“...”
“ก็อาจารย์เขาบอกเองนี่นาให้เรียกอะไรก็ได้ ฉันเผลอปากเรียกคุณไปมันก็ยังไงอยู่ใช่ปะ”
หลังจบคลาสซึ่งในเวลาเรียนฉันเอาแต่จับจ้องหนังสือตรงหน้ามากกว่ามองสบตากับเขา แน่นอนว่าใจมันสั่นยังไงชอบกลที่เราสองคนต้องมาเจอกันไม่ว่าจะเป็นในฐานะฉันเป็นนางแบบให้เขา หรือในฐานะลูกศิษย์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
“เหมย เธอคิดว่าอาจารย์คัทจะจำฉันได้ไหม?” จับต้นแขนเหมยที่กำลังกดมือถืออยู่ ดวงตากลมโตมองฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“จ้องและอึ้งขนาดนั้น พี่คัทคงจำไม่ได้มั้ง”
“แล้วทำยังไงดี” ฉันแค่รู้สึกแปลกๆ ถ้าหากเราไม่เจอกันในฐานะนี้มันคงจะดี อีกอย่างการได้เจอกับเขาทุกๆ วันมันก็พาให้ทำตัวไม่ถูกเอาเหมือนกันนะ
“ก็ไม่ต้องทำอะไร อยู่มหาลัยเธอก็เป็นลูกศิษย์ อยู่กับเขาก็เป็นนางแบบ”
“แบบนั้นเหรอ?”
“แล้วจะเอาแบบไหน พี่คัทไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบจุ้นเรื่องชาวบ้านหรอก” เหมยตอบออกมาและวางมือถือลง “ชีวิตเขาเท่าที่พี่โจ้เล่าให้ฟัง เขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก เรื่องคนอื่นไม่มีทางจะสนใจแน่”
เมื่อได้รับคำตอบของเหมยฉันก็พิงเก้าอี้ไม้หน้าคณะ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มันก็จริงอย่างที่เหมยบอกนะว่าในมหาลัยฉันก็เป็นลูกศิษย์แต่ถ้าหมดเวลาเรียนฉันก็ทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการเป็นนางแบบเปลือยให้เขา
“พี่คัทติดต่อมาหรือยังว่าจะให้ไปเป็นแบบวันไหน?” ฉันส่ายหน้าไปมาเพราะวันนั้นที่โทรไปหา เขาตอบกลับมาแค่ ‘อืม’ แล้วก็วางสายไปซึ่งฉันนี่ถึงกับจ้องมือถือนานนับสิบนาที “จะให้บอกไอซ์เปล่า”
“อย่า” ยกมือห้ามเหมยและมองหาร่างสูงที่รู้สึกจะลงเรียนคลาสที่ตัวเองไม่ได้เข้าเรียนตอนปีสาม “เดี๋ยวจะมาห้ามไม่ให้ฉันทำ”
“มันห่วงไง แต่ไปเป็นแบบให้พี่คัทก็ไม่น่าห่วงเท่ากับอยู่กับไอ้พ่อเลี้ยงสิงห์สองคน” ฉันชักสีหน้าทันทีก่อนจะถอนหายใจจนเหมยเอื้อมมือไปมาแตะที่ไหล่ “อย่างน้อยการได้กลับบ้านดึกคงทำให้เธอปลอดภัย”
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ ขนาดเมื่อคืนดึกมากแล้วยัง...” เหมยขมวดคิ้วและฟังฉันเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังจากที่ใบหน้าเรียบนิ่งอยู่แล้ว ก็เรียบนิ่งเข้าไปใหญ่
“ได้เงินจากพี่คัท ลองคุยกับแม่อีกทีดีเปล่าเรื่องย้ายมาหอมหาลัย”
“คงยาก” ยกมุมปากขึ้นพลางเท้าคางมองตรงไปยังหน้าคณะ “เธอก็รู้ว่าแม่ฉันบงการชีวิตฉันมากแค่ไหน ขืนฉันย้ายมาก็คงจะไม่ชอบใจ”
“อือ”
“ฉันเป็นลูกคุณหนู ย้ายมาอยู่หอมหาลัยได้ที่ไหน ขายขี้หน้าคนอื่นแย่... แม่ต้องพูดแบบนี้แน่นอน” เหมยเข้าใจดีเลยว่าฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง ตอนที่พ่อยังอยู่ทุกอย่างยังไม่แย่ขนาดนี้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็มีพ่อที่เข้าใจว่าฉันชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่หลังจากสูญเสียพ่อไปทุกอย่างกลับพังลงหมด ยังดีที่แม่อนุญาตให้ฉันเรียนต่อด้านนี้จนจบทั้งที่เกือบจะให้ฉันดรอปเรียนแล้วย้ายสาขาใหม่ ถ้าไม่ติดว่าแม่ยึดบัญชีธนาคารไปป่านนี้ฉันคงไม่อยู่บ้านหลังนั้นให้ตัวเองถูกพ่อเลี้ยงสิงห์รังแกหรอก
“แม่น่าจะรู้บ้างนะว่าไอ้พ่อเลี้ยงมันไม่ได้ดีอย่างที่ตีหน้าใส่ท่าน”
“ไม่มีทาง” ส่ายหน้าไปมาก่อนจะทุบมือลงบนหนังสือ “แม่เข้าข้างเขาจะตาย ฉันถึงไม่กล้าพูดอะไรได้แต่ระวังตัว”
“ดีนะที่อย่างน้อยก็ได้หาข้ออ้างในการกลับบ้านดึกๆ แต่ถ้าแม่รู้ว่าเธอมาเป็นนางแบบเปลือย คงจะ...”
“ช่างสิ ฉันไม่สน นี่มันชีวิตของฉัน” สบตากับเหมยอีกครั้งอย่างมาดมั่น “ฉันจะทำอะไรก็ได้ ในเมื่อแม่บังคับฉันในทุกเรื่อง ฉันก็อยากจะทำอะไรตามใจตัวเอง”
“แล้วตกลงมั่นใจที่จะเปลือยให้พี่คัทวาด?” พอเหมยพูดขึ้นมาแบบนี้ ความมั่นใจที่เต็มร้อยหดเหลือเพียงแค่ศูนย์แล้วจริงๆ ขนาดตอนนั้นฉันยังหวั่นใจ แถมยังโทรไปตกลงกับเขาแล้วด้วย ไอ้เรื่องมั่นใจไม่มั่นใจคือต้องมาแล้วล่ะ!
“อือ”
อย่างน้อยเปลือยให้เขาวาด มันก็บ่งบอกสิ่งที่ทำมันคือศิลปะควรคิดแบบนี้แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง... หรือเปล่า?