ในเวลายี่สิบกว่าปีมานี้หาผู้ใดกล้าลุกล้ำเข้าไปในเขตหุบเขาแห่งนี้ได้สำเร็จ มีคนเคยอยากพบหมอเทวดาลองก้าวล้ำเข้าไปแล้วแต่ไม่มีใครได้กลับออกมา โทษของผู้บุกรุกคือตายเท่านั้นนี่เป็นกฏเป็นสิ่งที่ผู้คนในยุทธภพต่างรู้กันดี
“ช่างเถอะ ยังไงพวกมันก็ไม่รอด พวกเจ้าให้คนค่อยจับตาดูเอาไว้รอบๆ ทางเข้าหุบเขาสยาอวิ๋น”
“ขอรับ”
เสียงน้ำไหลอยู่ไม่ไกล อวี้หลงพยายามลากเท้าไปต่อไปแม้ว่าลำคอจะแห้งผากกลิ่นคาวเค็มตีขึ้นมาในลำคอบนแผ่นหลังแบกชายตัวโตไว้ มือยังคงจับกระบี่และรั้งแขนและขาของอีกฝ่ายไม่ให้ร่วงลงไป เมื่อแหวกพุ่มไม้ออกเพื่อเดินต่อไป ทันใดรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกำลังพุงเข้าใส่จึงเอียงตัวหลบ “ฉึก” ลูกธนูปักเข้าที่ต้นไม้ แม้ไม่่ทำให้เป็นอันตรายแต่เจตนาชัดเจน คือเตือนมิให้ขยับตัว เสียงฝีเท้าเบาค่อยๆเดินเข้ามา ผู้มาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ฝีมือสูงกว่าเขาแน่นอน
“พวกเจ้าเป็นใคร”
เสียงเบาๆ ดังด้านข้างใกล้ๆตัวอวี้หลงพยายามเอี้ยวตัวไปก็พบร่างเล็กจ้อยของเด็กสาวตัวน้อย หน้าตาหมดจดมีเค้าโครงความงามอีกไม่กี่ปีจะต้องเป็นสาวงามแน่นอนเพียงแต่ใบหน้าและแววตาแสดงออกด้วยความเย็นชาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ สื่อออกมาให้เห็น ในหุบเขาสยาอวิ๋นที่อันตรายเช่นนี้กลับมีเด็กน้อยที่งดงามเช่นนี้ได้ บางทีเขาอาจโชคดีมีชีวิตรอดกลับไป เขามองแววตาของอีกฝ่ายมิได้มีแววสังหารหรือทำอันตรายออกมาจึงเอ่ยปากด้วยเสียงแหบแห้ง
“เด็กน้อย พวกข้าไม่ใช่คนไม่ดี พวกเราสองคนถูกลอบทำร้ายระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง ถูกศัตรูไล่ล่าสิ้นหนทางจึงต้องรุกล้ำเข้ามาในเขตหุบเขาสยาอวิ๋น ไม่มีเจตนาไม่ดี”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบเอ็ดปีที่ชิงหมิงเยว่ได้พบผู้คนจากภายนอก นางมองจ้องสำรวจคนทั้งสองนี่เป็นความแปลกใหม่ที่นางได้เจอ สภาพย่ำแย่ดูไม่ได้เลยทั้งสองคน บาดแผลเต็มไปหมดซ้ำคนที่อยู่บนหลังยังได้รับพิษร้ายแรง แต่ดูแล้วชายคนที่แบกอีกฝ่ายไว้คงไม่อาการของอีกคนด้วยซ้ำก่อนหน้าจึงวิ่งทำให้หน้าอกอีกคนกระแทกต่อเนื่อง ระหว่างที่นางกำลังจดจ่อกับความคิดของตัวเอง ชายเบื้องหน้าก็ส่งเสียงคล้ายวิงวอนออกมา
“เด็กน้อย เจ้าพอมีเสบียง เอ่อ น้ำกับอาหารแบ่งปันให้เราสองคนบ้างได้หรือไม่ พวกเราขอพักที่นี่อาศัยกองไฟของเจ้าด้วย ยามนี้พวกข้าหลบนี้ศัตรูไม่มีสิ่งใดเหลือติดตัวมา”
“ได้ ไปพักด้านนั้น”
หลังจากมองไปรอบๆ เห็นมีกองไฟลุกไหม้อยู่จึงลองเอ่ยปากขอกับนาง ชิงหมิงเยว่ชี้ไปที่แท่นหินอีกฝากของกองไฟ ก่อนที่จะเดินกลับไปพลิกย่างเนื้อต่อ อวี้หลงรีบพาเจ้านายของตนไปนั่งกึ่งนอนพิงกับโคนต้นไม้ใหญ่ที่มีแท่นหินอยู่ด้านข้าง
“น้ำ”
ชิงหมิงเยว่มองชายร่างสูงใหญ่ที่เจ็บหนักส่งเสียงแหบแห้ง ส่วนชายอีกคนที่อายุน้อยกว่าท่าทางดีใจที่เห็นอีกคนส่งเสียงออกมาก็รีบขยับเอาใบไม้ตักน้ำวิ่งไปที่ลำธาร นำน้ำวิ่งกลับมาเตรียมจะป้อนเข้าปากอีกฝ่ายทันที
“หากไม่อยากให้เขาตายเร็วขึ้น ก็อย่าได้ป้อนน้ำแก่เขา คนผู้นั้นโดนพิษ”
มือที่กำลังจะป้อนน้ำบนใบไม้หยุดชะงักทันที สีหน้าตื่นตระหนกนี่ท่านแม่ทัพถูกพิษมิน่าตลอดทางที่หลบหลีกศัตรูจึงไม่ส่งเสียงออกมาสักนิด ส่วนตัวเขาก็มองไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่ได้สังเกตความผิดปกติของท่านแม่ทัพที่อาการทรุดหนักขึ้นเลยสักนิด
“ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ดีเองปกป้องท่านไม่ได้”
อวี้หลงพึมพำในลำคอก่อนจะหันไปหาเด็กหญิงอีกด้านของกองไฟ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือเขามั่นใจว่าเด็กหญิงเบื้องหน้าอาจจะสามารถช่วยเหลือท่านแม่ทัพได้ หากสามารถบอกว่าโดนพิษได้ย่อมมีหนทางช่วยได้เขาเชื่อเช่นนั้น
“เด็กน้อย เจ้ามองออกว่านายท่านถูกพิษ เช่นนั้นเจ้าสามารถช่วยท่านได้หรือไม่”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารักษา(คน) เจ้าว่าไงล่ะ”
“ได้โปรดช่วยเจ้านายของข้าด้วยเถอะ ได้โปรด”
เขาค้อมศีรษะขอร้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่คิดถึงความเหมาะสมใดๆทั้งสิ้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กสาวที่น่าจะยังไม่ปักปิ่นด้วยซ้ำ ขอเพียงนางยินดีช่วยสิ่งใดที่นางต้องการเขายินดีทำทั้งสิ้น
“ถอยไป”
ชิงหมิงเยว่เดินตรงเข้าไป อวี้หลงรีบเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างเขาไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อยที่เด็กน้อยเบื้องหน้าพูดจาไม่มีหางเสียงใส่ตน เขามองดูนางแหวกเนื้อผ้าออกค่อยๆตรวจดูบาดแผลตามร่างกาย เปิดเปลือกตา จับชีพจรของท่านแม่ทัพโดยละเอียดก่อนที่นางจะหันเดินกลับไปที่ห่อผ้า ก้มลงค้นหาสิ่งของภายใน ชั่วอึดใจก็หันกลับมาพร้อมโยนบางสิ่งมาให้เขารีบคว้าไว้ทันที เมื่อแบมือออกเป็นโถกระเบื้องขนาดจิ๋วมีจุกผ้าสีขาวอุดไว้ด้านบน
“ให้เขากลืนลงไป แล้วเจ้าเช็ดทำความสะอาดแผลใช้สมุนไพรพวกนี้บดให้ละเอียดพอกไว้ที่ปากแผล เลือดจะได้หยุดไหล" (ก่อนที่จะไหลจนหมดตัวตายเสียก่อน นางขี้เกียจพูด)
เขามองพืชสีเขียวที่นางกำส่งมาให้รับมาด้วยความจนใจ เขาไม่รู้จักพวกมันทำเพียงต้องเชื่อใจนาง
หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากชิงหมิงเยว่ เลือดตามบาดแผลของท่านแม่ทัพก็เริ่มหยุดไหลลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอดีขึ้น อวี้หลงที่จ้องมองอยู่ด้วยความวิตกกังวลก็ผ่อนคลายจิตใจลงตัวเขาเองก็เริ่มรู้สึกเจ็บตามร่างกายและเหนียวเหนอะหนะตามร่างกาย จึงหันไปเอ่ยปากฝากเด็กหญิงดูแลนายท่านเพื่อขอตัวไปชำระล้างร่างกายที่ทั้งตัวมีแต่เลือดแห้งเกรอะกรังรวมกับเศษฝุ่นดินแข็งแห้งสกปรกไปทั่วยามขยับร่างกายรู้สึกราวกับผิวหนังแยกออกจากกัน เขารู้สึกได้ยามที่ปากแผลเปิดออกเจ็บไม่น้อย หลังจากอาบน้ำกลับมามีบางแผลของเขาที่เลือดยังไม่หยุดไหลนึกถึงบาดแผลของนายตนเองที่ดีขึ้นจึงเอาเศษสมุนไพรที่เหลืออยู่จากการห้ามเลือดของนายท่านทาไปตามบาดแผลทำให้เลือดค่อยๆหยุดไหล อวี้หลงจ้องมองเศษสมุนไพรบนฝ่ามือสาบานได้ว่ามันดีเยี่ยมกว่าสมุนไพรที่หมอในกองทัพเอามาใช้กับทหารที่ได้รับบาดเจ็บแน่นอน
กลิ่นเนื้อย่างของเด็กสาวลอยมาตามลมทำให้ความหิวตีตื้นขึ้นมาทันที เวลานี้เนื้อย่างถูกเด็กหญิงทานเข้าไปบางส่วน เพราะอดอาหารมาหลายมื้อพยาธิในท้องร้องครวญครางดังจนเขาคิดว่าเด็กสาวอาจจะได้ยิน ในที่สุดอวี้หลงก็กดข่มความอายออกปากขออาหารกับเด็กน้อย ไม่มีเสียงตอบกลับมาหากแต่อีกฝ่ายก็ยื่นเนื้อย่างที่ยังไม่มีร่องรอยการกินแม้แต่น้อยกลับมาให้เมื่อได้เห็นขนาดของชิ้นเนื้อย่าง เขาก็รู้ว่าเนื้อย่างนี้เด็กสาวคงเตรียมไว้สำหรับตนอยากเอ่ยปากขอบคุณแต่นางลุกเดินห่างออกไป เมื่อไปล้างมือเรียบร้อยแล้วเดินกลับมาหาที่เหมาะสมแล้วไม่พูดไม่จาหันไปนอนหลับพักผ่อน ถึงเวลานี้อวี้หลงพึ่งจะสังเกตเห็นว่ามีม้าสีดำที่สวยงามมากด้วยอีกหนึ่งตัว แสดงว่านางมีม้า แต่ดูเหมือนเจ้าม้าจะไม่ค่อยชอบเขาเพราะมันมองหน้าส่งเสียงคล้ายเยาะเย้ยแล้วพ่นลมหายใจแรงๆออกมาก่อนจะหันหน้ากลับไปหมอบตัวนอนข้างๆ นายของมัน
ยามเหม่าเป็นเวลาเช้าตรู่ที่เหนือยอดไม้ด้านบนยังไม่มีแสงส่องผ่านลงมา ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามเมื่อสว่างแล้ว อวี้หลงกังวลใจเป็นอย่างมาก มองเด็กหญิงที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมจะจากไป แม้อีกฝ่ายใจดีให้น้ำและอาหารพร้อมทั้งสมุนไพรและโอสถในขวดที่เหลือกับเขาเพื่อใช้บรรเทาอาการของนายท่าน แต่ว่าภายในเขตแดนอันตรายนี้พวกเขาลุกล้ำเข้ามาโดยเจตนาแล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถกลับออกไปได้อย่างปลอดภัย สีหน้าของท่านแม่ทัพดูดีขึ้น มีสีเลือดมากขึ้นลมหายใจชัดเจนขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้สติ
“เด็ก…”
“เจ้ากล้าเรียกข้าว่าเด็กน้อยอีกครั้ง ข้าจะทำให้เจ้าไร้ลมหายใจแน่นอน”