บทที่ห้า

2177 คำ
จิตติพัฒน์ตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะเดินทางกลับค่ายยุวชนทหาร โดยจิตรเทพอาสาจะพาเขาไปส่งเองซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจพอสมควร เพราะตามปกติเขามักจะติดรถกับมงคลพัสมากกว่า พอรู้ว่าพี่ชายจะไปส่งจึงทำให้จิตติพัฒน์ทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ขณะเดียวกันเขาก็ได้รู้อีกว่ามงคลพัสจะร่วมติดรถไปด้วย เนื่องจากพันโทมนต์ธนัทติดธุระเร่งด่วนจึงไม่สามารถพามงคลพัสกับ มงคลกิตติ์ หรือ มะยม ได้ คาดว่าอีกสี่นาทีสองพี่น้องคงจะเดินทางมาถึงบ้านพวกเขาแล้ว ไม่นานรอนนี่ก็ได้พามงคลพัสกับมงคลกิตติ์ที่พึ่งเดินทางมาถึงเข้ามาพอดี จิตรเทพจึงชักชวนให้ทุกคนกินอาหารเช้ากันก่อนแล้วค่อยไป ซึ่งเมนูที่จิตติพัฒน์ได้มาคือ ไข่ดาวกระทะ สองฟองที่จิตราวุธเป็นคนทำขึ้น ทันทีที่ได้เห็นเมนูมื้อที่ไม่ได้กินมานานแล้วก็ทำให้เด็กหนุ่มหวนรำลึกถึงภาพในอดีตสมัยเด็ก จิตติพัฒน์ในตอนนั้นชื่นชอบไข่ดาวกระทะมาก เพียงแต่คนที่ยื่นไข่ดาวกระทะมาให้ไม่ใช่จิดารันต์ผู้เป็นแม่ แต่เป็นจิราวุธพี่ชายคนรองของเขาแทน "นานแล้วนะที่แกไม่ได้กินเมนูนี้เลย หวังว่าฝีมือของฉันจะถูกปากนะ" จิราวุธพูดและหันมาจัดการไข่ดาวกระทะของตัวเองบ้าง จิตติพัฒน์นิ่งไปก่อนจะพูดว่า "ขอบคุณนะพี่" และหยิบมีดกับส้อมมาหั่นไข่ดาวเป็นชิ้น ๆ เพื่อที่จะกินง่ายขึ้น แม้รสชาติจะไม่เหมือนที่เขาคุ้นเคยแต่ต้องยอมรับว่า เขาไม่ได้กินเมนูนี้มานานมากจนเกือบหลงลืมไปแล้วว่าเขาชอบมันมากแค่ไหน ฝั่งมงคลกิตติ์ที่ได้ไข่ดาวกระทะมาก็ทำการเทราดซอสมะเขือเทศลงบนไข่ดาว ก่อนจะตัดมันเข้าปากซึ่งมงคลพัสหันมาตำหนิน้องชายว่า "มะยม มีมารยาทหน่อยที่นี่ไม่ใช่บ้านเรานะ" ซึ่งจิตรเทพยกมือห้ามปรามและพูดว่า "เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจหรอกน้องนายคงชอบกินแบบนี้" หลังจากที่ทุกคนจัดการกับอาหารกันเสร็จแล้ว จิตติพัฒน์ มงคลพัส และมงคลกิตติ์พากันแบกกระเป๋าเดินไปที่รถของจิตรเทพ ซึ่งความจริงมันก็คือรถของร้อยเอกจตุพักต์ในอดีต เป็นเรื่องแปลกดีที่มันยังคงใช้งานได้ทั้งที่ไม่มีใครขับมันมานานแล้ว ทั้งสามเลือกที่จะไปนั่งด้านหลังของรถส่วนจิราวุธไม่ได้เดินทางไปด้วยเพราะต้องการพักผ่อน จิตรเทพจึงขับรถแล่นออกจากโรงจอดรถมุ่งตรงสู่ถนนใหญ่ ระหว่างทางมงคลพัสเล่าให้จิตติพัฒน์ล่าสุดได้ข่าวจากเพื่อนในทีมคนหนึ่ง อีคยองโฮ ได้พบกับคู่ผูกวิญญาณของตัวเองในภารกิจเดี่ยวของตัวเอง ล่าสุดเพราะหน้าที่ทำให้อีคยองโฮจำใจต้องจากเธอคนนั้น จิตติพัฒน์นั่งนิ่งไม่พูดอะไรและไม่แน่ใจว่าเขาควรบอกเรื่องอาการหูดับให้มงคลพัสฟังดีไหม หรือเขาเลือกที่จะไม่บอกดีแต่พอมาคิดดูแล้วอย่างไรเสียความลับเรื่องนี้พวกแก๊งภูเขาไฟต้องรู้ ยิ่งอาการหูดับของเขาจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ ด้านมงคลพัสก็สังเกตว่าอีกฝ่ายเงียบผิดปกติจึงสะกิดจิตติพัฒน์ "เจต นายเป็นอะไรหรือเปล่า" มงคลพัสถามขึ้น ด้านจิตติพัฒน์ก็สะดุ้งได้สติจึงรีบหันมาตอบว่า "เปล่า แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเอง" มงคลพัสหรี่ตาจ้องหน้าเพื่อนสนิทอย่างจับผิด มีบางอย่างบอกกับเด็กหนุ่มว่าเพื่อนคนนี้มีอะไรอยู่ในใจแน่ ๆ เมื่อคิดแบบนั้นเขาจึงใช้โทรจิตในการพูดคุยแทน [เจต ฉันกับนายเป็นเพื่อนกันมานาน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายกำลังมีความลับปิดบังอยู่] มงคลพัสพูด จิตติพัฒน์รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่จะปิดเรื่องนี้เพราะฉะนั้น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะพูดเรื่องนี้กับอีกฝ่ายแต่ต้องไม่ใช่ในรถที่มีคนอื่นอยู่ เพราะเด็กหนุ่มต้องการให้เรื่องนี้รู้กันเองแค่เขากับแก๊งภูเขาไฟเท่านั้น [ฉันจะบอกนายเมื่อถึงค่ายแล้ว] ❤️❤️❤️❤️ "เมื่อกี้พวกคุณว่าอะไรนะ" ร้อยโทปฏิญญาถามด้วยเสียงไม่พอใจ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนเยอะกว่าตัวเอง เพราะแน่นอนว่าเขาก็เหมือนกับกลุ่มจิตติพัฒน์เป็นนักรบฟีนิกซ์ที่ผ่านสมรภูมิมาทุกแบบ ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลังจากที่จิตติพัฒน์กับมงคลพัสเดินทางมาถึงค่าย ร้อยโทปฏิญญาได้เรียกแก๊งภูเขาไฟมารวมพลที่ห้องทำงานทันที ทำให้จิตติพัฒน์พบว่าเขากับมงคลพัสคือสองคนสุดท้ายที่มาถึงค่าย อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนกำหนดการในการทำภารกิจ ส่งผลให้ทั้งหมดต้องขึ้นรถบัสของกองทัพเดินทางไปยังเขต A-03 ซึ่งงานจัดแสดงประมูลอัญมณีตั้งอยู่ใกล้ ๆ พิพิธภัณฑ์ศิลปะของเมืองโซดอร์ ทุกอย่างน่าจะไม่มีปัญหาจนกระทั่งทีมของร้อยโทปฏิญญาเดินทางมาถึง และพบว่า ร้อยเอกจันฮุน ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยของงานประมูลจากฝั่งประเทศแสนปุระ กลับเลือกที่จะจับมือกับ ร้อยเอกฟรีโกชิน เป็นทหารที่ประจำการอยู่ที่เมืองโซดอร์ สำหรับร้อยโทปฏิญญาแล้วนี่คือการหักหน้าและไม่ให้เกียรติอย่างมาก ที่สำคัญคือร้อยเอกฟรีโกชินไม่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบนมา ด้วยเหตุนี้ทำให้ทีมของร้อยโทปฏิญญามีปากเสียงกับร้อยเอกจันฮุน จิตติพัฒน์สัมผัสได้ว่าทหารของแสนปุระส่งสายตาเชิงดูถูกมาที่พวกเขาชัดเจน โดยเฉพาะกับร้อยเอกจันฮุนซึ่งเป็นชายวัยฉกรรจ์ที่น่าจะอายุไล่เลี่ยกับจิตรเทพ แต่ทางกายภาพพี่ชายของจิตติพัฒน์น่าจะมีรูปร่างกำยำกว่า ส่วนด้านความสูงถือว่าสูสีกันและใบหน้าคมรูปไข่ สวมเครื่องแบบทหารเต็มยศมีดาบพาดอยู่ข้างเอว แม้จะไม่ได้ดูถูกกลุ่มจิตติพัฒน์โดยตรงแต่ความคิดที่ไม่เชื่อใจพวกเขาก็สามารถมองว่าดูถูกได้เหมือนกัน ฝั่งร้อยเอกจันฮุนก็จำเป็นที่จะต้องอธิบายว่าสาเหตุที่ต้องจับมือกับทีมของร้อยเอกฟรีโกชิน เพราะทางกษัตริย์ฮุนบันเกิดความไม่เชื่อฝีมือกลุ่มจิตติพัฒน์ เนื่องจากพระองค์มองว่าพวกเขายังเป็น "เด็ก" เกินกว่าจะมาทำงานของ "ผู้ใหญ่" เหตุผลนี้กลายเป็นชนวนให้ศรศิลป์กับพงศ์ดนัยเกิดความไม่พอใจ และเกือบจะมีเรื่องกับทหารแสนปุระก่อนงานประมูลอัญมณีจะเริ่ม สุดท้ายร้อยเอกฟรีโกชินจำต้องมาไกล่เกลี่ยด้วยการจะแจ้งทางเบื้องบนเอง ส่วนร้อยโทปฏิญญาต้องพาเด็กหนุ่มหัวร้อนสองคนแยกออกมา ซึ่งพวกจิตติพัฒน์ต้องช่วยกันลากเพื่อนทั้งสองมาสงบอารมณ์ที่ลานจอดรถ "ทำบ้าอะไรของนายสองคนว่ะ" รพีธรรมตำหนิใส่ทั้งสองอย่างไม่สบอารมณ์ "รู้ว่ามันน่าโมโหแต่นายสองคนจะไปมีเรื่องกลางงานแบบนั้นไม่ได้นะเว้ย ขายหน้าประเทศเรากันพอดี" "ก็ดูพวกมันพูดมาแต่ละคำสิ ถ้าแม่งมีฝีมือกันจริงจะมาจ้างพวกเรามาช่วยทำเหี้ยอะไรว่ะ" พงศ์ดนัยพูดเสียงเดือดดาล อย่างที่กลุ่มจิตติพัฒน์รู้กันดีว่าสิ่งที่พงศ์ดนัยเกลียดที่สุดคือการโดนดูถูก "เออ ได้ยินเหมือนกันไม่ได้หูหนวก และคิดว่านายกับศิลป์ไม่พอใจแค่สองคนหรือไง" สุพิศาลพูดขึ้นบ้าง "ขนาดพวกนายยังไม่พอใจแล้วมาห้ามทำไมเล่า น่าจะปล่อยให้ฉันกับพลับจัดการพวกมัน" ศรศิลป์พูด "นี่งานระดับประเทศนะศิลป์ มันมีการถ่ายทอดสดออกอากาศทั่วประเทศ" ภานุวัชร์พูดอย่างใจเย็น "แล้วยังไง" "แล้วยังไง ?... ถ้าภาพที่นายมีเรื่องชกต่อยกับทหารแสนปุระมันหลุดออกไปละก็ ไม่ใช่แค่ประเทศเราที่ขายหน้าแต่มันจะรวมถึงครอบครัวของนายด้วย" ภานุวัชร์หันไปทางพงศ์ดนัย "แล้วก็ของนายด้วยพลับ คงรู้ใช่ไหมว่าถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูพ่อนายจะเป็นยังไง" พงศ์ดนัยนิ่งเงียบไปในทันทีเพราะเขาไม่มีทางลืม ความน่ากลัวของ พันตรีพงศ์ยศ ผู้เป็นพ่อแน่นอน เช่นเดียวกับศรศิลป์ที่รู้ดีว่าพ่อของตัวเองก็น่ากลัวไม่ต่างกัน เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองสงบอารมณ์กันแล้วสุพิศาลจึงชักชวนเพื่อน ๆ ว่า "ช่างมันเถอะ ถ้าเจ้าภาพไม่อยากให้เราทำงาน ก็ถือซะว่ามาเดินเล่นละกัน สนใจไปดูพิพิธภัณฑ์ศิลปะกันไหม" ภานุวัชร์กับคนอื่น ๆ พากันมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง สุพิศาลจึงเดินไปบอกกับร้อยโทปฏิญญาว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ซึ่งฝั่งร้อยโทปฏิญญาก็อนุญาตพร้อมบอกว่าถ้ามีความคืบหน้ายังไง จะแจ้งกับพวกเขาเองคงไม่เกินเย็นของวันนี้ เมื่อได้รับอนุญาตแล้วแก๊งภูเขาไฟก็พากันเดินไปที่พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อว่า "โมเนต์" ที่นี่ส่วนใหญ่จะเน้นโชว์ภาพวาดแบบสีน้ำเป็นส่วนใหญ่ ผลงานส่วนใหญ่จะมาจากนักเรียนสายศิลปะที่ส่งภาพมาประมูลเพื่อการกุศล ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าข้างในคชสีห์หันไปเห็นคณะรถทัวร์หนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นโรงเรียนของพลเรือนที่มาทัศนศึกษา แน่นอนว่าเครื่องแบบยุวชนทหารของแก๊งภูเขาไฟค่อนข้างดึงดูดความสนใจนักเรียนเหล่านั้นพอสมควร จิตติพัฒน์รู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องมอง เขาหันมาทางกลุ่มเพื่อนของตัวเองเพื่อที่จะรีบเข้าด้านใน ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเปิดปากพูดอะไรออกมา เสียงจี้ดดังขึ้นในแก้วหูของเด็กหนุ่มอีกครั้งแต่รอบนี้มันไม่ได้ดังลากยาก มันเกิดขึ้นเพียงแค่สามนาทีเท่านั้นและเสียงรอบตัวไม่ว่าจะเสียงรถ เสียงลม หรือแม้แต่เสียงพูดคุยของกลุ่มมงคลพัส เขาไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงหนึ่งที่ดังแล่นเข้ามาในหูของจิตติพัฒน์ เสียงของเธอคนนั้น [น่ารักจัง] เด็กหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความฉงนใจ เธอกำลังชมใครหรือแล้วทำไมความไม่ชอบใจนี้มันคืออะไรกัน จิตติพัฒน์ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกไม่ชอบและไม่พอใจด้วย การที่เธอจะพูดชมใครอยู่มันไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย ระหว่างที่เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่ด้านมงคลพัสก็หันมาเห็นว่าเพื่อนของตัวเองมีท่าทางแปลก ๆ ยิ่งเห็นสีหน้างง ๆ ของจิตติพัฒน์ก็ทำให้มงคลพัสรู้ในทันทีว่า จิตติพัฒน์กำลังอยู่ในช่วงหูดับจึงเดินมาสะกิดและพูดเสียงช้า ๆ เพื่อให้จิตติพัฒน์อ่านการพูดของมงคลพัสออก ต้องขอบคุณทักษะการฝึกอ่านปากเพราะมันทำให้จิตติพัฒน์รู้ว่าเพื่อนจะบอกอะไร แก๊งภูเขาไฟก็พากันเดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ซึ่งเต็มไปด้วยงานแสดงภาพวาดมากมาย ที่นี่จะมีอยู่ทั้งหมด 5 ชั้นซึ่งชั้นที่หนึ่งจะเน้นแสดงภาพวาดโดยจะแบ่งเป็นโซนภาพวาดสีน้ำ โซนภาพวาดสีเทียน โซนภาพวาดสีไม้ ฯลฯ โซนภาพวาดสีน้ำจะเป็นโซนแรก ๆ ของทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ดูเหมือนว่าคนจะเข้ามาน้อยมากจนน่าแปลกใจ ภานุวัชร์คิดว่า (เนื่องจากจิตติพัฒน์อยู่ในช่วงหูดับจึงอาศัยการอ่านปาก) คงเพราะมีงานแสดงประมูลอัญมณีผู้คนเลยจะสนใจงานทางนั้นมากกว่า [อย่าผลักกันได้ไหม น้ำชา ฉันเจ็บนะ] เสียงของโชลเมทดังขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมแต่จิตติพัฒน์รู้สึกได้ว่าเธออยู่ที่นี่ในพิพิธภัณฑ์เดียวกับตัวเขา จิตติพัฒน์สลัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป มันจะเป็นเรื่องบังเอิญอะไรขนาดนั้นไม่มีทาง ไม่นานคชสีห์ก็สะกิดเพื่อน ๆ และพูดว่า "พึ่งรู้นะเนี่ยว่านักเรียนหญิงของพลเรือนจะน่ารักขนาดนี้" จิตติพัฒน์กับคนอื่นหันมามองก็เห็นคณะนักเรียนทั้งชายและหญิง กำลังทยอยเข้ามาด้านในโดยมีไกด์ทำหน้าที่นำทางคณะ ฝั่งสุพิศาลจึงบอกให้ทุกคนไปตรงอื่นจะได้ไม่เกะกะคนที่อยากมาดู ในตอนนั้นเองที่จิตติพัฒน์ได้ยินเสียงของโชลเมทเป็นรอบสุดท้าย ก่อนที่ประสาทการรับเสียงของเขาจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง [ฉันไม่ได้ชอบเขาซะหน่อย] ❤️❤️❤️❤️
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม