นับตั้งแต่คืนที่เกิดช่วงคาบเกี่ยว โคลินสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจมากขึ้น เพราะเขตสิบสามเงียบสงบไม่มีวิญญาณร้ายหรือปีศาจโผล่มากวนใจเขาแม้แต่น้อยซึ่งก็เป็นเรื่องที่ปกติอยู่แล้ว หากแต่เขตหนึ่งอย่างโรงพยาบาลที่เป็นใจกลางและแหล่งซ่องสุมของพวกมันกลับสงบเงียบไม่แพ้กัน
แม้ไม่รู้ว่าสามารถมาจากสิ่งใดแต่ก็ทำให้ทั้งการ์เดี้ยนและยมทูตประจำเขตได้พอมีเวลาพักหายใจบ้าง หลังเลิกงานช่วงหกทุ่ม โคลินจึงแวะมาหาเซนที่ร้านกาแฟเพื่อถามข่าวความคืบหน้า
“เซน คุณรู้สึกไหมครับว่ามีอะไรแปลกไป” โคลินเอ่ยปากถามพลางดื่มนมสดร้อน สายตามองไปนอกตึกที่ว่างเปล่า
“อื้ม เงียบหูลงไปเยอะ” เซนตอบเสียงเรียบ
“ผมหมายถึงเรื่องปีศาจกับวิญญาณร้ายในเขตหนึ่งอ่ะ คุณหมายถึงมาริอุสเหรอครับ” โคลินยิ้มแกล้งเขาเมื่อเห็นสายตาของเซนมองไปที่โต๊ะประจำ “คุณยมทูตเงาไปไหนเหรอครับ”
“พ่อเรียกพบ” สีหน้าของเซนเรียบเฉยราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
“คุณเคยเจอไหมครับ” โคลินเริ่มอยากรู้เรื่องลึกลับของยมทูตเงาอย่างเขาบ้าง
“อื้ม” เขาพยักหน้า “เธออยากรู้เรื่องอะไรกันแน่”
“ก็แบบว่าสนิทกันมานานแค่ไหนแล้ว ผมเห็นพวกคุณอยู่ด้วยกันตลอดเลย” โคลินพูดไปตามที่เห็น ดูแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเป็นเพื่อนสนิทกันก็ไม่เชิง เพราะว่าดูสนิทแต่ก็เหมือนจะตีกันตลอด แถมพอไม่เห็นหน้าก็ทำเหมือนชีวิตน่าเบื่อทั้ง ๆ ที่ตอนอยู่ด้วยกันแทบจะไล่อีกคนให้พ้นหูพ้นตา
“เรื่องของผู้ใหญ่” เซนปฏิเสธทันควัน “วิญญาณที่อยู่บ้าน หาร่างเจอหรือยัง” เขาเอ่ยปากถามบ้าง
“ไม่เลยครับ คุณรู้ข้อมูลอะไรบ้างไหม” โคลินคิ้วขมวดครุ่นคิด ผ่านไปหลายวันแล้วแต่เฌโรมก็ยังจำอะไรไม่ได้สักนิดเดียว แถมเจ้าตัวยังไม่กระตือรือร้นจะหาร่างตัวเองอีก
เซนส่ายหน้า แม้ว่าเขาจะเป็นทูตสวรรค์แต่ก็ทำหน้าที่ในการล่าปีศาจมากกว่าจะมายุ่งเรื่องของมนุษย์จึงไม่มีข้อมูลของวิญญาณมนุษย์คนใดในมือเลย
“ถ้ายังงั้นคงจะมีแค่สองทาง หนึ่ง รอมีอาหาระเบียนวิญญาณมาให้ กับสอง รอความจำเขากลับมา” โคลินถอนหายใจ ไม่รู้ว่าวิธีไหนจะได้ผลกว่ากัน
“หนทางที่สาม ปล่อยให้ชะตาฟ้าลิขิต” เซนกล่าวสำทับ
“แบบนั้นก็เท่ากับว่าถ้าเข้าร่างไม่ทันก็ตายนี่ครับ” เขามองหน้าทูตสวรรค์เลิ่กลั่ก
“ครั้งก่อนที่ฉันห้ามเธอไม่ให้เข้าไปยุ่งกับปีศาจยังเถียงกลับมาว่าถ้าตายก็ไม่เป็นไรอยู่เลย” ดวงตาสีทองของเซนกำลังรอดูว่าโคลินจะอ้างเหตุผลอะไรมาเถียงเขาอีก
“ไม่ได้สิครับ ไม่เหมือนกันสักหน่อย ผมมีหน้าที่ปกป้องเขานี่นา ยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ” น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้เซนยิ้มมุมปาก
“เธอช่างเป็นคนที่เอาแต่ใจจริง ๆ” ทูตสวรรค์ส่ายหน้า
จู่ ๆ กลิ่นไซคลาเมนก็ลอยโชยมาในร้านกาแฟพร้อมเสียงที่เซนเคยบ่นว่าหนวกหู
“ไม่เจอหลายวัน คิดถึงกันไหม” มารุอิสยิ้มกว้างให้ทั้งสอง พร้อมของฝากเล็กน้อยจากขุมนรก
“อันนี้อะไรครับ” โคลินเบ้ปากมองก้อนสี่เหลี่ยมสีดำในมือ
“ก้อนหินจากนรกขุมที่หนึ่งพันเก้าร้อย” มาริอุสตอบเขาอารมณ์ดี พลางหันไปหาเซน “พ่อถามหานาย แล้วก็อันนี้ของฝาก” มาริอุสวางมันไว้บนมือของเขา
เซนมองดูก้อนสามเหลี่ยมที่วางอยู่บนมือของตัวเองคล้ายจะบอกว่า “เอามาให้ทำไม”
“ประตูมิติกลับบ้านฉัน ไม่ต้องรอช่วงคาบเกี่ยว” รอยยิ้มของมาริอุสทำให้โคลินถึงกับขำพรืด
“พวกคุณดูสนิทกันมากเลยนะครับ” เขามองหน้าเซนสลับกับมาริอุส
“แน่นอนสิ นายไม่รู้เหรอว่าพวกเรารู้จักกันมาตั้งห้าร้อยปีแล้วนะ พ่อกับแม่ฉันเอ็นดูเขามากถึงขนาดว่า...” มือของเซนเอื้อมมาปิดปากของมาริอุสไว้ตามเคยพร้อมสายตาดุเชิงห้ามปราม
“ผมไม่กวนพวกคุณดีกว่า เหมือนว่าเซนจะมีเรื่องคุยกับคุณเยอะเลย เมื่อกี้เห็นมองหาคุณตลอด” โคลินทิ้งระเบิดลงหนึ่งลูกก่อนรีบวิ่งแจ้นกลับบ้านของตนเองทันที ได้ยินเสียงของทั้งสองดังแว่วมาแต่ไกล
ที่แท้นายก็คิดถึงฉันอยู่ใช่ไหม ทำไมต้องปากแข็งด้วยเล่า
หุบปากได้แล้ว หนวกหู จะไปไหนก็ไป
ขณะกำลังเดินยิ้มไปพลางนึกถึงเรื่องของทั้งสองคน เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าประตูโรงพยาบาล
“เลิกงานแล้วเหรอครับ” เฌโรมเอ่ยปากถาม
“ผมไม่ได้บอกว่าให้รออยู่บ้านเหรอ” เขาเลิกคิ้วคิดในใจว่าทำไมถึงบอกยากบอกเย็นแบบนี้
“แต่แถวนี้ไม่มีอะไรมาหลายวันแล้ว น่าจะปลอดภัยดีนี่ครับ” อีกฝ่ายแย้งกลับไม่สนใจสายตาที่กำลังจ้องมองมา
“แล้วถ้าช่วงคาบเกี่ยวเปิดขึ้นมา จะไปหลบที่ไหนทัน” โคลินตอบกลับโดยลืมนึกไปว่าเขาเป็นเพียงวิญญาณไม่จำเป็นต้องนั่งรถไฟฟ้าหรือวิ่งกระหืดหอบก็สามารถกลับบ้านได้ในพริบตาเดียว
วิญญาณชายหนุ่มจึงหายตัวไปแวบหนึ่งแล้วปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาตามเดิมพร้อมพูดว่า “เมื่อกี้นี้ผมกลับไปรอคุณที่บ้านมาแล้ว แต่คุณยังไม่ถึงบ้านสักที ผมเลยออกมาตาม”
“เฮ้อ!” โคลินถอนหายใจเดินดุ่ม ๆ ไม่สนคนเดินตามหลัง ที่ทิ้งระยะห่างไปเรื่อย ๆ
ให้ตายสิ ลืมไปว่ามองไม่เห็น โคลินคิดในใจแล้วชะลอฝีเท้าให้ช้าลงจนเฌโรมเดินตามเขาทัน ทีอย่างนี้ไม่ยอมหายตัว
“หายตัวบ่อย ๆ ผมเหนื่อยน่ะครับ เดินไปพร้อมคุณดีกว่า แต่ถ้าคุณรีบกลับบ้าน...” เฌโรมยื่นมือข้างหนึ่งออกไปแล้วพูดว่า “ผมมองไม่ค่อยเห็น ถ้าคุณรีบ ช่วยจับมือผมแล้วเดินไปพร้อมกันได้ไหม จะได้ถึงบ้านเร็ว ๆ”
โคลินส่ายหน้าตอบกลับว่า “ผมไม่รีบ”
ระหว่างทางทั้งสองคนเดินพูดคุยกัน โคลินถามเฌโรมไปเรื่อยเผื่อเขาจะจำอะไรได้บ้าง ทั้งเรื่องของสถานที่ละแวกนี้ สวนสาธารณะ ร้านเสื้อผ้า แต่อีกฝ่ายยังคงนึกเรื่องของตัวเองไม่ออกเช่นเคย
ขณะกำลังเดินเล่นเพลิน ๆ หางตาของโคลินก็เหลือบเห็นร่างโปร่งแสงบนตึกสูงจากฝั่งตรงข้าม ไอสีดำปกคลุมร่างนั้นให้ความรู้สึกชั่วร้ายแฝงอยู่
ร่างบางในชุดคลุมกระโปรงสีขาวกับผมยาวสลวยทิ้งตัวเองลงมาจากระเบียงชั้นบนของเพนต์เฮาส์โอเรียนน่าพร้อมเสียงหวีดร้องสั่นสะพรึ่งจนโคลินไม่อาจละสายตาไปได้
เขากำลังก้าวเดินไปทางนั้นแต่เฌโรมกลับดึงแขนเอาไว้ เพราะทันทีที่ร่างนั้นตกลงมาที่พื้นเบื้องล่าง มันก็ลุกยืนขึ้นบิดร่างบิดกระดูกของตัวเองกรอบแกรบส่งสายตาน่ากลัวมาทางนี้
เธอเอามือจับคอที่หักพับไปทางซ้ายกลับมาวางไว้บนร่างตามเดิม รอยยิ้มแสยะบนใบหน้าเปื้อนเลือดจ้องร่างวิญญาณของเฌโรมไม่วางตา
“กลับไปรอที่บ้าน” น้ำเสียงจริงจังของโคลินบอกเขา แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะขยับตัวทำอะไร ร่างบางของหญิงสาวก็ยื่นมือยาวมาทางนี้หมายจะหักคอของเฌโรม
ดาบเงินประจำตัวโคลินถูกเจ้าของมันตวัดตัดแขนนั้นดังฉับก่อนที่จะเข้าถึงตัวคนที่อยู่ข้างเขา แววตาของการ์เดี้ยนหนุ่มเปลี่ยนไปเวลาที่มองร่างของเธอ
วิญญาณร้ายดูเหมือนพร้อมฆ่าคนที่อยู่ตรงหน้าแต่กลับมีความรู้สึกเศร้าสร้อยจากส่วนลึกของจิตใจสะท้อนออกมาบางเบา