รถกระบะสี่ประตูสีดำวิ่งท่ามกลางสายฝนที่ถึงแม้จะตกไม่แรงนักแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เมื่อถึงจุดหมายประตูรั้วสีขาวถูกเปิดออกด้วยฝีมือของคนงานในบ้าน ณกรช่วยมารดาถือปิ่นโตและกล่องใส่อาหารที่นำไปให้เขาลงจากรถ เมื่อยื่นของให้เด็กในบ้านก็หันหลังกลับทันที
“นอนนี่เถอะณกร ฝนตกอย่างนี้แม่เป็นห่วง”ดวงหทัยรีบท้วงห้ามเมื่อเห็นลูกชายจ้ำอ้าวเดินไปที่รถ
“ไม่ล่ะครับแม่ พรุ่งนี้ผมต้องตื่นเช้าด้วย มีงานค้างอยู่ ฝากลาพ่อ ตา แล้วก็ยายด้วยนะฮะ”
“ขับรถดีๆ นะลูก ถึงบ้านก็โทร. บอกแม่ด้วยแล้วกัน” ดวงหทัยส่งสายตากำชับณกรจึงยิ้มรับพร้อมพยักหน้าก่อนจะขึ้นรถขับออกไปจนลับสายตาของมารดาที่มองอยู่
บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ซื้อใหม่อยู่ห่างจากสวนประมาณ 10 กิโลเมตรด้วยเพราะสมาชิกในบ้านที่มีหลายคนบ้านสวนนี่แสนคับแคบจึงถูกรื้อถอนเมื่อมีโอกาสและเงินมากพอที่จะซื้อหลังใหม่ได้ ส่วนหลังที่เขาอยู่ไม่เชิงเป็นบ้านนัก แต่เป็นบ้านกึ่งกระท่อมประยุกต์ หลังคามุงด้วยหญ้าคาตัวบ้านประกอบจากท่อนซุงทั้งหมดมีขนาดไม่ใหญ่นัก ห้องนอนก็มีห้องเดียวที่เหลือก็เป็นห้องส่วนกลางไว้นั่งพักผ่อนถัดมาก็เป็นห้องครัวเล็กๆ ติดกับห้องน้ำ ส่วนบริเวณที่เขาชอบมากที่สุดคงจะเป็นระเบียงบ้านที่ยื่นออกไปรอบตัวบ้านเวียนมาจนถึงบันไดของบ้าน เขาชอบมายืนตรงนี้ตอนเช้าๆ พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ มองดูธรรมชาติที่ตื่นมารับอรุณพร้อมๆ กับเขา
รถของณกรขับมาเรื่อยๆ ท่ามกลางสายฝนแต่เขาก็ไม่เร่งรีบเนื่องจากเพิ่งจะสามทุ่ม เพลงเบาๆ ที่ขับกล่อมคนฟังทำหน้าที่ของมันอย่างดีเยี่ยม แต่ทันใดนั้นขณะที่เขากำลังมีอารมณ์สุนทรีกับเพลงโปรด เบื้องหน้ารถของเขาที่แสงไฟจากรถสาดส่องไปมองเห็นร่างสองร่างกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่เป็นผู้ชายที่กำลังฉุดกระชากลากถูผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง
“ใครมาวิ่งไล่จับกันกลางฝนตอนดึกๆ อย่างนี้...หรือจะเป็นพวกโจรวางแผนออกปล้นวะ” มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดอย่างนั้นในเมื่อมีข่าวให้เห็นตามสื่อต่างๆ อยู่ทุกวันถึงกลวิธีแปลกๆ ของโจรที่จะปล้นรถที่ผ่านไปมา อาวุธประจำกายถูกนำออกมาจากลิ้นชักซึ่งเหน็บไว้ที่เอวอย่างรวดเร็ว
ปี๊นๆ...ไม่แน่ใจว่าข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น อาจจะเป็นพวกที่จะปล้นเขา หรืออาจมีคนต้องการความช่วยเหลือ ชายหนุ่มจึงทำทีบีบแตรแล้วชะลอความเร็ว
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณ” ณกรขยับรถไปจอดใกล้ๆ พร้อมลดกระจกและตะโกนถามเพราะคิดว่าต้องเกิดเหตุบางอย่างขึ้นแน่ แถวนี้เป็นที่เปลี่ยวห่างจากบ้านคนพอประมาณแถมฝนก็ตก บางทีหากมีเหตุร้ายเขาอาจจะช่วยอะไรบางอย่างได้เพราะดูท่าเด็กผู้หญิงคนนั้นน่าจะต้องการความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย!! ช่วยหนูด้วยค่ะ ฮือๆๆ” เด็กผู้หญิงคนนั้นร้องขอความช่วยเหลือทันทีที่เห็นรถจอดและกระจกรถถูกลดลงจนเห็นใบหน้าเจ้าของรถ
ณกรมองเห็นใบหน้าเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตามากกว่าจะเป็นน้ำฝน ดวงตาแดงก่ำ เสื้อผ้าเปียกปอนและขาดวิ่นซึ่งจากแสงไฟของรถเขาสามารถมองเห็นได้ดีและเขาก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูก้าวลงจากรถอย่างระมัดระวัง...เขายังไม่ได้ทิ้งประเด็นเรื่องโจรไปเสียทีเดียว
“ถ้าไม่อยากตายก็อย่ามาเสือกเรื่องชาวบ้าน!! ไอ้หนุ่ม!! อีนี่มันเป็นลูกสาวกูมันจะหนีตามผู้ชายถอยไปซะ”
“ไม่จริงค่ะคุณ เขาเป็นพ่อเลี้ยงฉัน เขาจะข่มขืนฉัน...ฉันเป็นลูกแม่อ้อย...โอ๊ย...” ยังไม่ทันจะพูดจบเด็กสาวก็ถูกชายคนนั้นต่อยเข้าที่หน้าท้องอย่างแรงจนจุกตัวงอ แต่ชื่อ ‘แม่อ้อย’ ที่เธอตะโกนบอกอะไรบางอย่างแก่เขา ทำให้ณกรฉุกคิดถึงเรื่องที่มารดาเล่าให้ฟังในตอนหัวค่ำ ‘ลูกสาวแม่อ้อยที่ป้าศรีไปงานเผาศพวันนี้ อยู่กับพ่อเลี้ยงขี้เมาตามลำพัง’ คิดได้เท่านั้นความสงสัยเรื่องโจรก็หายไปในพริบตา ณกรตัดสินใจชักปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ชายคนนั้นทันที
“ปล่อยเด็กซะ...ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” ณกรเอ่ยเสียงเย็นสายตาเหลือบมองไปยังสาวน้อยที่ตัวคู้งอเธอมองเขาอย่างวิงวอนน้ำใสๆ ไหลจากดวงตาเศร้า เขาไม่แน่ใจว่าเป็นน้ำฝนรึเปล่าแต่ที่แน่ๆ เธอกำลังขอบคุณและอ้อนวอนขอให้เขาไม่ทิ้งเธอ...สายตาเธอบอกเขาอย่างนั้น
“อะไรกันคุณ...นี่...นี่...ลูกสาวผมนะ ผมจะเอามันกลับบ้าน” เสียงกร้าวเมื่อครู่อ่อนยวบเมื่อเห็นมัจจุราชสีเงินที่เล็งมายังร่างของมัน แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยเฉย
“ฉันรู้จักแม่อ้อย...เพิ่งเสียไปใช่ไหม ศพก็เพิ่งเผาวันนี้นี่และเด็กคนนี้...ฉันขอ ไม่ว่าแกจะเป็นอะไรกับเธอนับจากนี้ไปอย่ามายุ่งเกี่ยวกับเธออีก” พูดจบเขาก็ยกปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าแล้วยิงรัวสองสามนัดติดกัน
“จ้ะๆ ไม่ยุ่งแล้ว ฉันไม่ยุ่งแล้ว เข็ดแล้วจ้า ไปแล้ว!!!”
สิ้นเสียงปืนทำให้ร่างของสาวน้อยถูกผลักมาที่เขาทันที ส่วนพ่อเลี้ยงขี้เหล้าของเธอก็วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเข้าไปตรงทางแคบๆ ที่อยู่ติดกับถนน ณกรเดาว่าน่าจะเป็นทางเข้าบ้านเธอ สาวน้อยถูกพยุงไปยังตัวรถ เขาเปิดประตูด้านข้างและดันเธอเข้าไปนั่งโดยไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากก่อนจะพาตัวเองไปยังฝั่งคนขับและหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ด้านหลังรวมกับเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งโยนให้เธอก่อนจะเคลื่อนรถออกไป
ตอนนี้ภายในใจของมธุรสกำลังสับสนเป็นอย่างมาก...แม่เธอเพิ่งจะเสียไปด้วยโรคร้ายและเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าตอนที่เธอกำลังนอนร้องไห้เพราะคิดถึงแม่ พ่อเลี้ยงใจชั่วก็เข้ามาปลุกปล้ำจะข่มขืนโชคดีที่เธอดิ้นจนหลุดและวิ่งหนีออกมาที่ถนนใหญ่ ถ้าแม่ยังอยู่แม่จะปกป้องเธอแม้ต้องแลกกับการเจ็บตัวแม่ก็จะไม่มีวันปล่อยใครทำร้ายเธอ...แล้วจากนี้ไปเธอจะทำอย่างไร...อยู่ที่ไหน...เงินล่ะ
มธุรสปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างหมดอาลัยพร้อมสายน้ำตาโดยลืมนึกถึงผู้มีพระคุณของเธอไปเสียสนิท แต่เสียงสะอึกสะอื้นพร้อมอาการกระสับกระส่ายนั้นก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของณกรไปได้ เขาไม่อยากถามไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ มีบ้างบางครั้งสายตาก็เหลือบมองดูร่างที่ห่อหุ้มด้วยผ้าขนหนูของเขานั่งคุดคู้อย่างน่าเวทนา
“ลงมาสิ...จะนั่งแข็งตายในนั้นรึไง” เมื่อถึงบ้านพักณกรเปิดประตูเดินลงจากรถก่อนจะออกคำสั่งกับแม่สาวน้อยที่เขาช่วยเหลือไว้เมื่อเห็นว่าเธอยังคงนั่งกอดเข่านิ่งไม่มีท่าทีจะลุกตามเขา
“เอ่อ...ที่นี่ที่ไหนคะ...แล้วคุณ...เป็นใครคะ” ทันทีที่ก้าวลงจากรถมธุรสก็ยิงคำถามใส่เขาด้วยท่าทีหวาดระแวงมองซ้ายมองขวาแต่เมื่อเห็นณกรยกมือเท้าสะเอวสองข้าง เธอก็ก้มหน้างุด
“นี่แม่คุณ...แทนที่จะขอบใจที่ฉันช่วยกลับมาถามยังกับว่าถูกฉันลักพาตัวมาอย่างนั้นล่ะ ฟังนะฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกแล้วก็รีบตามฉันขึ้นมาฉันไม่อยากเป็นปอดบวมตาย...เข้าใจไหม” เมื่อถูกสาวเจ้าทำเหมือนไม่ไว้ใจทั้งๆ ที่เขาช่วยมาแท้ๆ ณกรก็เริ่มไม่สบอารมณ์ทั้งอากาศที่เริ่มหนาวขึ้น ฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเขาเปียกหมดทั้งตัวอยากจะอาบน้ำและเข้านอนให้เร็วที่สุดก่อนจะเป็นไข้จนเข้าสวนไม่ได้ในวันรุ่งขึ้น มือหนาจึงคว้าข้อมือที่เย็นชืดนั้นลากขึ้นบนบ้านอย่างรวดเร็วจนสาวเจ้าแทบก้าวตามไม่ทัน
“น้ำหวาน...เอ่อฉันขอโทษค่ะและก็ขอบคุณมากๆ ที่คุณช่วยเหลือเมื่อกี้...คุณบอกว่ารู้จักแม่ฉัน”
ขณะที่ถูกลากกึ่งจูงมธุรสก็รีบขอโทษขอโพยเป็นการแก้ตัว เธอยอมรับว่ายังหวาดระแวงเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ ขนาดพ่อเลี้ยงที่อยู่กับแม่และเธอมาตั้งหลายปียังไว้ใจไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนที่เพิ่งเจอกันแต่หากเขาคิดทำอะไรจริงๆ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรแต่ถ้าเขารู้จักแม่เธอจริงเขาอาจจะช่วยเหลือเธอโดยบริสุทธิ์ใจก็เป็นได้ สิ่งที่เธอได้รับมีเพียงสายตาว่างเปล่าของเจ้าของใบหน้าคมสันแทนคำตอบ เขาไม่พูดอะไรยังจูงเธอเข้าไปยังห้องนอน นั่นยิ่งทำให้เธอหวาดวิตกยิ่งขึ้น
“อ่ะ...นี่ผ้าขนหนู ไปอาบน้ำซะ เปียกโชกขนาดนี้เดี๋ยวจะเป็นปอดบวมเอาได้ ฉันไม่อยากให้ใครมาตายที่นี่” พูดเสร็จผ้าขนหนูสีขาวผืนใหม่ก็ถูกโยนไปที่คู่สนทนา มธุรสรับมันไว้แต่ก็ยังยืนบิดม้วนไปมา
“ฉันรู้จักกับป้าศรี...แกเป็นแม่บ้านที่บ้านแม่ฉัน ทีนี้ไปอาบน้ำได้รึยัง เรามีเรื่องต้องคุยกันอีก เร็วๆ เข้าฉันจะได้อาบต่อห้องน้ำมีห้องเดียวอยู่ทางนั้น” เมื่อเห็นท่าทางอิดออดมีท่าทีไม่ไว้ใจของสาวเจ้าชายหนุ่มจึงจำต้องหาเหตุให้เธอวางใจเขานิดนึงก็ยังดีเพราะตอนนี้หนาวจะแย่อยู่แล้วขืนแม่คุณยังยืนบิดจนตัวกิ่วแบบนี้มีหวังได้เป็นปอดบวมตายทั้งคู่แน่ และมันก็ได้ผล เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขานิดนึงพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“เอ่อ...คือ”
“ไปอาบน้ำ...เดี๋ยวค่อยคุยกัน แล้วก็นี่ใส่เสื้อฉันไปก่อน ที่นี่ไม่มีเสื้อผ้าผู้หญิงเพราะฉันอยู่คนเดียวส่วนผ้าของเธอฉันอนุญาตให้ใช้เครื่องซักผ้า ซักเสร็จก็เอาไปตากตรงระเบียงหลังห้อง” เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอมีเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวแล้วมันก็เปียกหมด อีกทั้งเสื้อก็ยังขาดวิ่นจากการกระชาก ณกรจึงนำเสื้อเชิ้ตแขนยาวของตัวเองโยนให้เธอแต่เขาไม่มีชุดชั้นในหรอกนะ อย่างน้อยถ้าเธอซักซะพรุ่งนี้เธอคงจะได้ใส่มัน
สายตาที่บ่งบอกความรำคาญเบื่อหน่ายและน้ำเสียงเข้มในขณะที่โยนเสื้อมานั้นทำให้มธุรสหุบปากฉับพร้อมวิ่งไปที่ห้องน้ำทันที เอาเถอะอย่างน้อยเธอก็รู้แล้วว่าเขาเป็นลูกชายคนนึงของคุณดวงหทัยและเท่าที่ป้าศรีเพื่อนของแม่เล่าให้ฟังคนบ้านนี้ใจดีกันทั้งนั้น
มธุรสในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าตัวโคร่งคลุมไปจนเกือบถึงเข่านั่งพลิกซ้ายทีขวาทีอยู่บนที่นอนขนาดคิงไซส์ของเจ้าของห้องที่อาบน้ำอยู่และออกคำสั่งให้เธอนั่งรอเขาที่นี่ แผลที่โดนพ่อเลี้ยงตีมันกำลังระบม! และเธอกำลังเจ็บมากเจ็บยิ่งกว่าตอนที่นั่งมาในรถเสียอีก ณกรที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนสะอาดตามองเด็กสาวอย่างแคลงใจขณะที่มือยังสาละวนกับการเอาผ้าขนหนูเช็ดผม “ชื่ออะไร...เราน่ะ”
“หนูเอ่อ...ฉันชื่อน้ำหวาน ชื่อจริงชื่อมธุรสค่ะ” ใบหน้าหวานค่อยๆ หันมาทางเขาแต่ก็ยังก้มหน้างุดอยู่อย่างนั้นตลอด หากพิศมองให้ละเอียดแล้วเธอเป็นเด็กสาวที่ผิวพรรณผุดผ่องขาวเนียน คิ้วโก่ง จมูกโด่งเล็กเป็นสันได้รูป ปากสีชมพูระเรื่อเครื่องหน้ารับกับผมสั้นแค่ประบ่าที่ยังหมาดน้ำอยู่ มิน่าเล่าถึงได้ถูกพ่อเลี้ยงใจชั่วคิดไม่ซื่อ
“เอาล่ะเลิกกลัวฉันซะที...ถ้าฉันทำอะไรเธอ คงไม่ปล่อยมาเป็นชั่วโมงแบบนี้หรอก” เขายิ่งชักจะหงุดหงิดกับท่าทีของเจ้าหล่อนที่ทำเหมือนเขาเป็นพวกบ้ากามไม่เลือกอย่างนั้นเต็มที พลันสายตาก็พบความผิดปกติบางอย่างบนตัวเธอ...รอยแดงจ้ำเลือดเป็นทางยาวที่บริเวณน่องฝั่งซ้ายคล้ายถูกตีด้วยเรียวไม้หรือของแข็งและมันต้องแรงมากถึงได้ช้ำเลือดขนาดนั้น
“ขาเธอ...ไปโดนอะไรมา” ตาแป๋วมองเขาบอกความหมายไม่ได้ภายในตาเศร้านั้นมีน้ำคลออยู่เป็นประกาย
“โดน...โดนพ่อตีค่ะ...ก่อนที่จะวิ่งหนีมาที่ถนน”
“แล้วตีด้วยอะไรทำไมเป็นแผลขนาดนี้...ขอฉันดูหน่อย” ไม่พูดเปล่า ณกรตรงหรี่เข้ามาหาเธอ ผ้าขนหนูที่ใช้เช็ดผมถูกพันไว้ที่คอ
“เรียวไม้ไผ่ค่ะ...อุ๊ยคุณ!!! จะทำอะไรน่ะ”
“ฉันแค่จะดูแผลว่ามันเยอะแค่ไหน...” ณกรเปิดชายเสื้อของตนที่เจ้าหล่อนสวมอยู่ขึ้นเหนือเขาก็ถูกมือบางตะปบอย่างฉับผลัน ชายหนุ่มถึงกับอึ้งเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้มีแค่แผลเดียว รอยจ้ำช้ำเลือดนั้นมีสูงขึ้นไปตามเรียวขาสวย ด้วยสีผิวที่ขาวและซีดรอยนั้นจึงเด่นชัดและในตอนนี้มันปูดนูนขึ้นตามขนาดของไม้ที่ใช้ตีแล้วด้วย
“โดนตีถึงตรงไหนเดี๋ยวเอายาทาให้”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณ...ฉันทำเองได้ค่ะ ฉันไม่อยากรบกวนคุณน่ะค่ะ แค่นี้ฉันก็เกรงใจคุณจะแย่อยู่แล้วอีกอย่างผู้หญิงกับผู้ชายถูกเนื้อต้องตัวกันไม่ดีหรอกค่ะ...ฉัน...ฉัน” จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่าโดนตีทั้งตัว เขามิต้องทาให้เธอทั้งตัวหรอกเหรอ
“แทนตัวเองว่าน้ำหวานได้ไหมเธอคงเด็กกว่าฉันหลายปี...กี่ปีแล้วล่ะ”
“สิบแปดปีแล้วค่ะ...อุ๊ยคุณ...!!! พอเถอะค่ะอย่าเปิดอีกเลยฉันไม่ได้ใส่ชั้นในนะ!!” มธุรสเริ่มผลักมือหนาออกจากตัวเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าจะหยุดเปิดดูแผลของเธอ
“ฉันไม่ชอบเด็กเลิกคิดไปได้เลยว่าฉันจะปล้ำเธอ...บอกมาสิโดนตีถึงไหน หยุดโวยวายซะที!!! ที่ฉันดูเพราะอยากรู้ว่าแผลเยอะไหมบางทีเธออาจจะเป็นไข้เพราะแผลอักเสบแล้วยังตากฝนอีกด้วย ไม่ได้พิศวาสเธอหรอก”
มธุรสถึงกับน้ำตาคลอเบ้าเธอพยายามเหลือบตามองเพดาน เธอมองไม่ออกว่าตอนนี้เขาจะบริสุทธิ์ใจอย่างที่ว่ารึเปล่าแต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วไม่ใช่เหรอ
“ฉะ...เอ่อน้ำหวานโดนตีทั้งตัวค่ะ ไม่รู้ว่าโดนตรงไหนบ้าง แต่เจ็บไปหมดเลยคงไม่เหมาะถ้าคุณจะทายาให้”
“บ้าชิบ!!!!” ณกรสบถอย่างหัวเสียกับการกระทำของพ่อเลี้ยงใจชั่ว
“ฉันบอกแล้วน้ำหวานว่าไม่พิศวาสเธอหรอก...ทีนี้นอนคว่ำได้แล้ว ฉันไม่มองหรอกเดี๋ยวจะทายาให้”
‘ไม่มองแล้วจะทาได้ไงคะ’ อยากจะถามเขานักแต่มธุรสก็ไม่กล้าได้แต่ทำตามคำสั่งตัวสั่นงก เธอไม่เคยอยู่ใกล้ผู้ชายขนาดนี้แถมยังต้องถลกผ้าเปิดอะไรต่อมิอะไรให้เขาดูอีก
ณกรเองก็ใช่ว่าจิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัวนักเมื่อต้องมาอยู่ใกล้กับสาวน้อยวัยขบเผาะเช่นนี้เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูน ออกจะเชี่ยวชาญเรื่องนารีด้วยซ้ำไป แล้วนี้ยังต้องมาทายาให้เธอ...ไอ้แผลบ้านั่นก็ไม่รู้จะมากมายไปถึงไหนต่อไหนรึเปล่า แค่คิดความร้อนรุ่มก็เริ่มเข้าครอบงำเสียแล้ว