ตอนที่ 6 กรรมเก่า (2)
เกลียวหมอกม้วนตัวเหนือธารน้ำร้อน กลิ่นหอมอ่อนของสุ่ยเซียนสวรรค์แผ่กำจาย
โต๊ะบนแคร่ไม้ไผ่มีชุดชาหยกขาวตั้งอยู่ สองสหายนั่งเดินหมาก จิบชาสนทนาอย่างใจลอย
เหลียวเยว่เข้าใจนาง ขณะเดียวกันก็เข้าใจดีว่าเหตุใดเทพสวรรค์จึงมีภาระจนมิอาจละทิ้งตัวตนได้ เขาเองก็มีภาระที่ต้องดูแลเขาหลิงหลงแห่งนี้ต่อจากอาจารย์เช่นกัน หากแต่หลังจากที่มหาเทพจูเชว่สลายจิตดับวิญญาณเข้าสู่แดนกำเนิด นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวหงรำพึงรำพันถึงชีวิตของตัวเอง
"เจ้าเคยคิดแค้นเฉียนเวยหรือไม่"
เทพสาวถอนหายใจ ส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า "ข้าเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นั้นถึงจงใจหลับใหลไปนานถึงเพียงนี้ ปล่อยให้ข้าแบกภาระไว้บนบ่าเพียงผู้เดียว หรือว่าชีวิตข้าสงบสุขเกินไปอย่างที่เขาเคยว่าไว้จนต้องหาภาระมาให้แบก"
เหลียวเยว่โคลงศีรษะ คลึงถ้วยชาหยกขาวในมือ มองพินิจลายหยกด้วยแววตาลุ่มลึก หลายช่วงลมหายใจเข้าออก กว่าที่เขาจะปริปากขึ้นมาอีกครั้ง "เดิมทีข้าไม่อยากพูดมาก เห็นแต่ที่เจ้าเป็นสหาย จึงอยากบอกอะไรสักหน่อย"
หงหลิงเท้าคางตั้งใจฟัง "ว่ามาสิ"
"พี่ใหญ่เคยบอกข้าไว้ ที่จริงเขามิได้ตั้งใจจะหลับยาวถึงหนึ่งแสนปี หากแต่ตอนที่ปราบจอมมารและสังหารสัตว์อสูรทั้งสี่ พลังตบะจึงถดถอยลงอย่างมาก หลังจากสร้างเสาค้ำยันสวรรค์เสร็จ เฉียนเวยก็ต้องรับทัณฑ์สวรรค์จากการสังหารสัตว์อสูรบรรพกาล อีกทั้งระหว่างนั้นเมื่อเขาผนึกจิตเข้ากับเสาค้ำสวรรค์ใต้สระปทุมทอง ก็จำต้องรับด่านเคราะห์ไปพร้อมๆ กัน"
"ด่านเคราะห์..."
"อืม...ด่านเคราะห์หนึ่งแสนปี สำหรับเจ้าอาจต้องรอเขาหนึ่งแสนปี แต่เฉียนเวยเวียนว่ายไปยังหกภพภูมิมาแล้วหนึ่งแสนปีของแดนสวรรค์ หากเจ้าจะโกรธเขา...ก็จงฟังเขาอธิบายให้ชัดแจ้งเสียก่อน"
ด่านเคราะห์…
มิคาดว่าเฉียนเวยเองก็มีด่านเคราะห์เช่นกัน สิ่งที่ได้ยินทำให้ริ้วในใจของนางกระเพื่อมไหวระลอกหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ แผ่กำจายและหายไปในที่สุด ดวงตาคู่งามหลุบมองต่ำพลางวางหมากดำลงไป
“ข้าไม่เคยรู้มากก่อน” นางพูด นอกจากสีของนัยน์ตาที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลาราวกับเปลวเพลิงอนันต์ ทั่วทั้งใบหน้าล้วนราบเรียบราวกับทะเลสาบหยก
เหลียวเยว่วางหมากขาว “เขาคิดอะไรมีแต่พี่ใหญ่ที่รู้ เจ้าจะรู้ได้อย่างไร”
หงหลิงแค่นเสียงขึ้นจมูก ริ้วโทสะผุดวาบ “ในเมื่อเขาไม่อยากบอก ข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ คนผู้นั้นถือดีว่าตนเองแข็งแกร่งที่สุดในหกภพภูมิแล้วกระมัง ข้าเทียบอะไรได้เล่า ช่างเถิด…เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเขาอีกเลย” นางจงใจวางหมากดำบนตำแหน่งสุ่มเสี่ยง กล่าวต่อไปว่า “ข้าแพ้แล้ว”
เหลียวเยว่ทอดถอนใจ
“จงใจเดินหมากแพ้ ทำตัวเป็นเด็กไปได้”
หงหลิงจิบชา ดวงตาเหม่อลอย “ไป๋หยางสุ่ยเป็นคนเช่นไร”
เหลียวเยว่แทบสำลัก ลอบยิ้มหลังถ้วยหยก กระแอมเสียงเบาพลางเชิดหน้าขึ้น “เขาเป็นเซียนไม่ใช่เซียน เป็นมนุษย์ที่บำเพ็ญตบะมาหลายพันปี เดิมทีสามารถละสังขารเพื่อบำเพ็ญตบะเป็นเซียนชั้นสูงได้แล้ว ว่ากันว่าเขาคืออัจฉริยะในโลกมนุษย์ที่หมื่นปีจะมีคนหนึ่ง เมืองเฟิงหยางที่อยู่คิดกับคุนหลุนก็เป็นเมืองที่มีเซียนเดินดินมากพอๆ กับมนุษย์เดินดิน”
เขาคุนหลุนมีเชิงเขาติดกับเมืองเฟิงหยางและแดนปีศาจ ทว่ากลับไม่มีปัญหาเรื่องการรบราฆ่าฟันกันเพราะชาวเมืองเฟิงหยางและชาวเมืองปีศาจต่างก็มีความผูกพันแน่นแฟ้น อีกทั้งจักรพรรดิของมนุษย์ก็มีสนมมากมายที่มาจากเผ่าปีศาจ การแต่งงานระหว่างสองเผ่าพันธุ์ทำให้มีลูกครึ่งมนุษย์ปีศาจกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมานานหลายพันปี ห่างไปไม่ไกลนักยังเป็นดินแดนของเผ่ามารซึ่งแม้จะมีข่าวคราวไม่ค่อยดีบ้างแต่ก็ไม่ร้ายแรงอะไร หงหลิงเองก็มีส่วนในการดูแลดินแดนแถบนี้มาก่อน น่าแปลกที่มนุษย์ธรรมดาสามารถอาศัยร่วมกับปีศาจได้โดยไม่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะน้ำพุมรกตที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเฟิงหยางนั้นมีคุณในการรักษาชีพจรของมนุษย์และปีศาจมิให้เสียสมดุล
อีกทั้งเหล่าเชื้อพระวงศ์มักจะขึ้นเขาคุนหลุน บำเพ็ญพลังเซียนเพื่อปกป้องคุ้มครองเผ่าพันธุ์ของตน หลายพันปีมานี้ มีสำนักเซียนที่แตกแขนงมาจากคุนหลุนเกิดขึ้นในแดนมนุษย์มากกว่าสิบสำนัก แต่ลำสำนักล้วนได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิทั้งสิ้น
“ประเสริฐขนาดนั้นเลยหรือ”
“เดิมทีข้าก็ไม่เชื่อถือเขานัก คิดว่าเจ็ดในสิบส่วนต้องเป็นเรื่องโม้เหม็นของพวกมนุษย์ กระทั่งหลายร้อยปีก่อนข้าสัมผัสได้ถึงปราณมงคลบางอย่างจึงลงไปดู ลองเดาดูสิว่าข้าเจออะไร”
หงหลิงสะบัดชายเสื้อ รินชาพลางเอ่ยอย่างหมดอารมณ์ “อยากเล่าก็เล่ามา”
เหลียวเยว่แค่นเสียงขัดใจ แต่ก็ยอมเล่าออกมา “รัศมีเซียนของเขาเหมือนอาจารย์ไม่มีผิด”
“พรวด!”
เหลียวเยว่ใช้แขนเสื้อซับหน้าอย่างใจเย็น รอบกายแผ่รังสีเย็นเยียบออกมา
“ข้าขอโทษ” หงหลิงโบกมือคราหนึ่ง ใบหน้าอันหล่อเหลาขอวเขาจึงกลับมาสะอาดสะอ้านดังเดิมพลางส่งยิ้มแห้งให้เขา “เจ้าไม่ได้ล้อเล่น?”
เหลียวเยว่ยังคงลูบหน้าตัวเองราวกับชายังไม่แห้ง ข่มโทสะในอกพลางยิ้มเย็น “ดวงจิตของอาจารย์สลายไปตอนที่ใช้พลังทั้งหมดหลอมประตูมารที่เชื่อมต่อภพภูมิต่างๆ ให้เหลือบานเดียว อย่าลืมว่าเมื่อสลายจิตดับวิญญาณแล้วพวกเขาจะไปอยู่ที่ใด”
“แดนกำเนิด…พักผ่อนตลอดกาล”
เหลียวเยว่พยักหน้า “ชื่อก็บอกอยู่ว่าแดนกำเนิด”
ดวงตาของหงหลิงเป็นประกาย “เช่นนั้นเทพที่ร่างแหลกจิตสลายก็มีโอกาส…”
เหลียวเยว่ยกมือห้าม สั่นศีรษะ “ถึงจะถือกำเนิดใหม่ แต่ก็ต้องเป็นดวงจิตที่ทรงพลังอย่างมาก นอกจากสี่มหาเทพบรรพกาลแล้วข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครสามารถหรือไม่ อ้อ…อย่าได้ถามถึงบิดาเจ้า ตอนที่เขาแบ่งพลังให้เจ้ากับพี่ชาย พลังทั้งหมดก็ไม่อาจฟื้นคืนแล้ว”
ลำคอของนางแห้งผาก แววตาผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง “เพราะเหตุใด”
“เฟิ่งหวงเป็นอมตะก็จริง แต่หากละสังขาร นั่นหมายถึงละทิ้งการสมานดวงจิตทั้งหมด แม้แต่เถ้าถ่านก็สลายไปไม่มีเหลือ เศษธุลีกระจายไปทั่วทั้งหกภพภูมิ อย่างมากก็เหลือเพียงละอองวิญญาณบางเบาที่ไม่อาจหลอมรวมกันได้อีกต่อไป ตัดใจเสียเถอะ”
“แต่หากอาจารย์กลับมาได้”
“เต่าเฒ่าอายุยืนยาว ทั้งยังเจ้ากี้เจ้าการ เจ้าคิดว่าเขาจะยอมละทิ้งหกภพภูมิไปได้ง่ายๆ หรือ ไหนจะนกหงส์หยกอย่างเจ้าอีก เขาไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทำอะไรโง่ๆ แน่นอน”
“ข้าเปล่าทำอะไรโง่ๆ อีกอย่างใช่อาจารย์หรือไม่ข้าต้องพิสูจน์…แต่แล้วอย่างไรเล่า ตอนนี้เขาเป็นเพียงไป๋หยางสุ่ยก็เป็นเพียงเซียนในร่างมนุษย์เท่านั้น หาใช่อาจารย์ไม่”
เหลียวเยว่ดีดหน้าผากนางทีเผลอ
“อ๊ะ! เจ้างูดิน”
“ข้าพนันด้วยถังหูลู่ห้าร้อยไม้” เขาตบโต๊ะอย่างมั่นใจ
หงหลิงย่นจมูก มองเขาอย่างดูแคลน “เห็นแก่กิน ข้าไม่เล่นพนันกับเจ้าหรอก”
“มิใช่ว่าเจ้ากลัวแพ้พนันหรอกหรือ”
“ใครกลัวแพ้ ข้าเพียงแต่ไม่ชอบเล่นพนัน” นางว่าตาใส ซดชาอึกใหญ่
“อ้อ…” เหลียวเยว่หัวเราะ “อย่าไปถามเรื่องสลายจิตดับวิญญาณกับผู้อื่นล่ะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
เทพสาวกลืนน้ำลาย ยืนยันเสียงแข็ง “ข้ามิได้คิดสั้นขนาดนั้นหรอกนะ”
“ข้ามิได้หมายถึงเจ้าจะคิดสั้น แต่อย่าคิดหาทางคืนชีพบิดาเจ้าเด็ดขาด นั่นเป็นการไม่เคารพสวรรค์ขั้นร้ายแรง” เขาเอ่ยเตือน
คนที่รู้จักนางดีที่สุดในตอนนี้เหลือเพียงเหลียวเยว่ เขารู้ดีว่าที่หงหลิงมิได้เร้นกายไปดังเช่นพี่ชายของนางก็เป็นเพราะยังคงคาใจกับการกลับคืนแดนกำเนิดของมหาเทพจูเชว่ เหนือสิ่งอื่นใจนางทั้งรักทั้งแค้นบิดาของตนที่ผู้มัดตัวนางไว้ด้วยตำแหน่งเทียนเฟิ่งมานับแสนปี
นอกจากเวลาสามหมื่นปีในเขาหลิงหลงแห่งนี้ หงหลิงไม่เคยได้มีอิสระเป็นของนางจริงๆ สักครั้ง ธรรมชาติของปักษาคือรักอิสรเสรี หากแต่ตัวนางกลับต้องผูกพันกับหน้าที่นี้จนไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง
อิสระของนางมีเพียงอย่างเดียว
นั่นคือไม่สลายจิตดับวิญญาณ…ก็ต้องสลายจิตดับวิญญาณ
บิดาลำเอียง รักพี่ชายมากกว่านาง แม้แต่ตำแหน่งเทียนเฟิ่งก็ไม่คิดจะมอบให้เขา ปล่อยให้เจ้านกเฒ่านั่นหนีเที่ยวตามใจปรารถนา ทำให้บุตรสาวอย่างนางกลายเป็นสตรีน่าสงสารที่มีบ่วงผูกไว้
ทุกครั้งที่ประตูมารสั่นสะเทือน ระฆังสวรรค์สั่นไหวด้วยภัยพิบัติ แม้จะอยู่ไกลสุดหล้า แต่ใจของนางยังเจ็บปวดจนต้องหลั่งน้ำตา
น้ำตาหงส์ทุกหยาดหยด เกิดจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในหกภพภูมิทั้งสิ้น
ทุกครั้งที่เปลี่ยนนาม ทุกครั้งที่ชื่อใหม่ถูกเขียนบนศิลาปักษา ย้ำเตือนนางว่าเวลาได้ผ่านมาแล้วอีกหมื่นปี
เหลียวเยว่รู้สึกปวดใจที่เห็นนางหน้าเผือดสีด้วยความทุกข์ตรม อดสอดปากขึ้นมาไม่ได้ “หากผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ เจ้าก็จะเป็นอิสระจากระฆังสวรรค์แล้ว ไม่ดีใจหรอกหรือ มหาเทพจูเชว่ต้องมีเหตุผลในการมอบตำแหน่งนี้ให้เจ้าอย่างแน่นอน”
“ช่างเถิด” นางสูดลมหายใจ ใบหน้ากลับมาสดใสอีกครา “ข้าจะลองไปโลกมนุษย์ ไม่แน่ว่าตลอดหนึ่งแสนห้าหมื่นปีมานี้ ด่านเคราะห์สวรรค์ของข้าจะกลายเป็นสีสันจัดจ้านที่สุดในชีวิตก็ได้ จริงสิ…เจ้าว่ามังกรเหี้ยมตัวนั้นจะจุติลงมาที่เมืองเฟิงหยางใช่หรือไม่”
เหลียวเยว่พยักหน้า พริบตาก็หน้าเปลี่ยนสี “เจ้าอย่าได้ทำอะไรแผลงๆ”
หงหลิงลุกขึ้นหมุนตัว อาภรณ์บุรุษสีฟ้าอ่อนพลันสวมทับร่างอย่างพอเหมาะพอเจาะ ใบหน้าเรียวที่มีเหลี่ยมมุมเล็กน้อยเพราะคำสาปประหลาดทำให้นางคล้ายบุรุษหน้าหวานคนหนึ่ง ทว่าดวงตาหงส์ที่มีประกายเย่อหยิ่งยังเป็นแววตาของนางเช่นเดิม เดิมนางก็รูปร่างสูงโปร่ง หากแต่บอบบางกว่าตอนนี้นัก มองอย่างไรก็ชายหนุ่มคนหนึ่งชัดๆ เหลียวเยว่ทองนางจนตาพร่า เกือบเข้าใจไปแล้วว่าหงหลิงกลายเป็นบุรุษไปแล้วจริงๆ
เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง กล่าวอย่างเผลอไผลว่า “เดิมธาตุหยางในตัวเจ้าก็มากมายอยู่แล้ว พอถูกอสนีมังกรฟ้า คล้ายกับถูกล้างหยินในกายจนไม่เหลือ บอกตามตรงว่าด่านสวรรค์ครั้งนี้หากไม่สามารถผ่านไปได้ ในภายภาคหน้าเจ้าอาจจะได้แต่งภรรยาเข้าบ้านก็เป็นได้”
“เช่นนั้นข้าคงอยู่เป็นเพื่อนเจ้าไปจนหมดอายุขัยแล้วล่ะ” หงหลิงมองค้อน หากแต่เหลียวเยว่สะท้านเยือก อยากร่ำไห้ในใจ
เขายกมือขึ้นตีปากตัวเอง “เป็นข้ากล่าววาจาเหลวไหล เจ้าต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน”
เหลียวเยว่ยิ้มฟันขาว ดวงตากลับร่ำไห้
หงหลิงกระแอม มิได้เก็บวาจาของเขามาใส่ใจ เอ่ยถามขึ้น “เขาลงไปจุติหรือยัง”
เหลียวเยว่ลูบอก ลัดนิ้วมือคิดคำนวณ “สมควรอายุได้ขวบปีแล้ว หากเจ้าจะไปเป็นอาจารย์เขา ก็ต้องรีบลงไปฝากตัวเป็นศิษย์ของไป๋หยางสุ่ย เอ๊ะ…” คิ้วกระบี่ยุ่งเหยิง หงหลิงจึงนิ่วหน้าถาม
“เกิดอะไรขึ้น”
“ตอนแรกเจ้าต้องไปฝากตัวเป็นศิษย์ของไป๋หยางสุ่ย จากนั้นค่อยรับเขาเป็นศิษย์ของเจ้า ถึงตอนนั้นจะใช้งาน กลั่นแกล้งเขาอย่างไรก็ย่อมได้” เขาทิ้งช่วง ส่ายหน้าด้วยความกลัดกลุ้ม ก้มหน้ามองถ้วยชาพลางกล่าวซ้ำๆ “น่าแปลก…แปลกจริงๆ”
ครั้นเงยหน้าขึ้นก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะนางกำลังใช้สายตาอาฆาตข่มขู่เขาพลางยิ้มเหี้ยมเกรียม “บุตรตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็เหมือนตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ ท่าทางเช่นนี้ข้านึกว่ามีแต่พี่ใหญ่กับเทียนจวิน คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็เป็นไปด้วย วางแผนการร้ายอะไรบอกข้ามา”
เหลียวเยว่กลืนน้ำลาย รู้สึกว่าบริเวณธารน้ำร้อนนั้นร้อนเกินไปหรือไม่ พัดคู่กายพลันปรากฏในมือ คลี่เสียงดังพลางโบกไปมาอย่างร้อนรน ในลำคอมีเสียงหัวเราะแห้งๆ แต่กลับเอ่ยอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
“เฮ่อๆ ๆ ๆ” เหลียวเยว่สั่นขา หัวเราะแห้งๆ ไม่หยุด
“องค์ชายสี่…” นางเรียกเสียงยาว ปลายเสียงแหบพร่าของนางคล้ายเสียงขู่คำรามของปีศาจไม่มีผิดเพี้ยน เหลียวเยว่โบกพัดเร็วขึ้น อ้ำอึ้งเป็นนาน จนสุดท้ายหงหลิงก็ทนไม่ไหวใช้พลังยึดพัดเขามาพร้อมกับซักเสียงเหี้ยม “เจ้าวางแผนอะไรกับศิษย์พี่ใหญ่…ตอบมา!”
มือที่ไร้พัดของเขายังคงสั่นพั่บๆ เหลียวเยว่ร่ำไห้ในใจ นึกเรียกหาพี่ใหญ่อย่างอับจนหนทาง
เป็นเขามัวแต่เผลอคุยกับนางยาวไปหน่อย ลืมไปว่าช่วงนี้เวลาบนโลกมนุษย์กับแดนสวรรค์แปรปรวน กว่าจะรู้ตัวเวลาในโลกมนุษย์ก็ผ่านไปแล้วนับสิบปี
“เหลียวเยว่…วันนี้ข้าจะต้มปลาไหลให้เจ้ากิน”
ดวงตาคมเบิกโพลง
ปลาไหล!
หงหลิงมีความสามารถในการกรอกอาหารใส่ปากผู้อื่นได้ดีพอๆ กับที่เขาจับนางกรอกยา แค่คิดถึงปลาไหลร่างสูงใหญ่ของเทพหนุ่มก็สั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ “เฮ่อๆ หากเจ้าไม่รีบไปเขาคุนหลุนในตอนนี้ ยากจะบอกได้ว่าเฉียนเวยจะเลือกเข้าสำนักคุนหลุนหรือแต่งงานกับหลานสาวข้า”
หงหลิงชะงัก “มีงิ้วให้ข้าดูอีกแล้วหรือ น่ายินดี น่ายินดี” มุมปากนางโค้งเป็นรอยยิ้มอยากเห็นเทพมังกรตกเป็นเบี้ยล่างของภรรยาใจแทบขาด แม้ว่าในอกจะรู้สึกวูบโหวงอยู่บ้าง แต่นางอายุขนาดนี้แล้ว จึงเลิกสนใจความรู้สึกเล็กน้อยเหล่านี้ไปแล้ว
เหลียวเยว่ถอนหายใจ งัดไม้ตายสุดท้ายออกมา “เสี่ยวหง หากเจ้าไม่ไปขัดขวางเฉียนเวยกับหม่านหง อย่าว่าแต่เขาสองคนจะแต่งงานกันในโลกมนุษย์เลย เคราะห์สวรรค์ของเจ้าก็จะไม่มีทางผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน”
หงหลิงยิ้มค้าง “หมายความว่าอย่างไร”
“หมายความว่าเจ้ารีบไปเถอะ”