ตอนที่ 10

868 คำ
                “ก็จริงอย่างที่จ่าพูดนะ แต่จ่าช่วยบอกผมหน่อยว่าคนร้ายมันเอาศพมาทิ้งตอนไหน ทำไมพวกเราไม่รู้ เพราะกลางวันไม่มีทางที่มันจะมาทิ้งศพได้ และหากเป็นกลางคืน กว่าที่มันจะเอาศพเข้ามาได้ ตัวใหญ่ขนาดนี้มันก็ต้องใช้รถใส่เข้ามา เราต้องเห็นสิ แต่ทำไมเราไม่เห็น”           “ก็นั่นแหละครับผมถึงคิดว่าไม่ใช่คน” จ่านิกรพูดตามท้ายหลังจากที่ผู้กองกฤษณ์เดินหัวเสียจากไปแล้ว เพราะหากอยู่ต่อหน้าแล้วเขาแสดงออกว่าเชื่อ 100% ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มาจากฝีมือของ ‘ผี’ เห็นทีอนาคตทางราชการเขาคงหมดทางรุ่งเรืองเป็นแน่ เมื่อผู้บังคับบัญชาต้องการให้เชื่ออย่างนั้น เขาก็ต้องแสดงออกว่าเชื่อ ทั้งที่ในใจนั้นหวาดหวั่นทุกขณะที่ต้องตรวจตราทั่วคุ้งน้ำแห่งนี้ และไม่เพียงเขาหรอกที่กลัว เพราะนายตำรวจทุกนายก็ต่างรู้สึกไม่ต่างกัน จะมีเพียงก็แต่ผู้กองกฤษณ์เท่านั้นที่ขยันเข้าไปที่ศาลาริมน้ำที่หน้าวัดอยู่ทุกค่ำคืน   ร่างสูงใหญ่ของผู้กองกฤษณ์เดินวนไปวนมาอยู่ที่ศาลาท่าน้ำนานแล้ว แต่คนที่เขารอคอยอยู่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาถึงสักที และคาคบไม้ด้านหน้าที่มองเห็นแสงไฟอยู่ทุกค่ำคืน ทว่าในค่ำคืนนี้ก็กลับมืดทึบไม่มีแสงไฟใดๆ เปล่งออกมาให้เห็น ความร้อนรนมากมายที่ก่อเกิดในหัวใจทำให้ผู้กองกฤษณ์ตัดสินใจ ช่วงขายาวก้าวเร็วไปที่ท่าน้ำเพื่อตรงไปยังเรือพลาสติกลำเล็กที่ลอยลำอยู่ด้านหน้าศาลา แม้จะดูละลาบละล้วงเพราะไม่รู้ว่าเรือลำนี้เป็นของใครด้วยซ้ำ แต่ความร้อนใจก็ทำให้ผู้กองกฤษณ์ตัดความไม่ชอบในด้านนี้ออกไปจนสิ้น และอีกปัญหาที่ผู้กองต้องฉุกคิดก่อนจะค่อยๆ พาตัวเองก้าวเท้าลงเรือไปอย่างระมัดระวังก็เป็นเพราะว่า เรือนั้นมีขนาดที่เล็กมากจนไม่น่าจะพาคนตัวโตอย่างเขาไปให้ถึงยังคุ้งน้ำด้านหน้าได้ แต่คงไม่มีสิ่งใดที่จะทัดทานความร้อนรุ่มแห่ง ‘เสน่หา’ ได้ รวมทั้งความห่วงหาในตัวของ ‘บัว’ ก็มีอยู่มาก เขาอยากรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดค่ำคืนนี้บัวถึงไม่มาตามสัญญา ที่จะพบกันที่ศาลาริมน้ำหน้าวัดในทุกค่ำคืน ผู้กองกฤษณ์หาความสงบในใจตัวเองไม่ได้ และยิ่งมือจับไม้พายเพื่อจ้วงน้ำให้เรือเร็วรี่ไปด้านหน้าเขาก็ยิ่งต้องหงุดหงิด เพราะยิ่งพายก็คล้ายว่าเรือจะลอยวนไปวนมาอยู่ไม่พ้นท่าน้ำแห่งนี้สักที แต่ความมุ่งมั่นจากสายตาที่มองตรงไปข้างหน้าก็ทำให้ผู้กองไม่ท้อ พยายามพายงัดๆ กะจังหวะของพายเพื่อให้จังหวะเรือลอยไปด้านหน้า แม้จะดูช้าแต่ก็ถึงแน่นอน กฤษณ์คิดอย่างนั้น แต่สิ่งที่ทำอยู่มันไม่ง่ายเหมือนคิดน่ะสิ “ทำไมมันไม่ไปไหนสักทีนะ โธ่โว้ย! บัวจะเป็นยังไงบ้างไม่รู้ ไปสิ พาฉันไปหาบัวที ไปสิเรือ” ยิ่งคิดยิ่งทำก็ดูจะหงุดหงิดมากขึ้น จนเรือเอนไปกระทบอะไรบางอย่างดังกึก ผู้กองรูปหล่อจึงได้สติขึ้นมา ใบหน้าหันหาที่มาของเสียงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งอก รอยยิ้มที่ทำให้ผู้มาใหม่ต้องยิ้มตอบออกมาเช่นกัน “บัว! พี่รอตั้งนาน ทำไมวันนี้บัวมาช้าล่ะ” ผู้กองกฤษณ์เอ่ยถามทั้งสีหน้ายังดูเง้างอนแบบไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร “อิอิ... พี่กฤษณ์หงุดหงิดเหรอคะ” กิริยาป้องปากพลางหัวเราะคิกคักทำให้กฤษณ์อยากดึงเธอเข้ามากอดนัก เพราะใบหน้างดงามที่กระจ่างชัดจากแสงจันทร์ด้านบนที่ส่องกระทบผืนน้ำ ยิ่งทำให้บัวดูงดงามมากเสียกว่าวันอื่นๆ ที่ได้พบกันเสียอีก แวบหนึ่งนั้นผู้กองกฤษณ์เผลอคิดอยากไปเยี่ยมเยือนบ้านของเธอให้รู้แล้วรู้รอด แม้จะเป็นเวลาแค่ 1 สัปดาห์ที่ได้รู้จักกัน แต่เขาก็บอกกับตัวเองว่าแน่ใจแล้วที่ ‘รัก’ เธอคนนี้ ผู้หญิงบ้านๆ ที่สร้างความสุขและความเย็นชื่นหัวใจให้กับเขาทุกเวลาที่ได้พบกัน อาจเพราะบัวคุยสนุกและมีคำพูดมาปะทะคารมกับเขาได้ตลอดเวลา จนกลายเป็นความเคยชินที่จะต้องได้พูดคุยในทุกค่ำคืน และคืนนี้ก็เช่นกัน “บัวยังไม่บอกพี่เลยว่าทำไมถึงมาช้า” “บัวรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ครั่นเนื้อครั่นตัวด้วยก็เลยนอนหลับยาวไปหน่อย ตื่นมาอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว แถมไฟที่บ้านบัวยังดับอีกด้วย” “โธ่! อย่างนั้นก็ไม่น่าจะต้องมา” กฤษณ์เอ่ยเสียงแผ่ว ฝ่ามือกอบกุมมือบอบบางทว่าเย็นจัดนั้นไว้ด้วยความเป็นห่วง  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม