อาการเลือดคั่งในสมอง บังเอิญอยู่ในตำแหน่งที่ยากต่อการผ่าตัด เมื่อถามถึงความสมัครใจของภรรยาและลูกสาวถึงเรื่องการผ่าตัดสมองที่มีความเสี่ยงสูงถึงชีวิต สองแม่ลูกจึงปฏิเสธการผ่าตัดแทนคนไข้ เพราะตระหนักแล้วว่าความพยายามผ่าตัดเพื่อรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ อาจหมายถึงการเร่งให้เขาตายเร็วขึ้น
“อันที่จริงแม่ไม่อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้แกรู้ แต่ไหนๆ ก็หลุดออกมาแล้ว เรื่องค่าแรงพนักงานในร้านอาหาร รายรับที่หมุนเวียนเข้ามาในแต่ละวัน แทบจะไม่พอจ่ายค่าแรงพนักงาน ทุกวันนี้แม่หมุนเงินแบบเดือนชนเดือน แต่ที่น่าห่วงที่สุดก็คือหนี้สินก้อนใหญ่กว่านั้น ถึงขั้นว่าเราอาจจะไม่มีที่ซุกหัวนอน” พูดจบแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่
“อะไรนะคะแม่…หนี้อะไรหรือคะ?”
รินนรีอุทาน รู้สึกมือเบาหวิวจนโทรศัพท์แทบหลุดจากมือ
“ก็หนี้ที่พ่อแกกู้ยืมเงินมาลงทุนทำร้านอาหารยังไงล่ะ แล้วส่วนหนึ่งก็ส่งเสียจนแกจนเรียนจบนี่แหละ”
อรดีกล่าวทั้งน้ำตานองหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่มันเพิ่งแห้งไปได้ไม่นาน เสียงสะอื้นเล็ดลอดมาเป็นระยะๆ เธอไม่เคยคิดจะทวงบุญคุณกับสูกสาว แต่ในสถานการณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกดดันรุนแรงจากปัญหารอบด้านที่รุมเร้า รินนรีจึงเป็นความหวังว่าจะแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้บ้าง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ยังมีอะไรที่หนูไม่รู้อีกไหมคะแม่?”
รินนรีเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ครุ่นคำนึงอยู่ในใจว่า สี่ปีที่ผ่านมา นี้…เธอพลาดในหลายๆ เรื่องที่ควรจะรู้ มารดาเคยเตือนเธอแล้ว เรื่องที่เธอตัดสินใจจะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเอกชนโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านเลยแม้แต่น้อย สาเหตุที่อรดีต้องทัดทาน ก็เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่ามหาวิทยาลัยแห่งนั้นขึ้นชื่อลือชาในเรื่องค่าเล่าเรียนที่แพงมาก เป็นสถานศึกษาที่เต็มไปด้วยบรรดาพวกลูกๆ หลานๆ ของเศรษฐีและผู้ดีมีเงิน
อรดีพยายามสะกดกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นเอาไว้ในอก แต่ก็ยากลำบากเหลือเกิน จะมีกี่คนที่เข้าใจว่าชีวิตของภรรยาในวันที่สามีล้มป่วย จึงไม่ต่างอะไรกับวันที่เสาหลักของครอบครัวง่อนแง่นโงนเงน กำลังจะล้มระเนนลงอยู่รอมร่อ ช่างเป็นช่วงเวลาที่รินนรีรู้สึกว่าชีวิตของเธอเหมือนเรือที่กำลังแล่นฝ่านาวาชีวิตไปเพียงลำพัง จะถึงฝังหรืออับปางลงเสียก่อนก็ไม่อาจจะคาดเดาได้
ขณะที่อรดีกำลังครุ่นคิดถึงอนาคต พร้อมกันนั้นก็อดนึงถึงใบหน้างดงามของลูกสาวไม่ได้ สิ่งที่เธอเพิ่งบอกออกไป อาจจะสร้างความตกใจให้ลูกสาว แต่จะทำอย่างไรได้? ในเมื่อรินนรีถูกลิขิตให้มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว จึงต้องมารับรู้และรับผิดชอบปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ยังมีอะไรที่หนูไม่รู้อีกไหมคะแม่…บอกมาสิคะ”
ผู้เป็นลูกสาวทวงถามอีกครั้ง ด้วยคำถามเดียวกัน เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากการถามในครั้งแรก เสียงแหบพร่ารบเร้าจะเอาคำตอบให้จงได้ รู้สึกโกรธมารดาที่ปิดบังเอาไว้นาน พอๆ กับที่รู้สึกผิดที่เธอเองก็มัวแต่วุ่นอยู่กับงานที่กรุงเทพฯ จนละเลยเรื่องของครอบครัวไปโดยไม่ตั้งใจ
อรดีถอนหายใจแรงอีกครั้ง ก่อนจะบอกความจริงอีกอันน่าตกใจออกมาว่า
“บ้านและที่ดินที่พ่อแกเอาไปจำนองไว้ แม่กลัวเหลือเกินว่าสักวันหนึ่ง ซึ่งก็คงหมายถึงในเร็ววันนี้ แม่จะไม่มีปัญญาหาเงินมาส่งดอกเบี้ยเขา”
ความจริงหลุดออกมาในที่สุด แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่บอกไปจะทำให้ลูกสาวทุกข์ใจ แต่อรดีก็รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ถ้อยคำที่ได้ระบายออกไป จึงเหมือนกับยกภูเขาออกจากอกเพราะความทุกข์ที่แบ่งระบายไปให้ลูกสาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อรดีก็เชื่อเหลือเกินว่าเมื่อมาถึงตอนนี้ รินนรีเองก็คงเข้มแข็งพอที่จะฟังข่าวร้ายได้ ในวันที่ศักดาไม่อาจจะเป็นที่พึ่งพิงของครอบครัวได้อีกต่อไป ก็เหลือลูกสาวที่พอจะเป็นเพื่อนปรับทุกข์ เพื่อหาหนทางแก้ปัญกันต่อไป
รินนรีรู้สึกว่ามือเท้าของเธอเบาหวิว
‘พระเจ้า บ้านกำลังจะถูกยึด…!!!’
ถ้อยคำของแม่คล้ายเสียงหลอนหลอกจากที่ใดสักแห่ง กึกก้องรบกวนอยู่ในใจ มันทำให้ความฝัน..ความหวังในทุกสิ่งอย่างวูบสลาย ดิ่งดับลงไปพร้อมกับความจริงที่เพิ่งได้ฟังจากปากของผู้เป็นมารดา เข้าใจแล้วว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ทำไมผู้เป็นมารดาจึงตักเตือนเธอเรื่องการใช้จ่ายว่าอย่าสุรุ่ยสุร่าย ก่อนที่จะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ออกไป ควรคิดหน้าคิดหลังให้ดี
“พ่อเอาบ้านและที่ดินไปจำนองไว้กับใครคะ?”
เสียงถามเต็มไปด้วยความขมขื่น
“เสี่ยสมพงษ์” อรดีบอกความจริงในที่สุด
เป็นอย่างนี้นี่เอง…! รินนรีรำพึงกับตัวเอง ได้ยินชัดเต็มสองหู พยายามซ่อนเสียงสะอื้นเอาไว้ในอก ที่แท้มารดาของเธอก็หวังผลในความสัมพันธ์กับครอบครัวของเสี่ยสมพงษ์นี่เอง เข้าใจชัดแล้วว่าเหตุใดอรดีจึงคะยั้นคะยอเธอนักหนา ถึงขั้นเจ้ากี้เจ้าการให้คบหากับพจน์ผู้เป็นลูกชายคนเดียวของเสี่ยสมพงษ์
“ลองหาเวลาทบทวนสิ่งที่แม่บอก…”
แม้จะไม่สบายใจนักที่ต้องย้ำฝากให้คนฟังหนักใจอีกครั้ง ก่อนจะวางสายไปในที่สุด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เธอฝากเอาไว้จะทำให้ลูกสาวเป็นทุกข์ใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่…แม่คะ หนูไม่เคยชอบนายพจน์อะไรนั่นเลยสักนิด
เสียงประท้วงร่ำๆ สะท้อนอยู่ในอกของหญิงสาวผู้ไม่อยากใช้ชีวิตไปตามความเห็นของคนอื่น เธอส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในหัวอก และทันทีที่วางสายสนทนาจากผู้เป็นมารดา ก็ทิ้งร่างระทดระทวยลงกลางที่นอนด้วยจิตใจระทดท้อ ลมหายใจอ่อนระโหยโรยริน หยาดน้ำตาใสๆ กลมกลิ้งออกมาอาบพวงแก้ม แต้มเป็นดอกดวงลงบนผืนผ้าปูที่นอน ไม่นานก็ชุ่มไปกับหมอน
ภาพของแสงไฟรางๆ ที่สาดทอลงมาจากเพดาน อาบร่างของหญิงสาวราวจะปลอบประโลม ลำตัวเล็กๆ ที่นอนคุดคู้ กอดตัวเองอยู่บนเตียงกว้าง ช่างดูน่าเวทนา ในวันที่ชีวิตเหลือทางเลือกเอาไว้ไม่มากนัก แต่ปัญหากลับรุมเร้าเข้ามารอบด้าน ทั้งเรื่องหนี้สิน ทั้งอาการป่วยของผู้เป็นบิดาที่ทรุดหนักลงทุกวัน กดดันจนทำให้รู้สึกราวกับว่าเพดานห้องนอนกำลังเลื่อนต่ำลงมาทุกขณะ จวนเจียนจะทับร่างของเธอที่ปัญหาครอบครัวกำลังบีบให้ลีบเล็กลงทุกที ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าภายหลังจากบิดาล้มป่วย จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตของเธอและผู้เป็นมารดาถึงเพียงนี้