บทที่ 13

1499 คำ
“ไอ้สี่ปล่อยกู” “ตรี !! พี่บอกให้หยุด มีอะไรพูดจากันดีๆ ไม่ได้รึไง” เสียงทรงอำนาจของปริญญ์ช่วยให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะเกือบสงบนิ่งได้อีกครั้ง เป็นบุตรปาดเหงื่อ เริ่มคลายมือที่จับพี่ชายคนรองนิดหน่อย ด้วยรู้ดีว่าเวลาพี่โตเอาจริง น้องทุกคนจะต้องเชื่อฟังโดยอัตโนมัติ และพวกเขาเองก็ไม่ค่อยจะเห็นหรือได้ยินน้ำเสียงโทนนี้ของปริญญ์มานานมากแล้ว “นี่ถ้าพี่บิ๋มอยู่ผมคงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้” “เงียบเถอะน่า” ปานภูมิเอ็ดพี่ชาย “ไหนใครจะเป็นคนอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พี่ฟังได้บ้าง...” ปริญญ์ถอนหายใจอย่างหนักอกพอควรเมื่อได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ ทั้งหมด “น้านุชเลื่อนวันเดินทางไปอาทิตย์หน้าไม่ได้เหรอครับ” “โถ่ คุณโตก็รู้ว่าน้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ทุกอย่างน้ากับคุณพ่อคุณเตรียมการไว้หมดแล้ว แถมอาทิตย์หน้ายาวไปตลอดทั้งเดือน คุณปริตรก็แทบไม่มีวันว่างยาวๆ อีกแล้ว” “ถ้านางนี่มีหัวสมองสักนิด คงจะไม่อ้างว่าลืมวันสำคัญอย่างวันพรุ่งนี้หรอกครับ” “ตรี ! หยุดก่อน” เขาถอนหายใจออกมาหลายครั้ง ที่จริงปริญญ์พอจะเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงเลือกที่จะทำแบบนี้ แม้แม่เขาจะจากไปแล้วสิบกว่าปีแต่ตรีศูลก็ยังทำเหมือนท่านเพิ่งจากไปเมื่อวาน ยังลืมไม่ได้ เลือกที่จะไม่ลืมและไม่ยอมเดินหน้าชีวิตต่อ นั่นคือเหตุผลหลักที่ตรีศูลไม่ยอมรับเมียใหม่ของพ่อรวมถึงนารถลักษณ์ ใช่ว่าเขาจะชอบนิสัยแม่เลี้ยงผู้นี้นัก แต่กับเด็กหญิงตัวน้อยในวันวานอย่างนารถลักษณ์ไม่เกี่ยวอะไรด้วย เจ้าหล่อนก็น่าสงสารพอๆ กับพวกเขาที่ต้องเสียแม่ไป ... ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เขากับพ่อกลัวแม่จะไม่เป็นสุข กลัวท่านจะยังมีห่วง และที่ห่วงที่สุดก็คือตรีศูล “แล้วตรีล่ะ ยอมพ่อสักครั้งไม่ได้เหรอ ท่านควรจะได้พักผ่อนบ้าง” “แต่นี่ครบรอบวันตายแม่นะพี่โต” “ก็ใช่ไงตรี พรุ่งนี้คือวันครบรอบไม่ใช่วันที่แม่ตาย และท่านก็จากพวกเราไปหลายปีแล้ว พี่อยากให้ตรีปล่อยวางให้ได้” ปริญญ์ตบบ่าน้องชายคนรองเบาๆ “เราเหลือพ่อคนเดียวแล้วนะตรี” “ครับ ผมเหลือพ่อแค่คนเดียว แต่พ่อยังมีทั้งพี่โต ไอ้สี่ เจ้าเล็ก แถมเมียข้างถนนกับลูกเลี้ยงอีกสองคน ผมและแม่คงไม่สำคัญและมีความหมายกับใครในบ้านอีกแล้ว สิ่งที่ผมกลัวก็คือวันนี้ครอบครัวของเราจะไม่เหลืออีกแล้ว และตอนนี้มันก็เกิดขึ้นจริงๆ” เป็นบุตรทั้งสงสารและเข้าใจพี่ชาย จะให้คนอย่างตรีศูลที่ทุกคนยอมให้มาตลอดเพราะเป็นลูกรักของแม่ทำใจง่ายๆ ได้ยังไง พี่ชายคนนี้ของเขาแทบไม่เรียนหนังสือ เสียผู้เสียคนเพราะการจากไปของแม่ในวันนั้น เขายังจำมันได้ดี “เอาเป็นว่า ถ้าคืนนี้แม่นี่กับพ่อ ยังดึงดันที่จะไม่เคารพแม่ของเรา จะได้เห็นดีกัน” ตรีศูลทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนที่จะเดินออกไปจากบ้าน เสียงเรียกของเป็นบุตรและปริญญ์ไม่ได้ทำให้เขาใจเย็นลงเลยสักนิด ปานภูมิกุมขมับ เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดียังไงชอบกล “น่าเป็นห่วงนะพี่โต ปล่อยเสือเข้าป่าไปแบบนั้นจะไม่เป็นไรแน่เหรอครับ” “แล้วมีใครตามเจ้าตรีมันทันรึไง” ปริญญ์พยักพเยิดหน้าตามเสียงรถสปอร์ตของเป็นบุตรที่เสียบกุญแจทิ้งไว้เป็นประจำ “แกสองคนช่วยโทรเช็กเป็นระยะแล้วกัน พี่ฝากด้วย” “แล้วนั่นพี่จะไปไหนครับ ไม่อยู่กินของว่างก่อนเหรอ วันนี้มีสาคูไส้หมูของโปรดพี่” ปานภูมิมองอาหารว่างบนโต๊ะที่ไม่ได้พร่องลงไปสักนิด ถึงจะรู้ว่าคงไม่มีใครมีอารมณ์กินอะไรแล้วก็ตาม “พี่โตเขาก็จะรีบไปดูเมียรักน่ะสิเจ้าเล็ก คะน้าไม่สบายนอนซมเป็นไข้มาสองวันแล้ว สงสัย...” ก่อนที่เป็นบุตรจะอธิบายอะไรให้คนที่เพิ่งกลับมาบ้านฟังไปมากกว่านี้ ก็มีอันต้องหยุดชั่วคราวเพราะเสียงของใครบางคน “อื้ม อะแฮ่ม” น้องชายคนเล็กสังเกตเห็นว่า ถึงแม้พี่ชายของตนจะพูดจาติดตลกเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด แต่ก็มีบางสิ่งที่ไหววูบในแววตาของพี่ชายคนโตด้วย... มันชักจะยังไงๆ อยู่นา “คุณคะ เราต้องรีบไปสนามบินกันแล้วนะคะ ไม่งั้นคงตกเครื่องแน่ๆ” เสียงเร่งเร้าของภรรยาไม่ได้ทำให้ปริตรกระวนกระวายใจได้เท่าเรื่องของลูกชายคนรองที่ยังไม่ยอมรับโทรศัพท์ของใครสักคน จะติดต่อทางไหนก็ไม่ได้เลย “เป็นไงบ้างเจ้าสี่ ติดต่อพี่แกได้บ้างหรือยัง” “เหมือนเดิมครับพ่อ โทรติดแต่ไม่มีใครรับ” เป็นบุตรยังเร่งมือกดโทรศัพท์ต่อไป ก่อนที่จะสบถออกมาเสียงดัง “ปัดโธ่โว้ย” “เป็นอะไรไปห้ะเจ้าสี่” “โธ่ จะเป็นอะไรไปล่ะคะคุณ ท่าทางคุณตรีก็คงจะเล่นตัว เรียกร้องความสนใจเหมือนอย่างเคยนั่นแหละค่ะ” “คุณนุช ถ้าไม่มีอะไรจะพูดให้มันสร้างสรรค์กว่านี้ อยู่เงียบๆ ซะบ้างก็ได้นะ” นุชนารถสะบัดหน้าพรืด รู้สึกหน้าชาจากคำตำหนิตรงๆ ของสามี ที่ว่ากล่าวเธอต่อหน้าลูกชายทั้งสามของเขาแถมยังมีเด็กรับใช้อยู่เต็มบ้าน ปานภูมิถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ เมื่อเห็นว่าสุดท้ายพ่อก็เดินตามไปง้อแม่เลี้ยงที่จ้ำอ้าวหนีไป “โทรศัพท์พี่ตรีติดต่อไม่ได้แล้วว่ะเจ้าเล็ก ทำไงต่อไปดีล่ะทีนี้” “ก็พี่เล่นกระหน่ำโทรตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ป่านนี้แบตพี่ตรีคงจะหมดแล้วน่ะสิ” ระหว่างที่หลายชีวิตภายในบ้านกำลังกระวนกระวายใจเรื่องของตรีศูล ที่แม้เขาจะโตมากพอจะออกจากบ้านในเวลาไหนก็ได้ แต่เป็นเพราะครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ด้วยรถที่เขาหุนหันใช้ขับออกไปเป็นรถแต่งเพื่อใช้แข่งขันในสนามโดยเฉพาะของเป็นบุตร บวกกับอารมณ์ที่กำลังร้อนของเจ้าตัว ทำให้หลายชีวิตภายในบ้านกลัวว่าตรีศูลจะทำอะไรประชดชีวิตขึ้นมา “คุณโตคะ โทรศัพท์จากโรงพยาบาลค่ะ” ปริญญ์รับโทรศัพท์จากเด็กในบ้านมาไว้แนบหู ใจคอเริ่มไม่ดี “ครับ ใช่ครับ” หลังจากที่ฝ่ายนั้นสนทนากลับมาแค่สองสามประโยค ก็ทำให้ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อกับเรื่องที่ได้รับรู้อย่างกะทันหัน เขาไม่กล้าจะเอาโทรศัพท์ออกจากหูด้วยซ้ำ ด้วยไม่รู้ว่าเรื่องที่ได้รับฟังเป็นแค่ความฝัน หรือใครบางคนต้องการล้อเล่นกับเขาและครอบครัว ปานภูมิมองเห็นความผิดปกติได้เป็นคนแรก “มีอะไรหรือเปล่าครับพี่โต” ปริญญ์รับรู้ถึงสิ่งรอบกาย แม้เสียงที่ได้ยินหรือภาพที่เห็นจะหมุนไปหมุนมาและกึกก้องไปทั่วโสตประสาทเขาก็ตาม แต่เขาต้องเข้มแข็งด้วยตอนนี้เรื่องราวที่เกิดมันแย่พออยู่แล้ว “สี่ไปบอกพ่อที เราต้องไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลย” “ใครเป็นอะไรครับ” เป็นบุตรเอ่ยคำถามที่ทุกคนในที่นี้ต่างก็ต้องการรับรู้เช่นเดียวกัน “ตะ... ตรีรถชน ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล” โรงพยาบาล เสียงสั่นเครือของพ่อที่เข้าไปเขย่าคุณหมอหนุ่มรูปร่างสันทัด ที่เพิ่งออกมาจากห้องฉุกเฉินเพื่อถามถึงอาการของลูกชายท่าน ทำให้คนมองอย่างเขาปวดใจเหลือจะกล่าว “คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ตอนนี้หมอยังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมนะครับ หมออยากให้คนไข้ได้พักผ่อนก่อน” “อาการพี่ชายผมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วใช่ไหมครับคุณหมอ” แม้หมอจะยิ้มรับคำถามของลูกชายเขา แต่ก็ยังมีเสียงถอนหายใจน้อยๆ ตามมา ยิ่งทำให้ปริตรอยากรู้ว่าตกลงลูกชายคนที่นอนอยู่ข้างในนั้นปลอดภัยแน่แล้วจริงหรือไม่ “หมออยากจะแจ้งให้ญาติคนไข้ทราบไว้ก่อนนะครับ ว่าตอนที่คุณตรีศูลเกิดอุบัติเหตุ ถึงร่างกายคนไข้จะสมบูรณ์แข็งแรงมาก อาการภายนอกเลยมีแค่พกช้ำ และแผลเปิดไม่กี่จุด จะหนักหน่อยก็ตรงขาขวาที่ต้องเข้าเฝือกเพราะหัก และแขนซ้ายก็ยังต้องเข้าเฝือกอ่อนไว้ ซึ่งถือว่าโชคดีมากในรายที่ประสบอุบัติเหตุรุนแรงขนาดนี้...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม