กว่าห้าโมงเย็นแล้ว ร่างสาวน้อยบนเตียงนอนในห้องของณกรเริ่มขยับตัวเล็กน้อย ความรู้สึกปวดเมื่อประดังเข้ามาเมื่อสติเริ่มมี ริมฝีปากแห้งผากขยับเม้ม ตากลมโตหยีเล็กน้อยเมื่อลืมขึ้นมาพบเจอแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างห้อง ‘หิวน้ำ’ ความต้องการของร่างกายบอกอย่างนั้น เธอค่อยๆ ลุกนั่งและพลางนึกทบทวนเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในที่แปลกตา
“แม่...” สำนึกแรกถูกเปล่งออกมาเป็นเสียง เมื่อเหตุการณ์ค่อยๆ ทยอยผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ เธอเสียมารดาไปเสียแล้วศพเพิ่งจะเผาไปเมื่อวานนี้ และวันนี้เธอควรจะไปวัดแต่เช้าเพื่อเก็บอัฐิ น้ำตาคนป่วยไหลพรากเมื่อนึกถึงบุพการีแม้แต่อัฐิของแม่เธอก็ไม่มีโอกาสได้ไปเก็บด้วยตัวเองเชียวหรือแล้วป่านนี้ใครจะทำหน้าที่แทนเธอ แม่จะเป็นอย่างไรบ้าง
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงห้าวจากใครคนหนึ่งที่ยืนกอดอกพิงประตูถามขึ้น เรียกสาวน้อยออกจากภวังค์ เขาคนนั้นที่ช่วยเหลือเธอเมื่อคืนนั่นเอง มธุรสใช้มือปาดน้ำตาแล้วพนมไหว้ผู้มีพระคุณ
“ขอบคุณ...คุณมากนะคะที่ช่วยหนูไว้ ถ้าไม่ได้คุณป่านนี้หนูคงแย่” กล่าวพร้อมน้ำตาที่ไหลพรากทำให้ณกรที่ทั้งเหนื่อยทั้งโมโหที่ต้องรีบบึ่งรถมาดูอาการเธอทั้งที่งานยังไม่เสร็จใจอ่อนยวบ
“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกอย่าคิดมาก...เธอเป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ...หนูอยากกลับบ้านค่ะ ป่านนี้ไม่รู้อัฐิของแม่จะมีคนจัดการรึยัง” หญิงสาวกล่าวพร้อมยกมือปาดน้ำตาอีกรอบ เธอพยายามพยุงตัวจนสามารถลุกยืนอยู่ข้างตียงเพราะเกรงใจชายหนุ่มที่เป็นธุระให้ ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้หญิงสาวยกมือลูบคลำตัวเองก็พบว่าเธอใส่ชุดชั้นในครบทุกชิ้นทั้งยังมีกางเกงขาสั้นสวมอยู่ด้วยคงมีแต่เสื้อเชิ้ตของเขาเท่านั้นที่ไม่คุ้นตาเพราะมันไม่ใช่ของเธอแต่เมื่อคืนเธอก็จำได้ว่าซักผ้าทั้งหมดตากไว้ที่ระเบียงนี่ แล้วทำไม?
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...แม่ฉันโทร.มาบอกว่าป้าศรีจัดการให้เรียบร้อยแล้วเธอรักษาตัวเองให้หายเถอะ แล้วพรุ่งนี้จะพาไปพบป้าศรี” ชายหนุ่มตอบโดยไม่ได้สนใจท่าทางตกอกตกใจของสาวน้อยที่ลูบคลำตัวเองอยู่
“ใคร เอ่อ...เปลี่ยนผ้าให้หนูค่ะ คงไม่ใช่...”
“ใช่...ฉันเองที่นี่ไม่มีใครนอกจากฉัน...บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้แทนตัวเองว่าน้ำหวาน” ณกรยังคงยืนกอดอกไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับอาการหน้าแดงเถือกของหญิงสาว เธอบีบมือเข้าหากันอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี อายก็อาย เจ็บก็ยังเจ็บอยู่แถมตอนนี้ก็ปวดหัวหนึบๆ ขึ้นมาอีกด้วย
“ก็เมื่อคืนเธอมีไข้ฉันก็เช็ดตัวให้ทั้งคืน...แค่ใส่ผ้าให้จะอายทำไม หรืออยากให้คนอื่นใส่ให้ล่ะ จะได้มีคนเห็นเธอแก้ผ้าเพิ่มขึ้น” รอยยิ้มมุมปากที่มธุรสเห็นตอนที่เหลือบมองยามเขาพูดยิ่งสร้างความอับอายให้เธอเข้าไปอีกเท่าตัว เขาคงเยาะหยันเธออยู่เป็นแน่ นี่ใจคอเขาคงจะไม่ยกยางอายไว้ให้เธอใช้ในอนาคตบ้างหรืออย่างไรกันนะ
“ไม่ใช่นะคะ...” เสียงค้านสั่นพร่ากำลังจะเอ่ยค้าน แต่ถูกขัดด้วยเสียงห้าวใหญ่เสียก่อน “เอาเถอะๆ เมื่อลุกขึ้นเองได้แล้วก็ไปกินข้าวแล้วกินยาซะ ยาอยู่ตรงหัวเตียง ฉันต้องไปดูงานในสวนเสียเวลากับเธอมากพอแล้ว เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกัน...แล้วห้ามคิดจะไปไหนเพราะฉันรับปากป้าศรีไว้แล้วว่าจะดูแลเธอจนกว่าป้าศรีจะกลับมาในวันพรุ่งนี้...เข้าใจนะ” พูดจบร่างหนาก็หมุนตัวกลับ มธุรสมองจนลับตาแล้วก็ได้ยินเสียงรถขับออกไปด้วยความรีบร้อน ร่างน้อยทรุดนั่งบนเตียงกว้างอีกครั้ง เมื่อคืนเธอฝัน...ฝันที่เหมือนจริงมากๆ ว่าแม่มาหาและนอนกอดเธอไว้ทั้งคืนปลอบประโลมให้หายหนาว ช่างสุขใจเหลือเกินกับอ้อมกอดแสนอบอุ่นที่เธอจะไม่มีวันได้สัมผัสมันอีกแล้วตลอดกาล
ความอับอายเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าและน้ำตาที่เอ่อล้นจนหมดสิ้นเมื่อนึกถึงผู้ให้กำเนิดที่ล่วงลับ และอนาคตของตัวเองที่แสนจะมืดมน
ณกรขับรถตรงไปยังเป้าหมายอย่างรีบร้อน หงุดหงิดและไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องใส่ใจสาวน้อยคนนั้นนักทั้งที่ไม่มีความจำเป็นสักนิดและไม่ใช่วิสัยของเขาด้วยที่จะใส่ใจผู้หญิงคนไหนมากไปกว่างาน หรือเป็นเพราะเรือนร่างบอบบางแต่ซ่อนรูปนั้นและร่างกายเปลือยเปล่าแสนนุ่มนิ่มที่อยู่ในอ้อมกอดเขาเมื่อคืนกันหนอ ที่สะกดเขาให้คิดถึงแต่ความเป็นไปของเธอจนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรมัวแต่คอยพะวงว่าสาวเจ้าจะเป็นอันตราย
คงไม่ใช่หรอกมั้ง...แค่ไหนๆ ช่วยแล้วก็อยากจะช่วยให้ถึงที่สุด อย่างน้อยจนกว่าเธอจะพบป้าศรีไม่มานอนเป็นไข้ตายอยู่ที่บ้านเขาก็เท่านั้นเอง ชายหนุ่มยิ้มหยันมุมปากเมื่อคิดได้อย่างนั้น หวังแต่เพียงว่าคืนนี้แม่กระต่ายตัวน้อยจะไม่สร้างความยุ่งยากทางกายและทางใจให้เขาอีกเป็นพอ ไม่อย่างนั้นคงรับประกันไม่ได้ว่าเขาจะควบคุมตัวเองได้ดีเป็นครั้งที่สองรึเปล่า
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว มธุรสยังคงสาละวนกับการทำอาหาร อย่างน้อยเธอก็ควรทำอะไรตอบแทนชายหนุ่มที่ช่วยเหลือเธอไว้ ของสดในตู้เย็นถูกรื้อมาแปรสภาพเป็นอาหารน่ารับประทานสองสามอย่าง ดูท่าแล้วเขาคงไม่ค่อยได้ทำอาหารนักหรือไม่ได้ทำเลย ดูได้จากของสดในตู้เย็นที่มีไม่มากนักและทำท่าจะไม่สดแล้วเสียด้วย แต่ของแห้งจำพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลับมีเป็นลัง ด้วยอาการป่วยที่เพิ่งจะทุเลาและแผลที่ดูเหมือนจะเจ็บกว่าเมื่อวานเสียอีกอาจเพราะเริ่มจะซ้ำระบมขึ้นมานิดๆ ทำให้การทำอาหารล้าช้ากว่าที่ควรจะเป็นกระนั้นมธุรสก็ยังฝืนทำจนเสร็จ เธอช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เล็กๆ ฝีมือการทำอาหารจึงนับว่าพอตัว หวังว่าผู้มีพระคุณของเธอจะชอบมัน
สาวเจ้ายืนยิ้มกับผลงานตัวเองก่อนจะเก็บใส่ตู้กับข้าวแล้วเดินเข้าห้องน้ำจัดการชำระร่างกาย มธุรสใส่เสื้อของเขาตัวเดิมที่ใส่เมื่อคืนเพราะไม่กล้าจะหยิบฉวยตัวอื่นมาใส่โดยพลการ แต่อย่างน้อยคืนนี้เธอก็ได้ใส่ชุดชั้นในเพราะซักและตากไว้ตั้งแต่ตอนเย็น ที่นี่ลมโกรกเย็นสบายชุดชั้นในตัวจิ๋วจึงแห้งเร็วสมใจเจ้าของ
ร่างน้อยนั่งคอยการกลับมาของเจ้าของบ้าน หวังว่าเขาคงไม่กลับดึกมาก ตอนนี้อาการเจ็บที่แผลเริ่มเบาบางเมื่อได้กินและทายาตามที่เขาบอก ระหว่างรอเธอก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยทั้งเรื่องของมารดาและเรื่องของตัวเอง สายตาก็จับจ้องแต่นาฬิกาตรงฝาผนังมันบอกเวลาสองทุ่มแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่รอ
ความเหนื่อยล้าจากอาการป่วยและยาที่กินเข้าไปเริ่มออกฤทธิ์มือบางปิดปากหาวครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเธอก็ต่อต้านความง่วงไม่ไหวยอมฟุบหน้าลงบนท่อนแขนที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะและหลับเป็นตายอยู่ตรงนั้น
แสงสว่างจากหน้าต่างห้องนอนสาดส่องเข้ามาทำให้ร่างที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาค่อยๆ ขยับเปลือกตาให้ปรับสภาพรับกับแสงแห่งอรุณของวันใหม่ มธุรสกะพริบตาสองสามครั้งจนชินกับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า พลันสมองก็ค้นความทรงจำได้ว่าเธอนอนฟุบอยู่บนโต๊ะกับข้าวนี่นา แล้วทำไมมานอนมุดผ้าห่มอยู่ได้ล่ะเนี่ย
ยังไม่ทันจะหาคำตอบได้ ความรู้สึกก็บอกว่ามีบางอย่างกอดรัดเธออยู่จากทางด้านหลังแล้วก็เป็นจริงตามนั้น มธุรสจับแขนหนาที่วางพาดเอวเธอแล้วพยายามยกมันออกอย่างช้าๆ ไม่ต้องใช้ความคิดอีกแล้วคงเป็นเขาที่อุ้มเธอมานอนที่เตียงและความฝันว่าแม่นอนกอดเธอไว้ทั้งเมื่อคืนและคืนก่อนก็หาใช่ความฝันไม่...มันเป็นความจริง แต่คนที่กอดกลับไม่ใช่แม่!
หน้าสวยร้อนผ่าวมากกว่าอุณหภูมิตอนป่วยเสียอีกกระมังเมื่อรับรู้ความจริง เขาเช็ดตัวให้เธอ สวมเสื้อผ้าให้เธอ แถมยังนอนกอดเธอทั้งคืนอีก คนที่ไม่เคยรู้จักกันแต่กลับเห็นเธอทุกซอกทุกมุมก็ว่าได้แถมนอนกอดกันกลมดิกเหมือนสามีภรรยาก็ไม่ปานจะไม่ให้อายตอนนี้แล้วจะไปอายตอนไหน
“ตื่นแล้วเหรอ...ทำไมเมื่อคืนไปนอนอยู่ตรงนั้นล่ะ” ณกรเอ่ยถามน้ำเสียงงัวเงีย เมื่อรู้สึกตัวจากการที่เธอยกแขนออกจากร่างบางแม้จะเบาหวิวในความคิดของเจ้าหล่อนแต่เขาไม่ใช่คนขี้เซา เมื่อมีบางอย่างเคลื่อนไหวจึงรู้สึกตัวทันที ชายหนุ่มยกมือตั้งฉากเท้าคางได้รูปของตนมองมธุรสอย่างขำๆ สาวเจ้าลุกขึ้นนั่งบนเตียงก้มหน้างุดไม่กล้าแม้หันมามองเขาคงจะอายที่นอนให้เขากอดทั้งคืนกระมังช่วยไม่ได้อยากขี้เซาเองนี่ แล้วเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจหากต้องนอนกอดร่างที่แสนจะทั้งหอมทั้งนุ่มนิ่มนั้นเสียด้วย
“หนู...เอ่อ...น้ำหวานทำกับข้าวรอคุณค่ะ แล้วเผลอหลับตอนไหนก็ไม่รู้”
“กับข้าวในตู้ฝีมือเธอเหรอ...อร่อยดีนี่” คำชมซึ่งหน้าเรียกรอยยิ้มน้อยๆ ให้เจ้าของฝีมือ
“ถ้าคุณชอบไว้คราวหน้า ถ้ามีโอกาสน้ำหวานจะทำให้อีกค่ะ” เธอเอ่ยเสียงเบาจนแทบจะเหมือนกระซิบยามคุยกับเขาและยังคงก้มหน้างุดเหมือน เคยเพียงแต่ซ่อนรอยยิ้มแห่งความดีใจไว้ยามได้รับคำชม
“ไปอาบน้ำเถอะ สายมากแล้วเดี๋ยวจะพาไปพบป้าศรี ตอนนี้คงอยู่ที่บ้านแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูดพลางลุกจากที่นอนส่งผลให้ผ้าห่มที่คลุมกายร่นลงมาถึงหน้าตัก ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงมายืนตรงหน้าสาวน้อยมธุรส ใจดวงน้อยสั่นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นเขาเต็มตา เธอไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้ชายคนไหนมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ เขาไม่ได้ใส่เสื้อใส่เพียงกางเกงนอนเผยให้เห็นอกล่ำ หน้าท้องราบที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ปราศจากไขมัน
ณกรไม่ได้สนใจสายตาที่มองเขาอย่างทึ่งระคนอายยังคงยืนบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความอ่อนเพลีย ใช่ว่าเขาไม่รู้ตัวว่ามีสายตาจับจ้องอยู่ แต่สายตานั้นไร้เดียงสาเกินไปไม่ได้เป็นสายตาที่โหยหาเรียกร้องอย่างที่เขาเคยเจอจนต้องมีความรู้สึกก็เท่านั้นเอง
“ยังไม่ไปอีก หรือติดใจอยากให้ฉันนอนกอดต่อ...หือ” คนถูกจ้องอยู่นานเอ่ยเมื่อสาวเจ้าไม่มีท่าทีอื่นใดนอกจากนั่งจ้องอย่างเดียวและเสียงนั้นก็เรียกสติจากคนจ้องได้ดี เธอหน้าแดงเถือกไปถึงหูอาจจะเลยไปหัวแม่เท้าแล้วกระมัง เมื่อนึกถึงหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและยังมาถูกจับได้ว่าแอบมองเขาอีก
โอย! เอาหน้าซุกดินได้ไหมเนี่ย...
“เอ่อ...ค่ะ...ค่ะ” เมื่อสติมา สองขาก็วิ่งจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำไปทันที ณกรขำแสนขำกับท่าทีประหม่าของเธอก็เขาไม่เคยอยู่กับสาวน้อยวัยกำดัดเช่นนี้นี่ เมื่อคืนเขากลับมาสี่ทุ่มแล้วนับว่าดึกมากสำหรับเขาเพราะต้องอยู่เคลียร์บัญชีด้วยนั่นเองเพราะภูมิศิลาไม่อยู่
เขาคิดว่าเธอหลับไปแล้ว...แต่ก็หลับแล้วจริงๆนั่นแหละหลับอยู่บนโต๊ะอาหารในครัว เมื่อปลุกเจ้าหล่อนก็ไม่ยอมตื่นอาจเป็นผลมาจากฤทธิ์ยาและอาการไข้ที่เพิ่งจะทุเลานั่นเองเมื่อเห็นดังนั้นจึงอุ้มไปนอนในห้อง ก่อนจะกลับมาหาน้ำดื่มในตู้เย็นก็พบว่าของสดที่เก็บไว้เผื่อทำอาหารพร่องไปมากจึงลองเปิดตู้กับข้าวดูก็ต้องยิ้มให้กับผลงานของคนป่วย เขาจัดการกินมันเสียเกือบหมดพลางคิดว่ามันช่างเหมือน ‘ครอบครัว’ ที่ภรรยาทำอาหารคอยสามีกลับมากินอย่างไรอย่างนั้นแล้วก็ต้องตกใจกับความคิดของตัวเองที่คิดกับผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงสามวันด้วยซ้ำ ถึงจะเห็นเธอทุกซอกทุกมุมแล้วก็เถอะ
ชายหนุ่มไม่เคยมีความคิดแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนทั้งที่มีความสัมพันธ์กันถึงไหนต่อไหน ต่างจากสาวน้อยคนนี้ อาจเป็นเพราะเธอดูใสซื่อ ท่าทีประหม่าและเขินอายไม่เคยยอมกล้าสบตาเขาตรงๆ สักครั้งนั่นที่เป็นเสน่ห์ดูน่าหยอกเย้า น่าแกล้ง และ...เรือนร่างที่เขาได้สำรวจยามเช็ดตัวและผลัดเปลี่ยนผ้าให้เธอนั่นมันเหมือนว่าเธอเป็นดอกไม้แรกแย้มที่ผลิตกลิ่นหอมและน้ำหวานให้ภมรอย่างเขาดอมดม
ถ้าเป็นผู้หญิงที่แล้วมาสวยงามได้สักครึ่งก็คงดีเพราะหล่อนเหล่านั้นจับต้องและกลืนกินได้ไม่เหมือนเจ้าหล่อนที่เขาต้องหักห้ามใจเพราะดูท่าจะไม่ใช่แบบที่จะมารองรับอารมณ์กำหนัดของเขา แล้วจากไปอย่างพวกนั้นเป็นแน่ เธอคือสิ่งต้องห้ามและต้องกำจัดไปให้พ้นตัวก่อนที่จะหวั่นไหวไปมากกว่านี้ เธอยังเด็ก ยังสวยงาม ยังมีอนาคตข้างหน้าและบริสุทธิ์เกินไปที่จะมามัวหมองเพราะเขา
ตลอดเส้นทางที่ชายหนุ่มบอกว่าจะพาเธอไปหาป้าศรีเพื่อนของแม่เธอ ซึ่งก็คือไปบ้านเขานั่นเอง ณกรไม่ได้พูดจากับเพื่อนร่วมทางแม้แต่คำเดียว ซึ่งก็สร้างความอึดอัดให้มธุรสไม่น้อย เธอไม่รู้ว่าขากำลังคิดอะไรอยู่หลังจากที่ช่วยเหลือเธอไว้ หลังจากที่...เธอกับเขานอนกอดก่ายกันอยู่สองคืน และเขาเห็นเธอในฉบับที่เรียกว่าทุกซอกทุกมุม มันไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่เพิ่งจะเสียแม่ไปใช่ไหม ถึงจะเป็นสถานการณ์จำเป็นก็เถอะ แถมเขาก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วๆ ไป ต่างกับเธอที่แทบจะมองหน้าเขาไม่ติด
เธอกับเขาเพิ่งพบกันแท้ๆ กลับยอมให้เขาสำรวจเรือนกายเสียหมดเปลือกถึงจะป่วยแต่เธอก็ไม่ควรจะปล่อยตัวขนาดนั้น คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล หมดกันร่างกายของเธอที่ควรหวงแหนไม่ได้เป็นความลับกับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว สายตาที่มีน้ำตาคลอหน่วยมองออกไปนอกกระจกด้านข้างเพื่อปกปิดความอ่อนแอ ซ่อนความอับอายและหลบหน้าผู้ชายข้างตัว ไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอเรียกร้องความสนใจ
“ฉันขอโทษ” จู่ๆ ณกรก็โพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง มธุรสมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจปนงง
“คะ...”
“ขอโทษที่ล่วงเกินเธอ...ฉันแค่ต้องการจะช่วยเช็ดตัว...และที่กอดเพราะ...เอ่อ...เธอควรได้รับความอบอุ่น ฉันรู้ว่ามันไม่ควร เราไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอคิดมาก ถ้าเธอไม่ป่วย ฉัน...คงไม่ทำแบบนั้นหรอก” ‘แต่อาจจะทำมากกว่านั้น’ นั่นเป็นส่วนที่เก็บงำไว้ไม่ได้บอก ชายหนุ่มเหลือบมองเธอหลายครั้งพอจะเข้าใจว่าเธอกังวลเรื่องนี้อยู่ เธอเป็นแค่เด็กสาวย่อมคิดมากเรื่องอย่างนี้อยู่แล้วยิ่งเขามั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่ก็ย่อมอับอายกับการกระทำนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ คุณหวังดีกับน้ำหวานนี่คะ อีกอย่างถ้าคุณไม่ช่วยทั้งตอนที่วิ่งหนีและตอนที่น้ำหวานป่วยป่านนี้น้ำหวานคงได้ไปอยู่กับแม่แล้วค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงแผ่วแต่ก็ยังคงไม่กล้าสบตาเขาเหมือนเดิมความอับอายในตอนแรกก็ไม่ได้ลดน้อยลงหรอก แต่ก็ใจชื้นขึ้นมานิดนึงที่เขายังเอ่ยคำขอโทษ
“เดี๋ยวพอถึงบ้านฉัน ป้าศรีคงคอยอยู่แล้วล่ะ”
“ค่ะ...”
อาจเป็นเพราะระยะหลังเขาห่างหายจากเรือนกายผู้หญิงมาหลายเดือนแล้วก็เป็นได้และหากยังใกล้ชิดกันอีกอย่างนี้เขาอาจจะอดใจไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ ซึ่งเป็นการผิดต่อใครคนหนึ่งที่กำลังจะกลับมา เป็นการดีที่สุดที่จะให้แม่และป้าศรีแม่บ้านเขาจัดการเจ้าหล่อนต่อ แม่และป้าศรีของเขาคงไม่ใจร้ายให้เธอกลับไปอยู่บ้านหลังเดิมนั่นหรอก อาจจะหางานดีๆ สักแห่งให้เธอทำ
รถเลี้ยวเข้าพ้นประตูรั้วบ้าน มธุรสใจเต้นไม่เป็นจังหวะเธอไม่ได้ตื่นตาตื่นใจหรือตื่นเต้นกับบ้านหลังโตหรอก แต่เพราะอยากรู้เรื่องอัฐิต่างหาก ป้าศรีเพื่อนสนิทของมารดากำลังรอให้คำตอบเธออยู่
ทันทีที่รถจอดสนิทหญิงสาวเปิดประตูรถก้าวกระโดดไปหานางศรีที่ยืนรออยู่ด้วยความกระวนกระวาย “ป้าศรี...ฮือๆๆๆๆ ป้าศรีขา”
“น้ำหวาน...โถลูก เป็นอย่างไรบ้างอย่าร้องไห้นะคนดี ป้าอยู่นี่แล้วไม่มีใครทำอะไรหนูได้อีกแล้วล่ะ นิ่งซะ นิ่งซะ” มธุรสโผเข้าอ้อมกอดของนงศรีแล้วร้องห่มร้องไห้ปานใจจะขาดซึ่งนางเองก็พอจะเดาสภาพจิตใจของหลานสาวได้ดีว่าช้ำชอกแค่ไหน
“ฝากป้าศรีด้วยนะครับ...ผมต้องขอตัวก่อน อ้อ! ฝากบอกคุณตากับคุณยายด้วยนะครับว่าวันหลังผมค่อยแวะมา” ณกรที่ก้าวลงจากรถและยืนมองภาพนั้นอยู่ครู่นึงเอ่ยขึ้น ทำให้หญิงสาวผละออกจากอกผู้ที่เรียกว่าป้า มือน้อยปาดน้ำตาที่อาบแก้มปอยๆ
“จะไม่เข้าบ้านก่อนเหรอคะ คุณท่านทั้งสองบ่นหาเกือบทุกวันเชียวค่ะ” นางศรีกล่าวตามจริง เพราะช่วงนี้ชายหนุ่มไม่ค่อยได้กลับบ้านเพราะมัวแต่ขลุกอยู่แต่ในสวนผู้เฒ่าทั้งสองก็บ่นหาอยู่บ่อยๆ
“เอาไว้วันหลังดีกว่าครับให้ผมว่างจริงๆ ซะก่อนช่วงนี้งานเยอะครับ ภูมิก็ไม่อยู่ด้วย”มธุรสยกมือไหว้ชายหนุ่มเมื่อเขากล่าวจบและทำท่าจะหมุนตัวกลับไป นางศรีส่งยิ้มให้เจ้านายหนุ่มก่อนจะจับมือหลานสาวเดินเข้าบ้านไป
“ป้าศรีคะ...กระดูกแม่น้ำหวานล่ะคะ” มธุรสรีบถามในสิ่งที่อยากรู้ระหว่างที่นางศรีพาเดินเข้าบ้าน
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจ้ะ ป้าจัดการให้แล้ว พอรู้ว่าหนูอยู่กับคุณณกรป้าก็เอาอัฐิแม่หนูมาด้วยเพราะอย่างไรเสียคุณณกรต้องพาหนูมาที่นี่อยู่แล้ว ส่วนไอ้กล้าน่ะมันไม่สนใจหรอกว่าใครจะเอากระดูกนังอ้อยไปไหน เมาอย่างเดียว แถมยังเที่ยวโพนทะนาว่าหนูน่ะหนีตามผู้ชายอีก” นางศรีเล่าให้หลานสาวฟังสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเอ่ยถึงพ่อเลี้ยงของหญิงสาว ซึ่งตอนนี้เธอพอจะจับใจความได้แล้วว่าชายหนุ่มที่ช่วยเธอนั้นชื่อ ณกร เพราะเขาไม่ได้บอกและเธอเองก็ไม่กล้าจะถามจึงไม่รู้มาจนถึงตอนนี้ว่าผู้มีพระคุณชื่ออะไร
“แต่หนูไม่ต้องกลัวหรอกนะไม่มีใครเชื่อมันหรอก ใครๆ ก็รู้ว่ามันตอแหล แต่ไปยังไงมายังไงคุณณกรถึงได้ไปช่วยหนูล่ะ” มธุรสแปลกใจที่นางศรีพูดเหมือนจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตนแล้ว
“ป้าศรีรู้แล้วเหรอคะ...”
“จ้ะ...แต่รู้เพียงว่าคุณณกรช่วยหนูไว้และจะพามาหาป้าที่นี่เพราะเธอทราบว่าป้าน่ะรู้จักกับแม่ของหนู”
“พ่อเมาค่ะ...แล้ว...แล้วเอ่อ...เข้ามาปล้ำน้ำหวานในห้อง แต่น้ำหวานวิ่งหนีออกมาได้แล้วก็ไปเจอคุณณกรขับรถผ่านมาพอดี เขาก็เลยช่วยหนูไว้”เธอเลือกที่จะปิดบังไม่เล่าความจริงทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้พูดโกหก
“เลว...เลวจริงๆ น่าเอาให้ตายนักไอ้กล้า ไอ้คนสารเลว” นางศรีเจ็บแค้นแทนเพื่อนรุ่นน้อง ที่เสียชีวิตไปเหลือเกินด้วยรู้ดีว่าอ้อยรักลูกสาวปานแก้วตาดวงใจและมธุรสก็เป็นเด็กดีมาตลอดหากวิญญาณอ้อยรับรู้จะจากไปอย่างเป็นสุขได้อย่างไร
“ช่างเถอะลูก...น้ำหวานไม่ต้องคิดมากนะ ต่อไปนี้มาอยู่เสียกับป้านี่แหละ”
“จะดีเหรอคะ แล้วคุณๆ เธอจะยอมให้น้ำหวานอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอคะ น้ำหวานกลัวจะมาเป็นภาระเสียเปล่าๆ”
“ป้าบอกแล้วไงบ้านนี้น่ะเขาใจดี อีกอย่างป้าก็ให้แม่หนูเอาขนมมาขายที่นี่บ่อยๆ รู้จักมักคุ้นกันอยู่” นางศรีปลอบใจพร้อมเอามือลูบหลังอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวน้ำหวานไปไหว้คุณท่านทั้งสองก่อนนะลูก ส่วนเรื่องของหนูไว้ให้คุณหทัยกลับมาป้าจะขอให้หนูอยู่ช่วยงานป้าที่นี่ เธอใจดีไม่ต้องกลัวหรอก เอ...แต่ป้าว่า...เราไปเปลี่ยนเสื้อก่อนดีกว่านะท่านทั้งสองเห็นคงตกใจพิลึก”
“ค่ะป้า...” มธุรสเดินตามผู้เป็นป้าไป สีหน้าแดงระเรื่อเมื่อนึกถึงเจ้าของเสื้อ นางศรีเดินนำมธุรสไปยังห้องของตนหาเสื้อสมัยสาวๆ ให้ใส่ก่อนจะพาไปพบผู้เฒ่าทั้งสองเพื่อกราบไว้ฝากเนื้อฝากตัว ซึ่งดูท่านก็เอ็นดูหญิงสาวไม่น้อยด้วยเป็นเด็กอ่อนน้อมถ่อมตนไม่มีจริตเสแสร้ง ทั้งหน้าตาก็น่ารักกิริยาอ่อนหวาน มธุรสเองเมื่อเจอกับสองผู้เฒ่าก็รู้สึกถูกชะตามาก เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคุยกันได้สักพักป้าศรีก็พาเธอมาพักที่ห้องเดิมเพราะยังป่วยอยู่ก่อนจะปลีกตัวไปทำภารกิจของตนเอง
มธุรสมีความหวังเหลือเกินว่าจะได้อยู่ที่นี่ เธอจะทำงานทุกอย่างไม่มีเกี่ยงงอน เธอรับรู้ได้ถึงความรัก ความอบอุ่น ความเอื้ออาทรและความเมตตาปรานีลอยตลบอบอวนอยู่รอบๆ บ้านหลังนี้ มือน้อยกอดเข่าซบหน้าปล่อยน้ำตาให้รินไหลเมื่อคิดถึงชีวิตที่แสนจะอาภัพของตัวเอง
ตั้งแต่จำความได้เธอก็อยู่กับแม่มาตลอดเนื่องจากพ่อเสียไปด้วยอุบัติเหตุ แม่อ้อยของเธอมักหอบไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ยามต้องออกไปขายของก็พาไปด้วยโดยการคาดเอาไว้ที่หลังด้วยผ้าขาวม้า
สองแม่ลูกทำขนมหวานขายในตลาดอย่างยากไร้ แต่ก็ไม่เคยมีสักวันที่แม่จะทอดทิ้งเธอ อดทนเลี้ยงเด็กหญิงน้ำหวานมาอย่างทะนุถนอมยอมอดเพื่อให้ลูกตัวน้อยได้กินอิ่ม ยอมเหนื่อยให้ลูกน้อยได้เรียนหนังสือมีของเล่นและเสื้อผ้าเหมือนคนอื่นๆ จำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ เธออยากได้ตุ๊กตาที่เพื่อนบ้านเอามาอวด แต่ด้วยความยากจน ตุ๊กตาตัวละหลายร้อยบาทจึงไม่เคยมีโอกาสได้เล่นแม่อ้อยของเธอก็บากบั่นใช้เศษผ้าเก่าๆ มาตัดเย็บเป็นตุ๊กตาตัวน้อยให้ลูกรัก ถึงจะไม่มีราคาแต่มันก็สวยมากเพราะแม่เธอพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง
ไม่ว่าเธอต้องการสิ่งใดแม่มักจะหามาให้เสมอจนตัวเธอเองไม่กล้าที่จะเอ่ยขออะไรเพราะกลัวแม่จะลำบาก ความรักที่สองแม่ลูกมีให้กันเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนในแถบนั้นซึ่งมักจะให้ความช่วยเหลือเจือจุนอยู่เสมอแม่เป็นคนดีจึงเป็นที่รักของทุกคน
พอเธออายุได้เจ็ดขวบมารดาก็มีสามีใหม่ด้วยหวังจะได้ช่วยทำมาหากิน แต่นั่นก็แค่ในช่วงแรกๆ หลังจากนั้นพ่อเลี้ยงของเธอเริ่มออกลายเป็นผีพนันขี้เมาและมักรีดไถเงินเธอกับแม่เป็นประจำ แม่ก็ยอมบ้างไม่ยอมบ้าง ไล่ก็ไม่ไป พอเด็กน้อยเริ่มโตเป็นสาวพ่อเลี้ยงก็เริ่มออกลายจะเคลมลูกเลี้ยง แต่แม่ไม่เคยปล่อยเธอให้อยู่คนเดียวสักครั้ง และแม่มักมีอาวุธติดตัวอยู่เสมอๆ ไว้ป้องกันตัวทั้งเคยขู่ทั้งไล่ตีสารพัดเธอจึงรอดมาได้จนถึงวันที่...เผาแม่นั่นแหละ
หญิงสาวโอบกอดโกศบรรจุอัฐิมารดาที่ป้าศรีเก็บไว้ให้แน่น สะอื้นตัวโยนเมื่อนึกถึงว่าต่อไปนี้...ไม่มีแม่อีกแล้ว...ไม่มีอีกแล้วอ้อมกอดแสนอบอุ่นที่กันหนาวกันภัยให้เธอตลอดมา
‘แม่จ๋า น้ำหวานคิดถึงแม่’