“คุณ…พี่วรรษ ก็น่าจะรู้ดีว่าทำไม”
เห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะแสร้งทำเป็นห่างเหิน เรียกชายหนุ่มคุณแทนเรียกพี่ที่เคยเรียกมาแต่อายุห้าขวบเศษ
ถึงยังไง ไม่ว่าจะเรียกเขาเช่นไร ทางสายใจแล้วหล่อนไม่เคยตัดขาดจากผู้ชายคนนี้ได้เลย
“ใช่สินะ”
เสียงเขาเบามาก
“พี่ไม่น่าสงสัยเลยว่ากัญหนีออกจากบ้านทำไม ในเมื่อคำตอบเห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่ากัญกลัวพี่ คงทั้งกลัวทั้งเกลียด ขยะแขยงกับสิ่งที่พี่ทำลงไปจนกัญไม่สามารถแม้แต่จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพี่ได้ ยิ่งพี่บอกจะรับผิดชอบด้วยการแต่งงานด้วย กัญคงยิ่งผวาเข้าไปใหญ่ว่าพี่จะทำกักขฬะป่าเถื่อนกับกัญซ้ำอีกหลังจากเราแต่งงานกันแล้ว และนั่นก็เป็นสิ่งที่กัญทนรับไม่ได้”
กัญชพรมองหน้าคมสัน เห็นว่าสีหน้านั้นหม่นด้วยความสำนึกผิดแม้บาปที่ก่อเขาจะไม่ตั้งใจ
หล่อนควรบอกเขา ว่าไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจ แต่ก็พูดไม่ออก
“พี่ไม่ควรหวังเลยจริงๆ”
นวินวรรษพูดต่อ คล้ายปรารภกับตัวเองมากกว่า
“ว่ากัญหนีหายออกจากบ้านด้วยเหตุอื่น นอกเหนือจากเหตุผลทนอยู่ร่วมบ้านกับพี่ไม่ได้”
หล่อนสะดุดหู แต่เขาไม่ปล่อยช่องให้ซัก พูดต่อด้วยระดับเสียงที่ถูกปรับให้ราบเรียบ
“พี่เข้าใจนะ ทั้งเข้าใจเห็นใจถ้ากัญจะกลัวพี่ แต่ก็น่าจะอยู่พูดกับพี่ตรงๆ ว่าต้องการยังไง ไม่ควรเลยที่จะหนีออกจากบ้านมาเฉยๆ กัญคงไม่รู้หรอกว่าทันที่กลับเข้าบ้านได้อ่านโน๊ตที่กัญเขียนทิ้งเอาไว้พี่แทบทำอะไรไม่ถูก”
“กัญ...กัญขอโทษค่ะ ที่ทำให้พี่วรรษ…เอ่อ ไม่สบายใจ”
“ขอโทษหรือ?” เขาทวน
“ไม่สบายใจงั้นรึ?”
เสียงมีกังวานห้าวฟังว่าเกรี้ยวกราดอยู่ลึกๆ ที่เจ้าตัวพยายามสะกดเอาไว้ไม่ให้พุ่งขึ้นมา
“แค่นั้นน่ะ? กัญคิดหรือว่าจะ…”
นวินวรรษเสยผมพลุ่งพล่าน เขาหลับตาลงก่อนลืมขึ้นใหม่ พูดตัดบททั้งที่พูดค้างอยู่
“ช่างเถอะ! อะไรๆ มันก็ผ่านไปแล้ว กัญหนีออกมาจากบ้าน...ไม่ใช่เมื่อวานนี้ หรือแม้แต่เดือนก่อน หรือปีที่ผ่านมา แต่หกปีมาแล้ว พูดอะไรตอนนี้ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ยังไงก็ตาม พี่ได้พบกัญวันนี้ก็คงช่วยให้พี่หลับสนิทได้เสียที อย่างน้อยกัญก็…ท่าทางสุขสบายดี มีงานทำ บริษัทที่กัญทำงานอยู่ด้วยเวลานี้พี่รู้จักกับเจ้าของ รู้ว่าบริษัทมีความมั่นคงไม่ล้มง่ายๆ แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเวลานี้จะไม่ดีนัก”
เขามองหน้าหล่อนนิ่งอยู่อึดใจจึงถามขึ้นใหม่
“ว่าแต่กัญสบายดีใช่มั้ย มีอะไรจะให้พี่ช่วยบอกเลยนะไม่ต้องเกรงใจ พี่ก็คงไปๆ มาๆ ตึกนี้บ่อยๆ ไม่รู้ว่ากัญรู้หรือเปล่า ว่าอาคารนี้เป็นของพี่ สร้างเสร็จหลังจากที่กัญออกจากบ้านได้สักปีเศษ”
“ไม่รู้เลยค่ะ”
ตอบสั้นๆ นึกในใจ ถ้ารู้ว่าอาคารหลังนี้เป็นของเขา หล่อนคงหลีกให้ไกลเท่าที่จะไกลได้ แต่ถึงไม่พูดก็ดูเหมือนเขาจะอ่านความคิดหล่อนออก
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น พี่ไม่ควรถามโง่ๆ ถ้ากัญรู้ว่าตึกนี้เป็นของพี่ถึงจะอยากได้งานแค่ไหนกัญก็คงตัดใจหางานที่อื่นทำ ว่าแต่ยังไม่ตอบพี่เลยว่าสบายดีหรือเปล่า ลำบากมากมั้ยเมื่อออกจากบ้านมาช่วงแรกๆ”
“กัญสบายดีค่ะ”
หล่อนเลือกตอบเฉพาะคำถามแรกของเขา
“พี่วรรษละคะ”
“พี่หรือ”
เขามองหล่อนคล้ายกับว่าไม่น่าถาม แต่ก็ตอบ
“ก็…สบายดีเท่าที่จะสบายได้”
แล้วเขาก็มองหล่อนเหมือนจะซึมซับภาพของหล่อนไว้ในความทรงจำ พร้อมกับพิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กัน
นวินวรรษยังจำภาพครั้งเยาว์วัยของหญิงสาวร่างอ้อนแอ้นในชุดสูทสามชิ้นดูเรียบร้อยเบื้องหน้าเขาได้
กัญชพรเป็นเด็กหญิงร่างเล็กบอบบาง ใบหน้าออกรูปหัวใจ เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม น่ารักมากกว่าจะสวยสะดุดตา
หล่อนไว้ผมยาวมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง ผมดกหนาหยักศกเกือบเป็นหยิกจึงมักถูกผู้ใหญ่จับถักเปียไว้เสมอๆ ไม่ให้ยุ่งรุงรังจนเกินไปนัก
เครื่องหน้าที่ว่ากระจุ๋มกระจิ๋มสมส่วนวงหน้าเล็กๆ มีดวงตากลมโตโดดเด่นกว่าส่วนอื่น ประกอบกับขนตายาวงอนดกหนาเป็นแพ ยิ่งทำให้ดวงตานั้นลอยเด่นชัดอยู่กลางวงหน้าบอบบาง ชวนผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกเอ็นดูได้ง่าย
แต่ที่ยืนตัวตรงเบื้องหน้าเขาขณะนี้ ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ คนนั้นอีกแล้ว เป็นหญิงสาว เป็นผู้ใหญ่ด้วยวัยที่ผ่านยี่สิบมาหลายปี
รูปร่างของหล่อนยังจัดเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ไม่ได้สูงขึ้นจนผิดตาจากที่เขาเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อหกปีที่แล้ว ทว่าความเจริญวัยเต็มที่ช่วยลดความแบบบางเป็นความกลมกลึงอรชรชวนมองในสายตาเพศตรงข้าม
ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างที่เขามองเห็นได้ ผมดกหนาที่เคยยาวถึงกลางหลังที่เจ้าตัวมักจะถักเปียไว้ตลอด บัดนี้ถูกซอยสั้นเข้ารูปศีรษะดูทะมัดทะแมง ทำให้ใบหน้านวลเนียนดูเด็กกว่าอายุอ่อนเยาว์ลงอีก
ผิวขาวที่เคยดูว่าเผือดเพราะอยู่ในร่มเป็นส่วนใหญ่ คล้ำขึ้นด้วยแดดลม แต่ก็ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้นด้วย
ขณะถูกชายหนุ่มจับตามองนิ่งอยู่ กัญชพรก็มองเขาอย่างพินิจราวจะฟื้นฟูความทรงจำเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเขาที่หล่อนจำได้ในอดีต