“คุณ! ปล่อยได้แล้ว! ปล่อยมือฉันได้แล้วค่ะ” พัทธิราพยายามจะดึงมือตัวเองออกจากมือหนาของลูคัส แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยสักที
“จะหวงอะไรขนาดนั้น ทำมากกว่านี้ยังทำมาแล้ว!” ลูคัสปล่อยมือตามที่ต้องการ พร้อมกับหันมาทำหน้าไม่พอใจใส่ จนพัทธิรางงว่าเธอทำอะไรผิด
“...ก็มันเจ็บ จับเฉยๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องออกแรงบีบเลย” เธอบอกเบาๆ เพราะไม่อยากมีเรื่องกับเขา ตาก็ก้มมองมือตัวเองที่ถูกเขากำไว้จนแดงเป็นรอยนิ้ว
“โธ่เว้ย!” เขามองเธอแล้วหันไปเตะถังขยะที่วางอยู่ใกล้ๆ
“คุณเป็นอะไร...” พัทธิราเดินถอยหลังให้ห่างจากเขา อยู่ดีๆ เขาก็กลายร่างเป็นพายุ นี่ถ้าเขาพาลมาเตะเธอด้วย เธอคงมีสภาพไม่ต่างจากเศษขยะที่กระจายอยู่เต็มพื้นแน่ๆ
“อยู่เงียบๆ ได้ไหม” เขาหันมามองเธออย่างหงุดหงิด เขาเองก็งงเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร ตอนแรกก็สะใจดีที่เอาชนะปฐพีได้ แต่พอพาเธอออกจากห้อง เขาก็ไม่พอใจที่แอบเห็นเธอมองตำรวจคนนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ และเมื่อเห็นว่าตัวเองทำให้เธอเจ็บก็รู้สึกผิด ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ใช่คนจิตใจอ่อนโยนแบบนี้
“งั้นฉันไปกินข้าวนะคะ” พัทธิรายินดีให้เขาได้อยู่เงียบๆ สมใจอยาก แต่จะกลับห้องทางไหน เธอก็ไม่รู้หรอกนะ เดี๋ยวเดินกลับไปทางเดิมก่อนก็แล้วกัน
“มัวทำอะไรอยู่ตั้งนาน แดนเอาข้าวไปให้นานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ค่ะ เอามาให้นานแล้ว แต่ฉันรอกินพร้อมคุณ เพราะเมื่อเช้าคุณยังรอฉันเลย แต่ตอนนี้ฉันรอไม่ไหวแล้ว แสบกระเพาะ ขออนุญาตเดินกลับคนเดียวนะคะ”
“อย่าเดินเพ่นพล่านไปไหนมาไหนโดยไม่มีฉัน ไม่อย่างนั้นเธออาจจะได้ผัวเพิ่ม” ลูคัสได้ยินเธอบอกดังนั้นก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที และในใจลึกๆ ก็ดีใจที่เธออุตส่าห์นึกถึงเขา แต่เขาไม่กล้ายอมรับความรู้สึกนั้นกับตัวเอง
“จะกินไหม เดินมาตามสิ” เขาหยุดเดินและหันไปมองพัทธิราที่ขมวดคิ้วมองมาด้วยความงุนงง เธอทำอย่างกับว่าเขากำลังคุยกับเธอเรื่องโจทย์วิชาฟิสิกส์อย่างนั้นแหละ
“กิน... กินค่ะ” เธอรีบตอบและเดินตามเขาไป จะกินเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อกิน เวลาความสำคัญมันเท่ากัน
“คุณลูคัสคะ...” พัทธิรากินข้าวเสร็จ ก็เรียกชื่อเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ส่วนคนฟังอย่างลูคัสไม่ขานรับอะไร ได้แต่มองหน้าและแปลกใจกับคำที่เธอรีกเขาแบบใหม่เท่านั้น
“วันนี้คุณจะพาฉันไปไหนเหรอคะ” เธอรอถามมานานแล้ว เขาบอกจะว่าพาเธอออกไปข้างนอก และเธอก็เบื่อที่จะอยู่ในนี้เต็มทน
“ตามมาสิ” ลูคัสลุกเดินไปอย่างรวดเร็ว จนพัทธิราที่กำลังดีใจ ต้องก้าวยาวๆ ตามเขาไป เพราะถ้าวิ่ง เธอคงจุกจนอ้วกแน่ๆ
“ฉันจะพาเธอเดินดูว่าที่ไหนที่เธอไปได้ และที่ไหนที่เธอไม่ควรเข้าไปยุ่งวุ่นวาย ฉันไม่ใช่ผู้คุมนักโทษ เธอเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร ที่เธอยอมอยู่ที่นี่ก็ถือว่าช่วยธุรกิจฉันได้มาก เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด หรือรู้สึกว่าถูกกักขัง แต่ทุกอย่างก็มีข้อจำกัด เธอเข้าใจใช่ไหม”
“เข้าใจค่ะ... ที่นี่อยู่ติดทะเลเหรอคะ” พัทธิราพยักหน้ายอมรับและเข้าใจในข้อตกลง และถ้าเธอหูไม่ฝาด เธอได้ยินเสียงคลื่นดังมาจากไกลๆ แต่มาจากทิศทางไหนก็ไม่อาจทราบได้ เพราะแค่ซ้ายกับขวา บางครั้งเธอยังจำสลับกันเลย
“ไม่ติด” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินนำเธอไปยังห้องโถงใหญ่ ซึ่งเธอเคยเห็นมันแล้วตอนมาที่นี่ครั้งแรก
“ตรงนี้จะเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ที่คนที่นี่ใช้พักผ่อน มาได้ แต่ก็ไม่ควรมา คงไม่ต้องให้บอกนะว่าทำไม” ลูคัสมองไปยังกลุ่มลูกน้องมากมายหลายสิบคน ที่ยืนกระจายตัวตามจุดต่างๆ โดยทุกคนพยายามไม่สนใจเจ้านายและหญิงสาวคนนี้ แม้จะอยากมองมากก็ตามที่
“ถัดมาจากส่วนกลางเมื่อกี้ ก็เป็นสวน ตรงนี้มาได้ เป็นพื้นที่ปลอดบุหรี่”
“ค่ะ” พัทธิรามองไปรอบๆ บริเวณที่ถูกจัดให้บริเวณเนินสูง มีต้นไม้มากมายอยู่โดยรอบ ทั้งต้นไม้ที่เติบโตตามธรรมชาติ และต้นไม้ที่ถูกนำมาจัดแต่ง มีหญ้าเทียมสีเขียว มีม้าหินอ่อนวางกระจายตามมุมต่างๆ เธอคิดไว้แล้วว่าบริเวณนี้ จะต้องเป็นบริเวณที่เธอใช้งานบ่อยแน่ๆ
“ตรงนี้เป็นฟิตเนส มาก็ได้ ไม่มาก็ดี”
“ค่ะ” ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ ถึงเขาจะบอกให้มาได้ แต่เธอก็ไม่มาอยู่แล้ว ในฟิตเนสมีแต่ผู้ชายเดินถอดเสื้อ โชว์กล้ามใหญ่ๆ เท่าขวดน้ำสองขวดรวมกัน และเธอก็ไม่ชอบออกกำลังกายให้เหนื่อยด้วย
“อันนี้ต้องบอกไหมว่าอะไร”
“รู้จักค่ะ สระว่ายน้ำ” เธอตอบและแอบเบะปากใส่เขาในใจ ก็แค่พูดว่าสระว่ายน้ำเอง ทำไมต้องพูดจากวนประสาทด้วย
“ตรงนี้ก็มาได้... แต่คุณไม่อยากให้มาใช่ไหมคะ”
“ถ้าอยากจะใส่บิกินี่ให้ลูกน้องฉันมองนม มองก้นก็เชิญ”
“นี่คุณลูคัสคะ... คุณไม่ต้องพูดจาประชดประชันฉันก็ได้นะคะ ฉันก็โตพอที่จะคิดเองได้แล้วนะคะว่าตรงไหนควรไปหรือไม่ควรไป ฉันไม่นอนแก้ผ้าให้ใครดูง่ายๆ หรอกค่ะ”
“อ๋อ... งั้นฉันควรดีใจสินะ ที่เธอแก้ผ้าให้ฉันดู” ลูคัสยิ้มมุมปากและยักคิ้วให้เธอ
“คุณถอดให้ฉัน” พัทธิราไม่ชอบใจที่เขาพูดแบบนี้ มันดูเหมือนเธอเป็นคนอ่อยเขา แต่ที่จริงแล้วเป็นเขาตั้งหากล่ะที่อ่อยเธอ
“จำไม่ได้แหะ... สงสัยมือมันไปเอง”
“คุณ!” เธอตกใจเมื่ออยู่ๆ เขาก็ดึงเธอเข้าไปกอด มือที่วางไว้บนหลังก็เลื่อนต่ำลงมาอยู่ที่สะโพก
“แม้ว่าฉันจะให้อิสระเธอเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรกับฉันก็ได้ เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เธออยู่ที่นี่เพื่อรักษาชีวิตของเธอและไอ้แมวที่ชื่อเป็นไก่ตัวนั้น ส่วนฉันอยู่ที่นี่ เพื่อควบคุมอย่าง รวมถึงตัวเธอด้วย เพราะฉะนั้น... จูบฉัน”
“อะไรนะ!” พัทธิราเข้าใจที่เขาพูดทั้งหมด จะยกเว้นก็แต่คำสุดท้ายที่เขาพูดอย่างไม่มีที่มาที่ไป
“จูบ... ฉัน”
“ทำไมต้องจูบ”
“เพราะฉันอยากจูบเธอไง”
“อื้อ!” ลูคัสพูดจบก็จูบเธออย่างจู่โจม เขาเบื่อสายตาของลูกน้องที่มองพัทธิราเต็มทน จะมองอะไรกันนักหนาก็ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าเขาปล่อยให้อดอยากปากแห้งเรื่องผู้หญิง อนุญาตให้ออกไปข้างนอกได้ทุกคืน ถ้าอยากมีความสัมพันธ์สวาทหรืออยากเจอกับคนรัก ขอแค่รับผิดชอบและซื่อสัตย์กับการทำงาน แต่นี่อะไร ทำเหมือนไม่เคยเห็นผู้หญิง จนเขาต้องแสดงความเป็นเจ้าของเธอสักหน่อย จะได้เลิกคิดอะไรเกินเลยกับผู้หญิงของเขาสักที ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งจูบเธออย่างดูดดื่มขึ้นเรื่อยๆ เอาให้รู้กันให้ทั่ว ว่าเขากับผู้หญิงคนนี้ลึกซึ้งกันเพียงไหน แต่ความลึกซึ้งที่เขาทำเพื่อประชดลูกน้องนั้น มันแปรเปลี่ยนเป็นความต้องการที่ยากเกินกว่าจะห้ามใจ แม้ว่าเธอจะขัดขืนจูบของเขา และเผลอไผลไปกับเขาบ้าง แต่มันไม่ได้ทำให้เขาอยากจูบเธอน้อยลงเลย
“ชอบไหม...”
“ชะ... ชอบ... อะไรคะ” เมื่อเขาถอนจูบ สติของเธอที่ไม่ครบถ้วนอยู่ก่อนหน้า ถึงกับยืนงงกับคำถามของเขา
“ชอบที่ฉันจูบไหม”
“ไม่ชอบค่ะ ขอตัวกลับห้องก่อนนะคะ” พัทธิราไม่เข้าใจว่าเขาจะถามทำไม และเมื่อเธอละสายตาจากเขา ก็เห็นผู้ชายมากมาย ทำเป็นแสร้งมองไปทางอื่น แต่มันก็ช้าเกินไปแล้ว
เพี้ยะ!
“ทุเรศ!” เธอหันไปตบหน้าเขาเต็มแรง คนที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างลูคัสหน้าหันไปตามแรงกระแทก เสียงดังเพี้ยะเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา ทำเอาลูกน้องของเขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“เธอตบหน้าฉัน...”
“เก่งมากไม่ใช่เหรอคะ ทำไมแค่ฉันตบถึงทำเป็นไม่รู้เรื่อง”
“กล้าดียังไงมาหักหน้าฉันต่อหน้าคนพวกนี้” ลูคัสเดินเข้าไปคุยกับเธอใกล้ๆ ด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน แต่รังสิอำมหิตของเขานั้น ต่อให้อยู่อีกซีกโลก ทุกคนก็รับรู้ได้
“แล้วคุณกล้าดียังไงมาจูบฉันต่อหน้าลูกน้องคุณล่ะ!”
“จะตะโกนทำไมหะ! ตะโกนทำไม!” เขาเขย่าไหล่เธอแรงๆ เพื่อระบายความโกรธ
“ก็คุณมันน่าโมโหนิ เป็นโรคจิตเหรอ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ให้หมอเช็คสมองหน่อยดีไหม โอ๊ย! ปล่อยฉัน!” พัทธิราถูกเขาบีบข้อมือทั้งสองข้างไว้
“ร้องเหมือนคนใกล้ตาย จะแหกปากเรียกญาติมารับศพหรือไง!”
“จะฆ่าก็ฆ่า! แต่ไม่ต้องเสียเวลาเรียกใครมารับศพฉันหรอกนะคะ เอาฉันฝังดิน อย่าให้มันส่งกลิ่นเน่าๆ รบกวนจมูกคุณก็พอ ฉันไม่มีญาติ ไม่มีครอบครัว ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีใครรักฉันเท่าตัวฉันเอง ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมอยู่ที่นี่เพื่อรักษาชีวิตตัวเองหรอก เอาสิ! ฆ่าฉันเลย หยิบปืนที่คุณชอบขู่ฉันมายิงฉันเลย ยิงสิ!” พัทธิรายื่นมือออกไปที่เอวของลูคัส หวังจะหยิบปืนที่เขาชอบเอามาขู่เธอ แต่เขากลับปัดมือเธอออก
ปัง!
ปัง!
ปัง!
ลูคัสยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อระบายความโกรธ หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นใจชะตาชีวิตอันน่าหดหู่และโดดเดี่ยวของเธอเมื่อครู่ เขายิงเธอแน่
“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันอีก ไม่อย่างนั้นกระสุนนัดต่อไป มันเข้าไปอยู่ในปากเธอแน่” เขาเอาปากกระบอกปืนที่ยังมีไออุ่นๆ ของกระสุนมาจ่อที่แก้มของพัทธิรา เธอยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ ภาพที่เขายิงปืนเมื่อครู่นั้น ทำให้เธอหวาดกลัวเขามากกว่าครั้งไหนๆ เขากลายเป็นคนใจร้าย ไร้ซึ่งความปราณี
“ถ้าฉันหมดประโยชน์กับธุรกิจของคุณเมื่อไหร่ คุณก็ฆ่าฉันทิ้งได้เลยนะคะ ไม่ต้องทำเป็นใจดีกับฉัน แค่นี้ฉันก็สงสารชีวิตตัวเองจะแย่อยู่แล้ว” ทันทีที่พูดจบ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลรินลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอวิ่งหนีเขาไป โดยไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น
“มองหาพ่อหาแม่มึงหรือไง! ไม่มีงานทำกันใช่ไหม!” ลูคัสพาลใส่ลูกน้องอย่างโมโห ก่อนจะยิงปืนขึ้นฟ้าระบายอารมณ์อีกหลายนัด