บทที่ 3 หย่าขาดสามี
หยางเจ๋อหยวนก้าวเดินเข้ามา ก่อนจะตรงเข้าไปประคองฟ่านกุ้ยอิงให้ลุกขึ้นมา ท่าทีของเขาที่มีต่อฟ่านกุ้ยอิงนั้นดูอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่เรียบเฉยคราหนึ่ง พร้อมกับลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ฟ่านกุ้ยอิงแสร้งทำเป็นซวนเซจนแทบจะเป็นลมล้มลง นางเซถลาเข้าไปในอ้อมกอดของหยางเจ๋อหยวน เขารีบปลอบประโลมฟ่านกุ้ยอิงอย่างทะนุถนอม ก่อนจะหันมาเอ่ยกับไป๋เหมยเหม่ย
"สตรีเช่นเจ้าคงทำความดีไม่เป็นชอบแต่รังแกผู้อื่น จิตใจริษยาเป็นที่สุด น่าเกลียดน่าชัง!!"
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ฉัน เอ่อ ข้าไม่ได้ทำอันใดนางเลยนะเจ้าคะ"
"หุบปาก ข้าเห็นอยู่ว่าฟ่านกุ้ยอิงล้มลงไปต่อหน้าต่อตาข้า หากเจ้าไม่ผลักนาง นางจะล้มได้เช่นไร!!!"
"เช่นนั้นท่านเห็นหรือไม่เล่าว่าข้าเป็นคนทำให้นางล้มลง เห็นตอนข้าผลักนางหรือไม่ หรือว่าความรักบดบังจนตามืดบอดมองไม่เห็นผิดถูกไปเสียแล้ว"
หยางเจ๋อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ หากจะให้เอ่ยตามจริงแล้ว เขาไม่เห็นตอนที่ไป๋เหมยเหม่ยผลักฟ่านกุ้ยอิงล้มลงเลยแต่น้อย แต่เพราะจิตใจของเราเกลียดชังไป๋เหมยเหม่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงไม่สนใจที่จะไถ่ถามนางเลยสักคำเดียว
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สตรีไร้สมองผู้นี้หาเหตุผลมาตอบโต้จนเขาไร้หนทางจะเถียงกลับ?
เมื่อเห็นว่าหยางเจ๋อหยวนเงียบไป ไป๋เหมยเหม่ยก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย
"ไม่เห็นกับตา แต่กลับกล่าวโทษข้า ท่านช่างลำเอียงเสียจริง ไม่มีคุณสมบัติสามีที่ดีเลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้ข้าคงตาบอดไปจริงๆที่อยากแต่งงานกับท่าน"
"ไป๋เหมยเหม่ย เจ้าหุบปากนะ เจ้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติของภรรยาเอกที่ดีเช่นเดียวกัน!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยเริ่มโมโหแล้ว บุรุษผู้นี้มันน่านัก หากเป็นในชาติปัจจุบันนางคงได้ยกเท้าถีบยอดหน้าเขาไปแล้ว แต่ทว่านี่คือยุคโบราณ ยุคที่บุรุษเป็นใหญ่ นางจึงทำได้เพียงลอบกำมือแน่น ก่อนจะเอ่ย
"ในเมื่อข้าไม่มีคุณสมบัติของภรรยาที่ดี เช่นนั้นท่านก็หย่ากับข้าเลยสิเจ้าคะ!!!"
ฟ่านกุ้ยอิงที่ได้ยินเช่นนั้น แววตาก็วาวโรจน์เป็นประกายขึ้นมาในทันที หากนางสามารถขับไล่ไป๋เหมยเหม่ยให้ออกไปจากจวนราชครูได้จริงๆ เช่นนั้นตำแหน่งภรรยาเอกย่อมต้องตกเป็นของนางแน่นอน
หยางเจ๋อหยวนที่ได้ยินว่าไป๋เหมยเหม่ยท้าหย่า เขาก็ส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง นี่นางเอาความกล้ามาจากที่ใดกันถึงมาท้าทายให้เขาเขียนหนังสือหย่าให้นางเช่นนี้!!!
"เจ้าอย่ามายั่วโทสะข้า"
"ไม่ได้ยั่วโทสะเสียหน่อย ข้าพูดจริง คนเราในเมื่อไร้ซึ่งความรักต่อกัน จะอยู่ด้วยกันไปทำไมเล่า ข้าเองก็ไม่อยากอยู่กับสามีบัดซบเช่นท่านเหมือนกัน"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แววตาไม่ได้มีความเสียใจอยู่เลยแม้แต่น้อย หยางเจ๋อหยวนที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งโทสะคุกรุ่น เขาจึงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
"เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ตามกฎของแคว้นเรา สตรีที่แต่งงานแล้ว หากขอหย่าสามีจะต้องถูกดูแคลนจากผู้คนรอบข้าง หากคิดจะแต่งงานใหม่เข้าตระกูลดีดีก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง สตรีเช่นเจ้านอกจะจะไร้มรรยาทแล้วยังไม่ได้เรื่องสักอย่าง บุรุษตระกูลจะอยากแต่งเจ้าเข้าจวนกัน ขืนแต่งเจ้าไปก็คงจะพบเจอกับความตกต่ำ ดึงสามีลงมาสู่ที่ต่ำละสิไม่ว่า!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยปรายตามองหยางเจ๋อหยวนคราหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา หากเป็นไป๋เหมยเหม่ยคนเก่า ยามนี้คงคุกเข่าลงไปกราบกรานร้องขอความเห็นใจจากสามีบัดซบผู้นี้นานแล้ว แต่ไม่ใช่กับนาง นางไม่ใช่สตรียุคโบราณครำครึ นางเชื่อว่านางสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องง้อบุรุษเฮงซวยเช่นนี้!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเอ่ยกับหยางเจ๋อหยวนทันที
"ข้าไม่สน หากให้ข้าต้องทนอยู่กับสามีเช่นท่าน ข้ายอมเป็นหม้ายดีกว่า"
"ดี!!!เช่นนั้นอีกสามวันข้าจะหย่าให้เจ้า ข้าเองก็ทนกับสตรีเช่นเจ้ามามากพอแล้วเหมือนกัน เมื่อได้รับหนังสือหย่าแล้ว เจ้าก็จงไสหัวออกไปให้พ้นจากสายตาข้าเสีย"
หยางเจ๋อหยวนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะประคองฟ่านกุ้ยอิงเดินจากไป ฟ่านกุ้ยอิงหันมายักคิ้วให้ไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่งอย่างผู้ชนะ แต่ทว่าไป๋เหมยเหม่ยกลับไม่ใส่ใจ กลับกันนางคิดว่าตนเองรู้สึกโล่งใจไม่น้อย ด้านเฉิียวเหลียนที่เห็นเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยถามตนด้วยความร้อนใจ
"ฮูหยินน้อยเจ้าคะ!!! เหตุใดจึงกล่าววาจาเช่นนี้ เรื่องราวระหว่างท่านและนายน้อยเป็นที่โจษจันท์ในครั้งนั้น หากหย่าขาดกันจริงๆ ท่านจะใช้ชีวิตเช่นไรเจ้าคะ"
"ใช้เช่นไรก็ใช้เช่นนั้นแหละ ยอมเป็นหม้ายดีกว่าตายทั้งเป็นเพราะต้องทนอยู่คนที่ไม่รักเรา ข้าจะไม่ทนอีกแล้ว ไปกันเถิด"
"ไปที่ใดเพคะ"
"ไปเอาหมูสามผัดพริกเกลือชั้นมา ข้ายังไม่อิ่ม!!!"
เฉียวเหลียนยกมือขึ้นเกาศีรษะตนคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
หมูสามชั้นสำคัญกว่านายน้อยหยางเช่นนั้นหรือ?
ด้านหยางเจ๋อหยวนที่พาฟ่านกุ้ยอิงกลับมาถึงเรือนแล้ว ก็เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"อิงอิง อีกไม่นานข้าจะยกย่องเจ้าเป็นภรรยาเอก ชดเชยที่เจ้าต้องอยู่อย่างอัปยศ ต้องแต่งเข้ามาเป็นภรรยารองของข้า ทั้งที่เจ้าก็มาจากตระกูลสูงศักดิ์ กิริยางดงามสมกับเป็นสตรีที่ข้ารัก"
ฟ่านกุ้ยอิงแสร้งทำเป็นยิ้มโศกเศร้าก่อนจะเอ่ย
"จะดีหรือเจ้าคะท่านพี่ อย่างไรเสียนางก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเอก แต่งเข้าจวนมาก่อนข้า ทำเช่นนี้..."
"ช่างนางปะไร ข้าไม่เคยรักนางเลยแม้แต่น้อย ข้าจะคอยดูว่าหลังจากที่นางไสหัวไปจากจวนของข้าแล้ว นางจะมีสภาพน่าเวทนาเพียงใด เจ้าไม่ต้องใส่ใจนาง พักผ่อนเถิด"
"เจ้าค่ะท่านพี่ แค่กแค่ก"
ฟ่านกุ้ยอิงแกล้งไอออกมา ก่อนจะลอบยิ้มเยาะในใจด้วยความรู้สึกที่สุขสมยิ่งนัก ในที่สุดนางก็หาทางขับไล่ไป๋เหมยเหม่ยให้ออกไปจากจวนตระกูลหยางได้แล้ว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสตรีหน้าโง่นางนั้นเหตุใดจึงกล้าเอ่ยวาจาท้าทายหยางเจ๋อหยวนเช่นนี้ คงคิดว่าตนเองสำคัญหยางเจ๋อหยวนจึงไม่กล้าหย่ากระมัง เหอะ!!!สุดท้ายก็กระเด็นออกจากจวนไปอย่างน่าสมเพช
เช้าวันต่อมาไป๋เหมยเหม่ยตื่นเช้ากว่าปกติ เมื่อล้างหน้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว นางก็เดินมากินอาหารที่โต๊ะ หลังจากที่กินอาหารจนอิ่มแล้ว นางก็ออกมาเดินเล่น ยามนี้เข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว ดอกเหมยหลากสีกำลังเบ่งบานท้าทายลมหาว อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมชวนหลงใหลอีกด้วย ไป๋เหมยเหม่ยยื่นมือไปเด็ดดอกเหมยดอกหนึ่งมาถือเอาไว้ ในขณะที่นางกำลังจะเดินกลับเรือนของตน ดวงตาคู่งามก็หันไปพบกับบุรุษผู้หนึ่งเข้าเสียก่อน ฉับพลันไป๋เหมยเหม่ยก็ตัวแข็งค้างทำสิ่งใดไม่ถูก
นั่นมันพระเอกซีรี่ย์ที่นางไปตามถ่ายรูปจนตกเขาตายนี่นา!!!!
บุรุษผู้นี้ดูแล้วอายุน่ารุ่นราวคราวเดียวกับหยางเจ๋อหยวน ใบหน้าดูคมคายหล่อเหลาคล้ายบัณฑิตหนุ่มรูปงามอย่างไรอย่างนั้น ชั่วขณะนั้นไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกราวกับว่าถูกใบหน้าของเขาดึงดูดให้ไม่อาจละสายตาไปได้ เขาเองก็จ้องมองนางเช่นเดียวกัน
ไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกว่าตนเองไม่อาจขยับไปที่ใดได้ นางยิ้มให้เขาคราหนึ่ง ในขณะที่บุรุษตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะฉายแวววูบไหวคราหนึ่ง
เป็นนางสินะ
"จวิ้นอ๋อง พระองค์เสด็จมาตั้งแต่เมื่อใดกัน"
อยู่ๆหยางเจ๋อหยวนก็เดินออกมาจากเรือนใหญ่ เขาเอ่ยกับบุรุษตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม บุรุษผู้นั้นเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“เพียงผ่านทางมา จึงคิดจะมาเยี่ยมท่านราชครูบิดาของท่าน ไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านอาจารย์คงอยากดื่มสุรากับข้าสักจอก จึงมาหาด้วยตนเอง”
หยางเจ๋อหยวนที่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง บุรุษตรงหน้ามีนามว่าจางเหยียนเหว่ย เป็นจวิ้นอ๋องผู้มากความสามารถ หลายปีก่อนได้เดินทางไปทำสงครามที่ต่างแคว้นเพิ่งจะกลับมาพร้อมชัยชนะ อีกทั้งจวิ้นอ๋องผู้นี้เดิมทีก็เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ที่บิดาของเขาเคยเป็นอาจารย์สอนตำราให้ เขาเองไม่ได้สนิทสนมกับจางเหยียนเหว่ยมากเท่าใดนัก เนื่องจากจวิ้นอ๋องผู้นี้มีนิสัยแปลกประหลาด บางคราก็เหมือนจะเข้ากับผู้อื่นได้ แต่ทว่าบางคราก็ดูเงียบขรึมแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาอย่างไม่น่าเข้าใกล้ แม้จะอยู่ในวัยเดียวกันเคยพบเจอกันบ้างยามที่ยังวัยเยาว์แต่กลับไม่ได้สนิทสนม เขาพบจางเหยียนเหวยครั้งสุดท้ายคือตอนที่อายุสิบห้าปีเท่านั้น ผ่านมานานเพียงนี้บุรุษตรงหน้าคล้ายจะไม่เปลี่ยนไปเท่าใดนัก ยังคงหล่อเหลา อ่อนวัย แต่กลับแผ่กลิ่นอายองอาจเยี่ยงนักรบจนผู้คนเกรงขาม
“ท่านพ่ออยู่ในห้องตำรา ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่ข้าจะพาท่านไป”
“อืม”
จางเหยียนเหวยพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินจากไปเขาช้อนสายตาขึ้นมามองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นางพยายามใช้ความคิดเผื่อว่าร่างเดิมจะปรากฏเรื่องราวของเขา แต่ว่ากลับไม่มีเรื่องราวใดของเขาให้นางรับรู้เลยแม้แต่น้อย คงเพราะจวิ้นอ๋องผู้นี้ไม่เคยพบเจอกับเจ้าของร่างเดิมสินะ
เป็นถึงจวิ้นอ๋องเชียวหรือ นางเองก็พอจะเข้าใจเรื่องฐานันดรศักดิ์ในสมัยโบราณอยู่ไม่น้อย ฐานะของเขาช่างสูงศักดิ์ยิ่งนัก
ไม่น่าเชื่อว่าการย้อนเวลามาเกิดใหม่ในร่างนี้จะทำให้นางได้พบกับเขา ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนพระเอกซีรี่ย์ที่นางชอบราวกับถอดแบบกันมา
จางเหยียนเหวยอยู่สนทนากับราชครูหยางไม่นานนักก็ขอตัวกลับจวนอ๋อง เขาเพียงแวะมาทักทายท่านอาจารย์ที่ตนให้ความเคารพเพียงเท่านั้น หยางเจ๋อหยวนเดินออกมาส่งเขา ในระหว่างนั้นจางเหยียนเหวยก็มองเห็นไป๋เหมยเหม่ยที่กำลังเดินมาพอดี นางเพิ่งกลับมาจากสวนดอกเหมย เมื่อเห็นเขาก็หยุดนิ่งก่อนจะทำความเคารพคราหนึ่ง จางเหยียนเหวยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเดินจากไปอย่างเงียบๆ
หยางเจ๋อหยวนมามองไป๋เหมยเหม่ยอย่างดูแคลนก่อนจะเอ่ย
"เตรียมตัวหรือยัง ข้าเขียนหนังสือหย่าให้เจ้าแล้ว หากเจ้าพร้อมก็กลับบ้านเดิมไปได้เลย อ้อ ข้าเตรียมตั๋วเงินให้เจ้าเพื่อปลอบใจหลายหมื่นตำลึงเลย ข้าสงสารสตรีเช่นเจ้า นี่นับว่าเป็นความเมตตาก่อนหย่าขาดจากกัน"
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองหยางเจ๋อหยวนคราหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าเขาจะรีบร้อนอยากหย่าขาดจากนางถึงเพียงนี้ นางมองหนังสือหย่าที่เขาส่งมาตรงหน้านางคราหนึ่งก่อนจะยื่นมือไปรับมันมาถือเอาไว้แล้วจึงเปิดออกอ่าน เนื้อหาด้านในบอกว่านางเป็นภรรยาที่ต่ำช้า ไร้มรรยาท ไร้กฎระเบียบ ไม่เคารพยำเกรงสามีไป๋เหมยเหม่ยลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ในใจคิดอยากจะกระโดดถีบยอดหน้าหยางเจ๋อหยวนสักหน แต่ก็ต้องอดทนไว้ นางเงยหน้าไปมองเขาด้วยแววตาที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา หยางเจ๋อหยวนที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง พลางครุ่นคิดในใจ
คงจะรู้สำนึกแล้วสิท่า คิดว่าข้าพูดเล่นหรือ!!
แต่ทว่าประโยคต่อมาของไป๋เหมยเหม่ย แทบทำให้หยางเจ๋อหยวนสะดุดล้มหงายท้อง
"ขอบคุณท่านพี่มากเลยเจ้าค่ะ ข้าชอบหนังสือหย่าฉบับนี้มาก ดูสิ ท่านเขียนด้วยลายมือที่ประณีตยิ่งนัก เพียงมองครู่เดียวก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจอันดี ท่านพี่ช่างปราดเปรื่องหาผู้ใดเทียบสมกับเป็นท่านอาจารย์ผู้มากความสามารถ ข้าประทับใจกับหนังสือหย่าฉบับนี้มาก ดูสิข้านำตาคลออีกแล้ว ฮึก"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปด้วยอารมณ์ที่เบิกบานใจ จางเหยียนเหวยเพิ่งจะเดินไปได้ไม่ไกลพลันชะงักฝีเท้าก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น พลางครุ่นคิดในใจ
เกิดมาเพิ่งเคยเจอ ถูกสามีมอบหนังสือหย่ากลับร่าเริงเช่นนี้
เขาหันกลับไปมองอีกคราก็พบว่านางเดินจากไปไกลเสีย เขายกยิ้มมุมปาก ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
ไม่พบกันเสียนาน คล้ายว่าปีศาจน้อยนางนี้จะน่าสนใจขึ้นมากทีเดียว
จางเหยียนเหวยละสายตาจากไป๋เหมยเหม่ยก่อนจะหันมาเอ่ยกับองค์รักษ์คนสนิท
“ไปโรงพนัน วันนี้ข้าอยากจะใช้เงินสักหน่อย”
“แต่ว่าท่านอ๋อง พระองค์กลับมาถึงเมืองหลวงได้หลายสิบวันแล้ว ควรจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทสักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
จางเหยียนเหวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“ช่างปะไร เขาเป็นถึงฮ่องเต้ย่อมมีผู้คนอยากเข้าเฝ้าไม่เว้นวัน ขาดข้าไปสักคนคงไม่เป็นอันใดหรอก”
“แต่ว่า...”
“หากเจ้าห่วงเขามากก็ไปเข้าเฝ้าเขาเองสิ จะไปกับข้าหรือไม่ หากไม่ไปก็ไสหัวไปไกลๆมือเท้าข้า”
ด้านไป๋เหมยเหม่ยที่กลับมาถึงเรือนแล้วก็ถูกเฉียวเหลียนเตือนสติยกใหญ่ บอกให้นางคิดใหม่ดีหรือไม่ หย่าขาดจากสามีเช่นนี้ชีวิตย่อมไม่สุขสงบอีกเป็นแน่
แต่ทว่าไป๋เหมยเหม่ยกลับคิดต่าง นางกลับคิดว่าชีวิตของสตรีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแต่งงานเพียงอย่างเดียว นางเชื่อว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางคงจะไม่ใจร้ายใจดำตัดขาดบุตรสาวของตนออกจากตระกูลเพียงเพราะถูกสามีหย่าขาดกระมัง
นับแต่นี้ นางจะต้องหาหนทางทำให้ตนเองมีความสุข ไป๋เหมยเหม่ยคนเก่าได้ตายไปแล้ว ยามนี้นางคือเจ้าของร่างคนใหม่ และนางจะไม่มีวันทำให้ชีวิตนี้ของนางตกต่ำเป็นอันขาด
แม้นางและไป๋เหมยเหม่ยคนเก่าจะมีนิสัยคล้ายกันตรงที่ไม่ยอมใคร แต่นางก็มีสติและรู้คิดมากกว่าไป๋เหมยเหม่ยคนเดิมอยู่มาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงรีบเก็บของ ก่อนจะเดินทางกลับจวนพร้อมกับเฉียวเหลียนในทันที ระหว่างทางพบกับฟ่านกุ้ยอิงที่เดินผ่านมาพอดี
“อุ๊ยตาย แม่นางไป๋ เจ้าจะไปแล้วหรือ”
ไป๋เหมยเหม่ยหันมามองฟ่านกุ้ยอิงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“มองไม่เห็นหรือ หรือว่าตาบอด”
“นี่เจ้า!!! เหอะ ยังทำปากดีอยู่ได้ ข้าจะคอยดูจุดจบของเจ้า คนเช่นเจ้าย่อมตกต่ำไม่มีชีวิตที่ดีได้หรอก”
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย
“ชีวิตข้าจะเป็นเช่นไรต่อคงไม่ต้องให้เจ้ามาคอยกังวล ไม่ต้องเสนอหน้ามาห่วงใยข้าหรอก”
“ปากดีนักนะ!!!”
“อย่างอื่นก็ดีนะ”
พลั่ก
ไป๋เหมยเหม่ยโมโหแล้ว นางจึงกำหมัดซัดเข้าใส่ใบหน้าของฟ่านกุ้ยอิงจนนางตาลอยมึนงง จมูกมีโลหิตไหลซึมออกมา เหล่าสาวใช้รีบเข้ามาประคองฟ่านกุ้ยอิงทันที ฟ่านกุ้ยอิงที่เห็นว่าจมูกตนมีเลือดออกก็กรีดร้องสุดเสียง
“อ๊า!!!เจ้ากล้าทุบตีข้าหรือ”
“ไม่ถีบก็ดีนักหนาแล้ว นี่คือของฝากก่อนจาก ในเมื่อที่ผ่านมาเจ้าชอบเสแสร้งนักว่าถูกข้าทุบตี วันนี้ข้าจึงสนองให้เจ้า เป็นเช่นไรเล่าชอบหรือไม่ ข้าไปล่ะ ไม่ต้องส่ง”
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ฟ่านกุ้ยอิงจมอยู่กับความโกธรเพียงลำพัง