หลายปีต่อมา...
ดวงตาทมิฬเบิกกว้างขึ้นเมื่อครบกำหนดทำสมาธิสิบห้าปี เรือนร่างกำยำของเจ้าที่แกร่งก้าวลงจากแท่นบำเพ็ญเพียร อาคมแก่กล้าที่เขาเฝ้าจดจำและฝึกฝนตลอดระยะเวลาที่เข้าพิธีผนึกวิญญาณ ทำให้วิญญาณอาวุโสในเวลานี้แข็งแกร่งมากขึ้น
“ไอ้พวกนี้ ไม่รู้จักเปลี่ยนเวรกันเฝ้าศาล หายหัวไปไหนกันหมด” ผู้อาวุโสเดินออกมานอกศาล กวาดตามองไปทั่วทุกทิศก็พบว่าภายในศาลไร้วี่แววของสองบริวาร ทั้งยังสัมผัสไม่ได้ถึงการมีอยู่ของบริวารในป่าช้านี้ด้วย “ออกไปเที่ยวเล่นกันอีกแล้วสินะพวกมึง พอกูไม่อยู่ก็ไม่ทำงานทำการ” เสียงเย็นยะเยือกบ่นให้สองผีที่หายตัวไป
สองขาแกร่งก้าวออกมานอกระเบียงศาล ร่างกำยำยืนกอดอกมองทิวทัศน์ด้านนอก ทว่าคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อจู่ ๆ ก็มีบางอย่างกวนใจ
“ลืมอะไรหรือเปล่าวะ เหมือนลืมทำอะไรสักอย่างเลย” ในหัวของเจ้าที่แกร่งครุ่นคิดเมื่อมีบางอย่างมาสะกิดใจเขา แต่พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก ยิ่งดวงตาทมิฬจ้องมองไปยังกระท่อมน้อยตรงหน้าศาล ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาได้ลืมทำบางสิ่งบางอย่างไป
“แม่งเอ๊ย! ลืมอะไรก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวไอ้พวกนั้นก็เตือนเองนั่นแหละ” เสียงทุ้มสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด กระท่อมน้อยตรงหน้าก็กวนใจไม่หายสักที
โครม!
เพียงเสี้ยววินาทีที่ฝ่ามือหนาโบกบ่ายไปมากลางอากาศ กระท่อมน้อยตรงหน้าก็พังลงราวกับถูกลมพายุกระหน่ำ
“อะไรน่ะ? ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ!” เสียงของใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับวิ่งมายังซากกระท่อมน้อย ดวงตากลมโตมองกระท่อมที่พังลงด้วยแววตาราวกับจะร้องไห้ ร่างเล็กค่อย ๆ ดึงท่อนไม้และใบหญ้าที่ใช้มุงหลังคาออก ดวงตาคู่สวยรุกรี้ลุกลนราวกับมองหาอะไร
“อย่าพังนะ ไม่งั้นงานหายหมดแน่เลย” เรียวปากน้อยพึมพำ มือก็ดึงท่อนไม้ออก
เด็กหญิงอบเชยในวันนั้นตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว เธอเรียนมหาวิทยาลัยในตัวจังหวัด กลับบ้านทุกเย็นวันศุกร์และตามลุงหมอกมาทำรายงานมานั่งอ่านหนังสือที่กระท่อมน้อยในป่าช้านี้เป็นประจำ
“ต้องส่งงานวันจันทร์นี้ด้วยสิ อย่าเป็นอะไรนะ” เสียงหวานปนเศร้าพึมพำ
“...” คนมีความผิดเกาหัวแก้เก้อมองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ นี่เขาทำอะไรผิดงั้นเหรอ ทำไมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย
ว่าแต่ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน มาทำอะไรในป่าช้าเขา?
“อบเชย! เป็นอะไรหรือเปล่า!” เสียงตกอกตกใจของหมอกร้องถามหลานสาวขณะเดินแบกจอบออกมาจากป่าอีกด้าน ผู้เป็นลุงทิ้งจอบลงกับพื้นก่อนจะวิ่งเข้ามาหาหลานสาวด้วยความรีบร้อน มือหนาดึงตัวหลานสาวออกจากซากกระท่อม “เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” ผู้เป็นลุงเอ่ยถามพลางสำรวจเนื้อตัวของหลานไปด้วย
“เชยไม่เป็นอะไรหรอกลุง แต่โทรศัพท์มือกับโน๊ตบุ๊กของเชยที่วางไว้ในกระท่อมนี่สิ ไม่รู้เป็นไงบ้าง ถ้าพังนะ งานเชยหายหมดแน่เลย ต้องส่งวันจันทร์นี้ด้วยสิ” หลานสาวบอกผู้เป็นลุง ดวงตาหวานหมองลงจนน่าสงสาร
“ออกไปรอไกล ๆ เดี๋ยวลุงรื้อหาให้ อย่ามายืนใกล้เดี๋ยวจะเหยียบตะปูเอา”
คนในศาลมองสองลุงหลานด้วยความรู้สึกแปลก ๆ เจ้าที่แกร่งมองซ้ายทีขวาทีราวกับกลัวว่าจะมีใครเห็นตอนตนก่อเหตุ ดวงตาสีมืดมองสัปเหร่อหนุ่มก็จำได้ทันทีว่าเป็นหมอก ส่วนอีกคนหากหมอกไม่เอ่ยชื่อเธอเขาเองก็คงจำไม่ได้
“โตแล้วเหรอวะ” เสียงเย็นยะเยือกพึมพำพลางมองไปที่ร่างอรชรหน้าศาล ทารกที่แผดเสียงร้องจนแสบแก้วหูมีหรือเจ้าที่อย่างเขาจะจำเธอไม่ได้
“ว่าแต่งานอะไรหาย มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง ทำหน้าอย่างกับคนจะเป็นจะตาย” เจ้าที่แกร่งพึมพำต่อ
วูบ~
“เฮ้ย!”
“อะไรเนี่ย ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?” ทันใดนั้นเองสองบริวารก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมกันหน้าซากกระท่อมน้อย ใบหน้าของสองผีดูตกอกตกใจไม่แพ้สาวน้อยที่ยืนมองดูลุงอยู่ห่าง ๆ
“โน๊ตบุ๊กน้องจะพังไหมมึง น้องมันต้องส่งงานวันจันทร์นี้นะ” ขุนศึกหันไปถามเพื่อนรัก เมื่อเห็นว่าหมอกหยิบโน๊ตบุ๊กออกมาจากซากกระท่อม พวกเขาสองคนตามติดอบเชยทุกวันจนรู้ว่าในแต่ละวันน้องสาวของพวกเขาทำอะไรบ้าง
“ไม่หรอกมั้ง แค่ตกพื้นไม่น่าจะเป็นอะไร แต่มือถือนี่ก็ไม่แน่ว่ะ เห็นหน้าจอแตก คงต้องลองเอาไปซ่อมดู” ขุนพลพูดกับเพื่อนเมื่อเห็นหมอกยืนกดโทรศัพท์มือถือของหลาน
“ว่าแต่ลมห่าอะไรจะพัดแรงขนาดนั้นวะ เละอย่างกับระเบิดลง” ขุนศึกว่า เขาเดินไปลูบหัวอบเชยเบา ๆ โดยที่เด็กสาวไม่รู้ตัว “อย่าร้องนะน้องเชย เดี๋ยวพี่จะด่าไอ้ลมเวรตะไลนี่ให้เอง บังอาจพัดมาแรง ๆ ทำของของน้องพังหมด”
“เออ ไอ้ลมชาติชั่ว นี่ถ้ามึงมีตัวตนนะ สงสัยต้องใส่เดี่ยวกันสักหน่อยแล้ว” ขุนพลพูดบ้าง เขาทำท่าฟึดฟัดราวกับจะซัดหน้าลมพายุที่พัดกระท่อมน้อยของน้องสาวพัง
“...” ใครบางคนในศาลยืนตัวลีบอยู่คนเดียว ร่างใหญ่ค่อย ๆ หมุนตัวเดินกลับเข้าไปอย่างเงียบ ๆ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักโทษหลบหนีซะงั้น หากแต่เสียงบริวารหนุ่มที่หันมาเจอเข้าพอดีก็ทักทายขึ้น ทำร่างใหญ่สะดุ้งโหยง
“ท่านปู่ตื่นแล้วเหรอครับ”
“อะอือ” เสียงทุ้มงึมงำเบา ๆ ตอบรับผู้เป็นบริวารขณะยืนอยู่ระเบียงศาล
“ท่านปู่ออกมาทันตอนกระท่อมพังไหมครับ มีพายุเหรอทำไมต้นไม้แถวนี้ยังปกติ” ขุนพลถามคนด้านใน คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ส่ายหัวให้หน่อย ๆ
“เดี๋ยวลุงพาไปซ่อม ถ้าใช้ไม่ได้ก็ซื้อใหม่” หมอกคุยกับหลานสาว ถึงเขาจะเป็นแค่สัปเหร่อแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเงิน
“แค่เปลี่ยนหน้าจอก็น่าจะใช้ได้แล้วล่ะลุง มือถือแค่จอแตกส่วนโน๊ตบุ๊กไม่เป็นอะไร แค่เป็นรอยนิดหน่อย” เสียงหวานบอกลุง
“งั้นวันนี้เรากลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยววันหลังลุงจะทำกระท่อมให้ใหม่ เอาหลังใหญ่กว่านี้ หลังนี้สงสัยมันผุแล้วก็เลยพัง” มือใหญ่โยกศีรษะทุยไปมาเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับไปแบกจอบที่วางทิ้งไว้ ผู้เป็นลุงจูงมือหลานสาวเดินออกจากป่าช้าไปในใจนึกถึงกระท่อมหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
“งั้นเดี๋ยวผมมานะครับท่านปู่ ออกไปส่งน้องกลับบ้านก่อน” ขุนศึกตะโกนบอกผู้อาวุโสก่อนจะหายวับไปโดยไม่รอคำอนุญาต ขุนพลเห็นเพื่อนหายไปแล้วก็ตามไปบ้าง
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเขาจะออกไปนอกป่าช้าและนอกวัดได้ เพราะท่านปู่ตื่นแล้วคงเรียกพลังที่ให้พวกเขายืมใช้คืน เมื่อไม่มีพลังนั่นวิญญาณธรรมดาก็ไปไหนไม่ได้
“ไอ้พวกเวรนี่ อย่าบอกนะว่าที่หายหัวไปแบบนี้เพราะไปตามเด็กนั่น” เสียงทุ้มปนหงุดหงิดว่าให้สองบริวาร “ตามประคบประหงมอย่างกับเป็นไข่ในหิน ไร้สาระจริง ๆ” เสียงทุ้มบ่นต่อก่อนจะหายวับออกจากศาลไปตรวจตราป่าช้าและวัด หลังจากที่ไม่ได้ตรวจด้วยตัวเองมานานถึงสิบห้าปี