ลูกตนเองต้องเป็นอันตรายจนถึงชีวิต ข้าจึงสู้ยิบตา” “แต่การสู้ยิบตาของเจ้าทำให้เยี่ยหลินอาการหนักปางตาย” สามีของหูเยี่ยหลินแย้งขึ้น ฝูเฟยเมี่ยวยักไหล่ “นั่นก็ช่วยไม่ได้ ข้ารู้เพียงแต่ว่า ข้าต้องจัดการนางให้อยู่หมัด เพื่อปกป้องตนเองและลูกของข้า เกิดนางวิ่งไปเอามีดมาแทงข้าและลูกจะว่าอย่างไร” ตอนนี้พวกชาวบ้านที่มามุงดูต่างซุบซิบกัน บ้างก็แสดงความคิดเห็นว่าฝูเฟยเมี่ยวนั้นทำรุนแรงเกินไป บ้างก็ว่าเป็นเพราะหูเยี่ยหลินที่ไปหาเรื่องนางก่อน “แต่เจ้าก็ทำให้นางเจ็บมาก ข้าขอสั่งให้เจ้าชดใช้ให้นาง 10 ตำลึง” ผู้ใหญ่เจิ้นออกคำสั่งเสียงเข้ม “เอ๊ะ!ท่านลุงผู้ใหญ่ เมื่อสักครู่ที่ข้าเล่าไปท่านไม่ได้ฟังหรืออย่างไร เพียงเท่านี้ยังไม่รู้อีกหรือว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด จู่ๆ จะให้คนถูกมาชดใช้ให้คนผิดได้เช่นไร ต้องเป็นข้าสิเรียกเงิน 10 ตำลึงจากนางเพราะนางเป็นคนเริ่ม และนางทำให้ลูกข้าหวาดกลัวจนเสียขวัญ” “เช่นนี้มีที่ไหนกัน คนเจ็บตัวกลับเป็นคนผิดซะงั้น ลุงผู้ใหญ่เรื่องนี้ข้าไม่ยอม” สามีของหูเยี่ยหลินออกอาการฟึดฟัด ภรรยาของเขาเจ็บปางตาย จะให้นางชดใช้ให้บุตรสาวของคู่อริถึง 10 ตำลึงได้อย่างไร “ฝูเฟยเมี่ยว เจ้าชักจะมากเกินไปแล้วนะ ในฐานะที่ข้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน เจ้าต้องเชื่อฟัง ข้าสั่งให้เจ้าชดใช้ให้หูเยี่ยหลิน 10 ตำลึง เจ้าก็ต้องชดใช้” หูเยี่ยหลินทำท่าทางพยักเพยิด นางรู้ว่าตนเป็นต่อเพราะผู้ใหญ่เจิ้นเข้าข้างนางแล้ว “หากเจ้าไม่จ่าย เรื่องนี้ต้องถึงทางการแน่” หูเยี่ยหลินขู่ นางนึกว่าคู่กรณีจะต้องกลัวคำว่า ‘ทางการ’ จนตัวสั่นแน่ๆ สตรีที่ไม่รู้หนังสือ โง่เง่าและไม่มีพรรคพวกเช่นฝูเฟยเมี่ยวจะกล้าต่อกรกับนางหรือ มันคนละชั้นกัน “ถึงทางการเช่นนั้นหรือ?” ฝูเฟยเมี่ยวทำท่าตกอกตกใจ หูเยี่ยหลินได้ใจจึงรีบแสยะยิ้มก่อนเอ่ยด้วยความลิงโลด “ข้าขอเรียกค่าเสียหายเพิ่มเป็น 100 ตำลึงเจ้าค่ะ หากนางไม่มีเงินชดใช้ก็ให้มาทำงานเป็นทาสที่บ้านข้าเป็นเวลาหนึ่งปี” ฝูเฟยเมี่ยวเอามือทาบอกพลางเซไปข้างหลังสองสามก้าว ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ตอนแรกข้าว่าจะไม่เอาเรื่องเจ้าแล้วนะ แต่ในเมื่อเจ้าอยากให้เรื่องถึงทางการก็ดีสิ เจ้ารู้หรือไม่ ทางการเขาจะสอบสวนอย่างละเอียด เขาไม่สนหรอกว่าผู้ใดเจ็บหรือตาย เขาสนเพียงว่าผู้ใดเริ่มก่อน โดยเฉพาะในกรณีที่มีเด็กมาเกี่ยวข้องด้วย คนที่ปกป้องเด็กแม้ว่าจะทำร้ายเจ้าปางตายล้วนไม่ผิด เพราเขาปกป้องเด็ก เด็กนั้นไร้ทางสู้ เจ้าลองคิดดูสิหากวันนี้ข้าไม่มากับลูกข้า เจ้าไม่ทำร้ายลูกข้าจนตายหรอกหรือ” พูดจบฝูเฟยเมี่ยวก็คว้าตัวบุตรสาวมากอดปลอบเบาๆ เด็กน้อยยังทำหน้าตื่นไม่หาย “เจ้าหยุดพูดส่งเดชได้แล้ว” ผู้ใหญ่บ้านเจิ้นตวาด “ท่านนั่นแหละหยุดพูดส่งเดช เป็นผู้ใหญ่บ้านประสาอะไร ไม่รู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ตัดสินความลูกบ้านอย่างไม่เป็นธรรม เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะไปร้องเรียนทางการ ขอให้พวกเขาตัดสิน หากว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกข้าจะเขียนหนังสือถึงท่านเจ้าเมือง หรือ…อาจจะเขียนฎีการ้องทุกข์ถึงฮ่องเต้ด้วย” ลีลาและท่าทางของฝูเฟยเมี่ยวนั้นไม่ได้เป็นทุกข์เป็นร้อนใดๆ นางลอยหน้าลอยตาพูดพลางจ้องหน้าสบตากับผู้ใหญ่เจิ้นและหูเยี่ยหลิน ตอนนี้บรรยากาศภายในบ้านผู้ใหญ่เจิ้นเงียบกริบ ผู้ใดเล่าจะนึกว่าสตรีหัวอ่อนโง่งมที่เคยยอมให้ผู้คนเอารัดเอาเปรียบผู้นี้จะกล้าเอ่ยถึง…ฮ่องเต้ นางกล้าจริงๆ หรือ “ฮ่าๆๆๆ อาเมี่ยว อย่าพูดว่าเจ้าจะเขียนฎีกาถึงฮ่องเต้เลย ข้ารู้นะว่าเจ้าน่ะไม่รู้หนังสือ แม้แต่ชื่อตัวเองเจ้าเขียนออกหรือไม่เล่า ฮ่าๆๆๆ” ฉีเจียวเหม่ยนำหัวเราะ ต่อมาคนอื่นๆ อย่างฉีลี่จู หูเยี่ยหลินและสามีนั้นก็หัวเราะตาม หัวเราะอย่างท้องขดท้องแข็ง ฝูเฟยเมี่ยวก้าวออกมาด้านหน้า นางหยิบกิ่งไม้เล็กๆ ข้างๆ ตัวมาเขียนบางสิ่งบางอย่างบนพื้นดิน “ท่านพี่สาวของอดีตสามีเฮงซวยของข้ามิต้องเป็นห่วง ข้าว่า ข้าเขียนได้หลายคำ ไม่รู้ว่าคนอย่างท่านจะอ่านออกหรือไม่ ลองอ่านดูสิ นี่…ชื่อข้า ฝูเฟยเมี่ยว นี่หูเยี่ยหลิน นี่คำว่าฎีกา นี่คำว่าร้องทุกข์ นี่คำว่า ไม่เป็นธรรม นี่คำว่า…ค่าปรับ เออ…ไหนๆ ก็จะเขียนฎีกาถึงฮ่องเต้แล้ว ข้าว่าข้าเขียนร้องทุกข์เรื่องสามีเฮงซวยที่สอบได้เป็นขุนนางแล้วทิ้งลูกทิ้งภรรยาไปดีกว่า อยากรู้นักว่าฮ่องเต้จะทรงตัดสินอย่างไร ใช่ๆ ถ้ามีเรื่องขุนนางชั่วเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ฮ่องเต้ต้องสนใจเป็นพิเศษแน่ๆ” ฝูเฟยเมี่ยวแสร้งทำท่าดีอกดีใจว่าโชคดีที่นึกขึ้นมาได้ งานนี้เล่นเอาฉีเจียวเหม่ยหน้าซีดปากสั่น สตรีนางนี้เมื่อก่อนไม่รู้หนังสือมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้จึงเขียนหนังสือได้ นี่มันชักจะไม่ได้การแล้ว “แต่…เจ้า เจ้าทำข้าเจ็บ” หูเยี่ยหลินยังคงไม่ยอมท่าเดียว ฝูเฟยเมี่ยวส่ายหน้าแรงๆ พลางถอนหายใจ “หูเยี่ยหลิน นี่เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด เพราะเจ้านั้นเริ่มก่อน หากเจ้าไม่เข้ามาทำร้ายลูกข้า หากเจ้าอยู่ของเจ้าดีๆ ข้าจะต่อยตีเจ้าเช่นนี้หรือ สมองเจ้าเป็นสมองหมูหรืออย่างไร เฮ้อ!อ้อ เจ้าด้วยอีกคน ว่างๆ ก็หัดสั่งสอนภรรยาของตนบ้างว่าอย่ามาหาเรื่องผู้อื่น มีเวลาก็เข้าวัดวาอาราม หมั่นสั่งสมความดีจะดีกว่า” คำพูดของฝูเฟยเมี่ยวทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันแล้วให้เดือดดาลปุดๆ น่าเจ็บใจนักที่ทำอะไรมันไม่ได้ “แล้วข้าจะบอกอันใดให้นะ ข้า… ฝูเฟยเมี่ยวไม่ใช่คนโง่งม คนอ่อนแอที่จะยอมให้ใครมารังแกก็ได้เหมือนเช่นเมื่อก่อน เดี๋ยวข้าจะเข้าเมืองไปแจ้งความไว้ก่อน หากมีคนลอบทำร้ายข้าและลูกก็คงจะมีอยู่ไม่กี่คน คนของทางการน่ะเขาเห็นใจสตรีแม่ลูกอ่อนที่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังเพราะสามีทอดทิ้งอยู่แล้ว พวกท่านเชื่อไหมเล่า ฮ่าๆๆๆ” หญิงสาวยังไม่ลืมที่จะทิ้งคำขู่ไว้ นางเป็นสตรีตัวคนเดียวมีลูกติดตั้งสองคน หากโดนลอบทำร้ายจะแย่เอาได้ แต่ฝูเฟยเมี่ยวมั่นใจว่าพวกที่เก่งแต่ปาก แต่แท้จริงแล้วแสนจะขี้ขลาดอย่างคนพวกนี้ไม่กล้าทำอะไรนางกับลูกหรอก “อย่านะ อย่าไปร้องเรียนทางการนะ มิเช่นนั้นชื่อเสียงของหมู่บ้านเราจะเสียหาย” ฉีเจียวเหม่ยที่กลัวว่าอดีตน้องสะใภ้ผู้นี้จะบ้าเลือดขึ้นมาถึงขนาดร้องเรียนเรื่องน้องชายนางด้วย หากเป็นเช่นนั้นมีหวังทุกอย่างต้องพังกันพอดี “หยุด หยุดได้แล้ว เรื่องในวันนี้ขอให้จบเพียงเท่านี้ หูเยี่ยหลิน เจ้าก็อย่าไปหาเรื่องนางก่อนอีกล่ะ ส่วนฝูเฟยเมี่ยว…เอ่อ…คราวหน้า เจ้าก็อย่าทำรุนแรงถึงเพียงนี้ วันนี้ขอให้เลิกแล้วต่อกันไป…กลับบ้านใครบ้านมัน ไปได้แล้ว” ผู้ใหญ่เจิ้นเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็ออกปากไล่ เขาจะยอมให้สตรีบ้าบิ่นผู้นี้ไปร้องเรียนทางการไม่ได้ ดูๆ ก็รู้ว่านางนั้นรู้หนังสือ สามารถเขียนตัวอักษรต่างๆ ได้ดีกว่าเขาเสียอีก หากว่านางเกิดบ้าเลือดถวายฎีการ้องทุกข์ขึ้นมา คนที่จะซวยคนแรกก็คือตัวเขาเอง เป็นผู้ใหญ่บ้านประสาอะไรตัดสินข้อกรณีของลูกบ้านไม่เป็นธรรม เขากลัวว่าตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านจะหลุดลอยไปรวมทั้งเงินเบี้ยหวัดรายเดือนเดือนละ 5 ตำลึงนั่นอีก วันนี้ผู้ใหญ่เจิ้นรู้แล้วว่าสตรีหม้ายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อนและโง่งมผู้นี้นั้น ตอนนี้นางมิใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมัน “ได้อย่างไรกันเจ้าคะท่านลุงผู้ใหญ่ ข้าเจ็บตัวถึงเพียงนี้ จะให้เลิกแล้วต่อกันเฉยๆ ได้อย่างไร?” หูเยี่ยหลินเถียง “เจ้าหุบปากซะ” ผู้ใหญ่เจิ้นตวาด ตอนนี้เขารู้สึกรำคาญเต็มที “ได้อย่างไรเจ้าคะท่านผู้ใหญ่เจิ้น ที่ผู้ใหญ่เจิ้นกล่าวว่าคราวหน้าขออย่าให้ข้าทำรุนแรงถึงเพียงนี้กับหูเยี่ยหลิน ข้าจะไม่ทำอะไรนาง จะไม่เดินเฉียดเข้าใกล้นาง หากนางไม่มาหาเรื่องข้าก่อน หากไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นวันนี้เห็นทีท่านจะต้องไปกำชับหูเยี่ยหลินแล้วว่าห้ามมายุ่งกับข้า เพราะหากนางไม่มายุ่งกับข้า ข้าก็จะไม่ยุ่งกับนาง” ฝูเฟยเมี่ยวลอยหน้าพูดอย่างไม่นึกหวั่นเกรงผู้ใด ผู้ใหญ่เจิ้นสบถอย่างหัวเสีย เขารู้สึกว่าวันนี้เขาเสียภาพลักษณ์ผู้ใหญ่บ้านที่ดีงามไปหมด เพราะสตรีสองคนนี้ “หูเยี่ยหลิน ข้าขอสั่ง คราวหน้าห้ามเจ้าเข้าใกล้ฝูเฟยเมี่ยว เจ้าอยู่ให้ห่างจากนางอย่างน้อย 10 จั้ง (1 จั้ง = 3.33 เมตร) ” หลังจากจบการชำระความที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน ฝูเฟยเมี่ยวก็จูงมือฝูฟางหรงเตรียมเดินกลับบ้าน วันนี้เป็นวันเฮงซวยอะไรเช่นนี้ “ช้าก่อน เอ่อ…อาเมี่ยว” เสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้ฝูเฟยเมี่ยวต้องหันกลับมา ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างพากันทยอยเดินกลับบ้านกันแล้ว แต่บุรุษวัยกลางคนผู้นี้กลับเดินเข้ามาหานางอย่างช้าๆ “ข้าได้ยินว่าเจ้ากับลูกกำลังมองหาขี้เลื่อย หากยังต้องการอยู่บ้านของข้ามีเยอะ เพราะข้ารับทำเครื่องเรือนและรับสร้างบ้าน เจ้าอยากได้เท่าไหร่ก็ไปเอาได้ ตอนนี้มันรกบ้านข้าจนภรรยาบ่นทุกวันว่าไม่รู้จักเอาไปทิ้ง” บุรุษผู้นี้เป็นชายวัยกลางคน ท่าทางใจดี ในมือของเขายังมีขี้เลื่อยใหม่ๆ ติดมาด้วย ฝูเฟยเมี่ยวตาเป็นประกาย “ขอบคุณมากเจ้าค่ะท่านลุง เดี๋ยวข้ากับลูกจะรีบไปเอาตอนนี้เลย” อย่างน้อยวันนี้มันก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่บ้างสินะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม