บทที่ 6

1547 คำ
“นั่นสินะครับ วันนี้เป็นวันหยุดแท้ๆ แต่ผมต้องไปทำงาน ส่วนพี่โตไปรับสาว แล้วแถมยังจะได้หอนัดดาวเป็นของขวัญอีก โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับพ่อเอาซะเลยเนอะศรรามลูกพ่อ” ประโยคท้ายๆ ตรีศูลหันไปพูดและลูบหัวลูบพุงลูกชายสี่ขาของตน “นี่แกกล้าแดกดันพ่อเลยรึเจ้าตรี” ปริตรเดินเข้าไปหาตรีศูลและเจ้าศรราม ก่อนจะทำท่าบีบคอเจ้าตัวอ้วนโยกไปโยกมา “เจ้าศรรามแกต้องรับโทษแทนเจ้านายแก” “โถ่ พ่ออะ อย่าเขย่าศรรามอย่างนั้นสิครับ เดี๋ยวมันเวียนหัว” ตรีศูลรีบเข้าไปยื้อแย่งเจ้าสี่ขาจากผู้เป็นพ่อ ก่อนจะบ่นเบาๆ ต่อท้ายอีกว่า “ที่จริงหอนั้นเป็นหอของแม่นะครับ ต้องเป็นผมสิที่ได้มัน” ปริตรเข้าใจว่าทำไมลูกชายคนรองถึงพูดแบบนั้น เพราะภรรยาที่จากไปเมื่อหลายปีก่อนของเขารักและสนิทกับตรีศูลที่สุด และคนที่ยังรับไม่ได้กับการจากไปของคนเป็นแม่ และไม่ยอมรับภรรยาใหม่ของเขาก็ดูจะมีแค่คนเดียว นั่นคือตรีศูล “นี่แน่ะ ไอ้ลูกขี้อิจฉา” พ่อเข้ามาเขย่าหัวเขาแทนหัวเจ้าศรราม “ที่พ่อตัดสินใจยกหอนัดดาวให้เจ้าโตมัน ก็เพราะว่าเป็นสัญญาระหว่างพ่อกับแม่ เมื่อตอนที่แม่พวกแกตั้งท้องเจ้าโตได้ห้าเดือน ฉันกับแม่พวกแกยังขึ้นไปที่นัดดาวกันบ่อยๆ เหมือนตอนที่เรายังเป็นแฟนกัน เรารู้ว่ามีเจ้าโต ก่อนที่จะแต่งงานกันซะอีก พ่อเลยต้องรอให้พี่แกคลอดออกมาก่อนถึงจะจัดงานแต่งของเราสองคนขึ้นมาได้...” ปริญญ์ไม่ได้ขยับไปไหน เขายังเฝ้ามองพ่อจากตรงนี้เงียบๆ รู้ว่าทุกครั้งที่เล่าถึงเรื่องแม่ พ่อจะปกปิดอาการเศร้าและหวนคำนึงถึงแม่อย่างตอนนี้ไว้ไม่มิด “เราสองคนคุยกันไว้ ไม่ว่าลูกคนแรกที่เกิดมาจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย เราจะยกหอนัดดาวนี้ให้กับเขา” พ่อหยุดพูดแล้ว แต่ตรีศูลยังรับรู้ได้ถึงกระแสเสียงที่เริ่มสั่นเครือ “ผมก็ไม่ได้จะคัดค้านนี่ครับ” เขาบอกแก้เก้อ ต่อให้หอนั้นไม่ได้เป็นของเขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก ขอแค่เขารู้ว่าพ่อยังรักแม่ของเขาไม่มีวันเปลี่ยน เท่านี้ก็พอแล้ว... พอแล้วจริงๆ ปริญญ์นึกถึง ‘หอนัดดาว’ ที่จริงมันคือบ้านหลังย่อมๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณหลังบ้านใหญ่ในปัจจุบัน ถึงแม้พื้นที่จะไม่กว้างขวางนัก แต่ก็มีความสูงถึง 5 ชั้น ตกแต่งด้วยกระจกใสเกือบทั้งหลัง ไคลแม็กซ์มันอยู่ที่ชั้นดาดฟ้า ที่คล้ายๆ กับห้องใต้หลังคาแต่จะติดกระจกใสรอบๆ ทั้งหมด ส่วนพื้นห้องจะเป็นห้องเตี้ยๆ มีฟูกขนาดใหญ่ เอาไว้นอนดูดาว บริเวณหลังคายังสามารถเปิดได้ เอาไว้เพื่อรับลม มันจะให้ความรู้สึกที่ใกล้ชิดกับท้องฟ้า และดวงดาวเข้าไปอีก “ตั้งแต่แม่เสีย เราก็แทบไม่ได้ขึ้นไป ‘นัดดาว’ กันอีกเลยนะครับพ่อ” “ถึงเราไม่ค่อยได้ไปกัน แต่พ่อก็ยังเก็บรักษาและดูแลที่นั่นเป็นอย่างดีให้เหมือนเมื่อก่อนตอนที่แม่พวกแกยังอยู่นั่นแหละ จะดีกว่าเดิมหน่อยอีตรงที่ตอนนี้มันมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่พ่อเตรียมไว้สำหรับแกและหนูคะน้า” “ทำไมพ่อถึงอยากให้พี่โตไปอยู่ที่นั่นนักล่ะครับ” ตรีศูลเหมือนจะเริ่มรู้ทันความคิดของผู้เป็นพ่อ ปริตรหัวเราะดังหึๆ “ก็ที่นั่นมันโรแมนติก พ่อไม่อยากจะคุย ว่าพวกแกทั้งสี่คนก็เกิดกันที่นั่นแหละ” “เกิดสินะ ไม่ใช่คลอด” ตรีศูลส่ายหน้าไปมาเมื่อนึกถึงเสือที่ไม่เคยซ่อนลายได้มิดอย่างพ่อของพวกเขา สนามแข่งรถ เวลา 22 : 00 นาฬิกา “ไอ้เวรซัส มึงรู้มั้ยว่ารถกูคันละกี่ล้าน ทำไมถึงกล้าเอาไปเดิมพันกับไอ้ตริณแบบนั้นฮ้า !” “เอาน่า ยังไงมึงก็ชนะชัวร์” คนที่เพิ่งได้รับคำสรรเสริญว่า ‘ไอ้เวรซัส’ บอกอย่างอารมณ์ดี “มึงไม่ได้แข่งเองมึงก็พูดได้อะดิ ไอ้ตริณมันไม่ใช่หมูในอวยนะโว้ย ครั้งที่แล้วจำไม่ได้หรือไงว่ากูต้องเสียน้องลูซี่ให้มันไป คิดแล้วยังแค้นไม่หาย” “ก็เพราะอย่างนั้นไง กูถึงหาโอกาสให้มึงได้แก้มือ” สัตย์บรรณยกขวดเบียร์ในมือกระดก ก่อนจะพูดบางอย่าง “แล้วอย่าคิดว่ากูไม่รู้ ว่าครั้งก่อนที่มึงแพ้ เพราะมึงตั้งใจ !” เป็นบุตรหัวเราะดังหึ ก่อนจะกระดกเบียร์ในมือลงคอรวดเดียวเช่นกัน เขากับเพื่อนนั่งอยู่ในลานผ้าใบติดกับสนามแข่ง บนเก้าอี้ของบาร์ขายเครื่องดื่มเฉพาะกิจขนาดเล็ก แต่ที่นี่ไม่ได้ถูกกฎหมาย ทุกอย่างจึงพร้อมจะพับตัวเก็บได้ทุกเมื่อถ้ามีเจ้าหน้าที่โผล่มา แต่มันก็น้อยครั้งมากที่จะเกิดเรื่องแบบนั้น เพราะ ‘สนามมืด’ แห่งนี้มีพวกลูกหลานผู้ทรงอิทธิพลหลายคน ซึ่งเขาไม่ขอเอ่ยนามดูแลอยู่ และยังเป็นแหล่งสะพัดหมุนเวียนของเงินจำนวนไม่ใช่น้อยต่อคืน “เตรียมตัวซะ อีกสิบนาทีเจอกันที่จุดเริ่มต้น ห้ามเลต” เขาได้ยินเสียงสัตย์บรรณบอก ก่อนที่เจ้าตัวมันจะเดินไปที่ซุ้ม ‘กระต่ายเริงระบำ’ ซึ่งที่ตรงนั้นจะมีแต่สาวๆ ทั้งตัวเดิมพัน ผู้หญิงของนักแข่ง หรือแม้แต่คนที่ถูกจัดหามาเพื่อเพิ่มสีสันให้สนามมืดแห่งนี้ และทุกครั้งที่เพื่อนเขาเข้าไปที่นั่น จุดหมายของมันก็มีเพียงอย่างเดียว... คือผู้หญิง สิบนาทีให้หลัง การแข่งขันใกล้จะเริ่มขึ้นเต็มที นักแข่งทั้งคู่เตรียมจะไปประจำที่รถคู่ใจของตน เป็นบุตรมองคู่แข่งตลอดกาลอย่าง ตริณภพ แข่งกันตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย เรียนมหาวิทยาลัย ขนาดจบมาแล้วก็ยังหาเวลามาแข่งกันอยู่ร่ำไป “เฮ้ยตริณ คราวนี้กูขอโอลิเวียสักอาทิตย์นะ” “ถึงโอลิเวียจะเป็นเด็กใหม่ของกู แต่ถ้าแรกกับรถรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่นแต่งพิเศษ อะไหล่นำเข้าทุกชิ้นของมึง ยังไงก็ถือว่าคุ้มว่ะ” ตริณภพบอกอย่างไม่ยี่หระ “มันก็คุ้มนะ... ในกรณีที่มึงชนะ แต่คราวนี้บอกไว้เลยว่ากูคงไม่ออมมือให้เหมือนครั้งก่อน มึงก็น่าจะรู้ว่ากูรักรถกูยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก” เป็นบุตรหันไปหาแนวร่วม “จริงมั้ยวะ ไอ้สัตย์ !” สัตย์บรรณสะดุ้งโหยง เป็นรอบที่ร้อยล้านตั้งแต่คบกับเป็นบุตรมา “ไอ้ห่าสี่ กูชื่อซัส” “แล้วเจอกันที่เส้นชัย” ทั้งสองฝ่ายเตรียมประจำที่และไม่นานเสียงโห่ร้องของคนทั้งสนามก็เริ่มขึ้น โต๊ะพนันก็เริ่มครึกครื้นกว่าช่วงหัวค่ำ เพราะคู่ของเป็นบุตรและตริณภพ คือคู่พิเศษและคู่สุดท้ายของค่ำคืนนี้ เสียงเครื่องยนต์ดังอื้ออึงสนั่นไปทั่วด้วยลูกสูบที่สั่งทำไซซ์พิเศษ และในที่สุดรถทั้งสองคันก็พุ่งทยานออกไปด้วยความเร็วและชั้นเชิงของนักแข่งมืออาชีพ... เมื่อการแข่งขันจบลง เป็นบุตรที่ชนะอย่างเฉียดฉิวก็เดินมาตบบ่าคู่แข่งอย่างคนที่เคยๆ กันมานาน “ครั้งนี้บอกแล้วว่ากูเตรียมตัวมาดี เสียใจด้วยนะ ไว้คราวหน้าจะให้มึงมาแก้มือ” “เออๆ ชนะแล้วก็ไม่ต้องพูดมาก ของเดิมพันอยู่ที่ซุ้มกระต่ายฯ มึงไปพากลับบ้านได้เลย แต่แค่อาทิตย์เดียวนะโว้ย จำไว้ด้วย” เป็นบุตรยิ้มเยาะ เผยลักยิ้มเจ้าเล่ห์ทั้งสองข้าง ณ ซุ้มกระต่ายเริงระบำ “เจ๊ต่าย ไหนครับรางวัลของผม” “ไม่ต้องทำตาเยิ้มอย่างนั้นเลยสี่ เรื่องของเรามันเป็นอดีตไปแล้ว เจ๊มีเด็กใหม่น่าเจี๊ยะ แถมอร่อยกว่าเธอเป็นไหนๆ” เจ๊ต่ายเจ้าของซุ้มทำท่าวาดปากอย่างน่าหวาดเสียว เป็นบุตรยกมือยอมแพ้ ก่อนจะเดินไปหลังซุ้มตามคำบอกเล่า ภาพที่เขาเห็นคือหญิงสาวร่างสะโอดสะอง นั่งหันหลังทำตัวหลุกหลิก เหมือนกำลังกระวนกระวายหรือร้อนใจอะไรสักอย่าง “กลับบ้านกันเถอะสาวน้อย ผมมารับแล้ว” หญิงสาวหันหน้ามาเผชิญกับความจริงที่โหดร้าย “ฉันไม่ไปกับคุณหรอก” ชายหนุ่มเพ่งมองร่างบางอย่างสำรวจ ผู้หญิงคนที่บอกว่าจะไม่ไปกับเขา ผมเธอยาวตรงจนถึงปลายหลัง ผิวหน้าขาวอมชมพูเหมือนคนญี่ปุ่นหรือค่อนไปทางเกาหลีโน่น ถ้าคุณเธอไม่พูดภาษาไทยอย่างประโยคเมื่อครู่ เขาต้องคิดว่าเธอเป็นลูกครึ่งแน่ๆ ถึงรวมๆ แล้วเธอจะน่าพิสมัยก็เถอะ ... แต่ เธอไม่ใช่ โอลิเวีย !!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม