เมื่อพากันกลับมาถึงบ้าน โม่เหลียนฮวาก็ได้ยินเสียงเด็กทารกน้อยร้องไห้จ้า เสียงแบบนี้ก็คงมีเพียงเจ้าก้อนตัวน้อยจอมหิวนมแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น โม่เหลียนฮวารีบเดินไปรับเขามาจากป้าเหมยที่กำลังอุ้มเด็กทารกตัวน้อยด้วยความเมตตาเอ็นดู บุตรชายของป้าเหมยนั้นยังไม่มีฮูหยินของตนเอง จึงไม่มีหลาน พอได้เลี้ยงลูกของผู้อื่นก็เกิดความเอ็นดูอย่างมาก
“มาแล้วหรือ” ท่านป้าเหมยกล่าวทักทาย เจ้าตัวน้อยที่ได้อ้อมกอดของแม่ก็เงียบลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เขาไม่ได้รักใคร่อะไรมารดาปานนั้น แต่กลับคิดถึงทรวงอกอวบขาวของแม่ที่มีนมแสนอร่อยให้เขาได้ดื่มกินต่างหาก
“เจ้าค่ะท่านป้า”
“มามา ลูกเจ้าร้องจนหน้าตายู่ยี่ยับเยินน่าเกลียดไปหมดแล้ว” ป้าเหมยเอ่ยออกมาอย่างเอ็นดู โม่เหลียนฮวาเลิกหายอาย นางแหวกสาบเสื้อออกก่อนจะดึงสายเอี๊ยมออกจนเผยทรวงอกงาม ป้าเหมยดูก็รู้ว่าสตรีนางนี้คงเป็นชนชั้นสูง ผิวพรรณงดงามผุดผ่อง มือทั้งสองข้างนุ่มนิ่มไร้ซึ่งรอยสาก ทั้งยังทำงานบ้านงานเรือนไม่ค่อยจะเป็น ทุกงานล้วนเป็นหน้าที่ของไห่หลินทำทั้งสิ้น
“ท่านป้าวันนี้ข้าซื้อปลากระพง กับกุ้งมา เดี๋ยวเรามาทานอาหารด้วยกันนะเจ้าคะ” โม่เหลียนฮวากล่าว ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างแยกย้ายกันกินอาหาร ใช้ชีวิตราวกับอยู่คนละบ้าน คนละบริเวณ ความจริงแล้วไห่หลินเล่าให้ฟังมาตอนเดินทางมาที่นี่ โม่เหลียนฮวาตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว ป้าเหมยสงสารมากจึงได้ให้ที่พักพิงเป็นเรือนด้านหลังที่ตั้งใจจะปลูกเอาไว้ให้ลูกชาย และลูกสะใภ้ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ เมื่อเห็นสตรีสองคนกับทารกในครรภ์จึงได้สงสารเมตตาให้อยู่ แต่โม่เหลียนฮวาก็ค่อนข้างจะถือตัวอยู่ไม่น้อย แต่ไม่คาดคิดหลังจากนางสลบไปหลังจากคลอดบุตร กลับฟื้นขึ้นมามีนิสัยที่แปลกไปไม่น้อย แต่ก็นับว่าดีขึ้น ไห่หลินบอกป้าเหมยว่าโม่เหลียนฮวาจำอะไรไม่ได้ แต่นั่นก็นับว่าดีแล้ว เรื่องราวในอดีตน่าจะเลวร้ายไม่น้อย การลืมเลือนอาจจะช่วยให้จิตใจของโม่เหลียนฮวานั้นดีขึ้นจนเป็นเช่นนี้
“ดีเหมือนกัน ป้าก็ขี้เกียจทำอาหาร” ป้าเหมยกล่าว โม่เหลียนฮวาให้นมบุตรชายเสร็จก็ขอฝากเขาไว้ที่ป้าเหมย ก่อนจะไปช่วยไห่หลินทำอาหารที่เรือนเล็กของนาง
“ฮูหยิน ข้าไม่รู้ว่าท่านจะทำอาหารอะไร เลยเตรียมของให้ท่านหมดแล้ว” ไห่หลินกล่าว โม่เหลียนฮวาเห็นปลาที่ถูกขอดเกล็ด ควักไส้ และล้างจนสะอาดสิ้น พริกมะนาวก็ถูกหั่นเตรียมไว้ น้ำตาลก็พอมีเล็กน้อยเป็นน้ำตาลผลึก
“ไห่หลินเจ้าไปเอาตะไคร้มาต้นนึง” โม่เหลียนฮวากล่าว ไห่หลินเดินไปตัดตะไคร้ ส่วนโม่เหลียนฮวานั้นเตรียมน้ำยำ แต่น่าเสียดายไม่มีน้ำปลา และไม่มีเกลือ โม่เหลียนฮวาเลยนำหม้อมาตั้งไฟใส่น้ำทะเลลงไปเคี้ยวให้ตกผลึกเป็นเกลือ แต่ด้วยจำนวนน้ำที่ไม่เยอะมาก ทำให้ได้เกลือเพียงหยิบมือเท่านั้น โม่เหลียนฮวานำเกลือออกมาพักนอกหม้อก่อนจะนำน้ำไปต้มให้หม้อหายเค็ม
“นี่เจ้าค่ะ ข้าล้างมาแล้ว” ไห่หลินกล่าว โม่เหลียนฮวานำตะไคร้มาหันแล้วนำไปยัดใส่ปากปลา ความจริงโม่เหลียนฮวาก็ไม่เคยทำเมนูปลากระพง นางเคยทำแต่ปลานิลนึ่งมะนาว ซึ่งโม่เหลียนฮวาคิดว่ารสชาติน่าจะไม่ไกลกันเท่าไหร่
“ฮูหยินท่านจะนึ่งปลาหรือเจ้าคะ”
“อืมเจ้ามานึ่งปลาแล้วกัน อ่อ.. เจ้านึ่งกุ้งไปด้วยเลยนะ” โม่เหลียนฮวากล่าวก่อนจะหันไปมองบางสิ่งที่คล้ายครก ก่อนจะใส่รากผักชี มะนาว น้ำตาลผลึก เกลือ พริก ลงไปจนรสชาติเปรี้ยวเผ็ดหวาน รสชาติเข้มข้นจนถึงใจ เพราะเมื่อนำปลาออกมา จะมีน้ำซุปจากตัวปลาอยู่แล้ว ใส่น้ำยำลงไป รสชาติก็จะพอดี พอรับประทาน แม้จะไม่นัวเหมือนการใช้น้ำปลา แต่ก็ไม่ได้มีรสชาติที่แย่เกินไปนัก โม่เหลียนฮวาแบ่งน้ำยำแยกไว้ อันนึงไว้ทานกับกุ้ง อีกอันไว้ราดปลา น่าเสียดายที่วันนี้นางทำอาหารรสชาติจัดถึงสองจาน น่าจะต้องมีอาหารรสชาติอ่อนอีกสักหน่อย แต่เพราะเมื่อครู่อยากกินแต่อาหารทะเล และพื้นฐานในอดีตนางเป็นคนไทย จึงชอบอาหารที่มีรสจัด จึงไม่คิดเผื่อผู้อื่นเลย โม่เหลียนฮวาเหลียวซ้ายแลขวาไปเจอไข่จึงนำไข่มาตีกันจนเนื้อเนียนนุ่มก่อนจะนำเนื้อกุ้งสดบางส่วนที่ไห่หลินยังไม่ทันนำไปนึ่งมาหัน ก่อนจะทำไข่ตุ๋นด้วยการผสมน้ำลงไป
“นึ่งปลากับกุ้งจนสุกแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม เจ้าเอากุ้งแยกออกมาอีกจานนึง แล้วก็เอาน้ำยำส่วนนี้ราดลงบนปลา รอให้หายร้อนสักหน่อย เดี๋ยวมะนาวจะเสียรสเอา” โม่เหลียนฮวากล่าว ก่อนจะรีบเอาไข่ตุ๋นลงไปนึ่งในหม้อแทน รอไม่นานไข่ตุ๋นก็สุกเนื้อเนียนสวย โม่เหลียนฮวานำกุ้งที่ปอกเปลือกลงไปวางบนเนื้อไข่ แล้วนึ่งอีกครั้งจนกุ้งสุก
“อาหารน่าทานเหลือเกินเจ้าค่ะ กลิ่นแปลกประหลาดนัก” ไห่หลินกล่าว โม่เหลียนฮวาพยักหน้า ในยุคนี้พริกมีหลายแบบ โชคดีที่มีพริกแบบที่โม่เหลียนฮวาต้องการ มันเป็นพริกที่เผ็ดร้อน ต่างจากพริกของจีน เท่าที่โม่เหลียนฮวาจำได้สีพริกของจีนมีสีที่น่ากลัว แต่ความเผ็ดนั้นแทบไม่สู้พริกของไทยเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปในยุคที่จากมา ตอนนั้นพริกหมาล่าเป็นที่นิยมไม่น้อยเลย
“ไปตามท่านป้าเหมยมาได้แล้วล่ะ” โม่เหลียนฮวากล่าว ไห่หลินรีบไปตามป้าเหมยที่กำลังอุ้มเด็กทารกตัวน้อย เขาเพิ่งเรอนมไม่นานก็หลับไปตามประสาเด็กทารกที่จะนอนมากกว่าปกติ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเขาตื่นเมื่อไหร่ เสียงกรีดร้องแหลมคมนั่นก็ชวนปวดประสาทนัก โม่เหลียนฮวาไม่ค่อยจะแปลกใจหากจะมีโรคซึมเศร้าในคุณแม่ที่เพิ่งคลอดใหม่ๆ เพราะการเลี้ยงเด็กเป็นอะไรที่ยากยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไรกัน บางทีก็ร้องหิวนม ร้องรำคาญเหนียวตัวปวดฉี่ ปวดอึ บางทีก็แค่ร้องเฉยๆ อยากให้อุ้ม ให้ตบก้น ชวนปวดหัวนัก…
“หลับแล้วหรือท่านป้า”
“อืมหลับแล้วล่ะ” โม่เหลียนฮวารับลูกชายก่อนจะนำเขาเข้าไปนอนในห้องนอน เพราะนี่ใกล้ค่ำแล้ว แมลงจะค่อนข้างเยอะ แม้จะน้อยกว่าในยุคสมัยที่จากมา แต่ก็ต้องระวังไว้ก่อน เพราะสัตว์พวกนี้เป็นสัตว์ที่นำพาหะโรคร้ายมาด้วย โม่เหลียนฮวาไม่อาจเสี่ยงได้
“อาหารของเจ้ามีสิ่งใดบ้าง”
“ปลากระพงนึ่งมะนาว และกุ้งนึ่งจิ้มน้ำจิ้มทะเลเจ้าค่ะ”
“อืมไหนลองชิมหน่อยสิ” ท่านป้าเหมยใช้ตะเกียบตักปลาก่อนจะลิ้มรสอันแสนแปลกประหลาด มีรสชาติเปรี้ยว เผ็ด แต่ก็ชุ่มช่ำหวานหอม อร่อยยิ่งนัก ไห่หลินตักข้าวใส่ถ้วยแจกจ่ายก่อนจะนั่งลงทานบ้าง ก็พบว่าอาหารนั้นเลิศรสมากทีเดียว
“พวกท่านว่าอาหารที่ข้าทำ สามารถทำขายได้หรือไม่เจ้าคะ” โม่เหลียนฮวากล่าว ในยุคสมัยนี้การทำอาหารแปลกใหม่ที่ได้รับมาจากในโลกอีกใบน่าจะพอทำการค้าได้อยู่บ้าง
“ก็อร่อยนะเจ้าคะ ฮูหยิน แต่การจะเปิดร้านค้า เราต้องไปขออนุญาติเจ้ากรมเมืองก่อน ไหนจะต้องมีวัสดุอุปกรณ์มาก อีกอย่างบ้านเรือนของเราก็ห่างไกลจากเมืองไม่น้อยเลย”
“แต่เราก็ห่างไม่มากไม่ใช่หรือ ข้าอยากจะลองทำอาหารขายดู พออยู่ว่างๆจะได้มีรายได้” โม่เหลียนฮวากล่าว นางมาคิดดูแล้ว หากนางกับไห่หลินไม่ทำการทำงาน แล้วมีเงินใช้สอยตลอด มันน่าสงสัยมากเกินไป
“ป้าว่าก็ดีนะ พวกเจ้าจะได้มีรายได้กัน”
“เจ้าค่ะท่านป้า” ไห่หลินพยักหน้า พอจะเข้าใจความต้องการของฮูหยินตนเองอยู่บ้าง เรื่องนี้นางก็คิดมาสักพักแล้ว แต่การที่ฮูหยินมีรูปโฉมแบบนี้ก็ออกจะไม่เหมาะสมไปเสียสักหน่อย อาจจะต้องให้ฮูหยินหลบซ่อนอยู่แต่ในครัว แต่เมื่อคิดเช่นนั้นไห่หลินก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ สุ่ยเหอจวิ้นจู่ผู้เป็นบุตรบุญธรรมคนโปรดของฮองเฮา กลับต้องมาตกระกำลำบาก ทั้งที่แต่เดิมก็ถือว่าเป็นทายาทคนเดียวของวีรบุรุษสกุลโม่ ต่อให้กระทำความผิดมากมายขนาดไหน ก็ไม่ควรต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้เลย
พอจบมื้ออาหารไห่หลินก็ทำความสะอาดจานชาม ก่อนจะเข้ามาในห้องหับอันเป็นที่นอน โม่เหลียนฮวานอนบนฟูกเตียงกับบุตรชาย ส่วนไห่หลินนอนที่พื้น เพราะฟูกเตียงไม่เพียงพอต่อคนสองคน อีกทั้งไห่หลินไม่อยากจะตีตนเสมอเจ้านาย แค่ได้ทานอาหารร่วมกับโม่เหลียนฮวาก็นับว่าเป็นเกียรติของนางแล้ว
“ฮูหยินท่านแน่ใจหรือเจ้าค่ะว่าจะขายอาหาร” ไห่หลินกล่าวออกมา นางรู้สึกเศร้าใจที่ไม่อาจดูแลเจ้านายของตนได้ดีพอ โม่เหลียนฮวาพยักหน้าขึ้นลง อย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป จะสูงหรือต่ำ สุดท้ายคนเราก็ต้องรู้จักหาเงินทำงานอยู่ดี อย่างน้อยก็ยังมีทุนเริ่มต้น ไม่ได้โดดเดี่ยวแบบที่เคยเป็น ชีวิตใหม่ได้เท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้ว
“ไห่หลิน ตอนนี้ข้าไม่ใช่สุ่ยเหอจวิ้นจู่ ไม่ใช่ฮูหยินเอกสกุลกงหยาง เป็นเพียงฮูหยินหม้าย มีบุตรชายหนึ่งคน มีเจ้าเป็นดั่งญาติมิตร เป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะ” โม่เหลียนฮวากล่าวออกมา ไห่หลินน้ำตาซึมออกมา
“แต่ว่าไทเฮาฝากฝั่งให้ข้าดูแลท่านให้ดี ข้าให้สัจจะสัญญาไว้แล้ว”
“แล้วเจ้าดูแลข้าไม่ดีตรงไหนเล่า ก็ดูแลข้าอย่างดีมาโดยตลอด”
“แต่หากว่าพวกเราสามารถติดต่อไทเฮาได้ ฮูหยินก็จะไม่ลำบากเช่นนี้”
“ไห่หลิน เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าอยู่ดีๆ ฐานะของเราตอนนี้จะไปติดต่อคนในวังหลวงได้อย่างไร เอาแค่นางกำนัลสักคนพวกเรายังติดต่อไม่ได้เลย อีกอย่างข้าก็สร้างเรื่องราวชวนปวดหัวขนาดนั้น เจ้ากับข้าก็ลืมเรื่องเก่าไปเสียเถอะ”
“ฮูหยิน…”
“ไห่หลิน ข้าไม่รู้ว่าตอนที่ข้าอยู่ในฐานะเก่าข้าเป็นเช่นไร แต่ข้าเชื่อว่าในตอนนั้นข้าคงไม่มีความสุขนัก ตอนนี้ข้าจำอะไรไม่ได้ ข้าว่าแบบนี้เราก็มีความสุขกันดีนี่ เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ ข้าเป็นแม่หม้าย ส่วนเจ้าเป็นคุณน้าใจดีของเสี่ยวเปาเป่าก็พอแล้ว” โม่เหลียนฮวากล่าว เสี่ยวเปาเป่าก็คือบุตรชายตัวน้อยของนาง แต่อย่างไรก็ตามเขายังไม่มีชื่อแท้จริง เพราะโม่เหลียนฮวาคิดไม่ออก นางไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย อยากจะให้บุตรชายมีชื่อดี ถ้าเป็นยุคสมัยที่จากมาก็คงต้องไปให้พระท่านตั้งชื่อให้
“เอออ… ไห่หลิน พรุ่งนี้เราพาเสี่ยวเปาเป่าไปวัดได้หรือไม่”
“ไปวัดหรือเจ้าคะ”
“อืม… ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นเดือนแล้ว ข้าอยากพาลูกไปหาสิริมงคล ให้ไต้ซือช่วยตั้งชื่อให้แก่เขา”
“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ หากต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเราไปขอพร ขอสิริมงคลที่วัดได้” ไห่หลินกล่าว ตอนแรกโม่เหลียนฮวาคิดว่ายุคนี้อาจจะไม่ใช่วัด แต่เป็นศาลเจ้า แต่คิดไปมาแล้ว ศาสนาพุทธมีหลายนิกาย และมีประวัติอันยาวนาน อีกอย่างด้วยหลักคำสอน นรกที่นางได้เห็น ยมฑูตอีก แม่เฒ่าที่น่าจะเป็นยายเมิ่งด้วย
“อืม เช่นนั้นพวกเรารีบนอนกันเถอะ”
บรรยากาศยามเช้าอันแสนสดใส เจ้าตัวน้อยตื่นมาร้องไห้โยเยตั้งแต่มืดด้วยความหิวโหย โม่เหลียนฮวาต้องป้อนนมเจ้าตัวน้อยแต่เช้า อาหารเช้าก็เป็นแบบทั่วไปคือกุ้งที่ยังคงมีตั้งแต่เมื่อวานเป็นกุ้งต้ม ไห่หลินนำมาผสมกับข้าวต้ม โม่เหลียนฮวามาช่วยทำจนกลายเป็นข้าวต้มหอมฟุ้ง เพียงแค่ใส่พริกไทย กระเทียม ผักชีโรยก็รสชาติกลมกล่อมขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว เสียดายที่ไม่มีผงปรุงรสหมู แต่โม่เหลียนฮวาก็จำวิธีทำได้อยู่ดี เพราะในแต่ละวันเมื่อก่อนหลังจากทำงานนั้น ยูทูปเป็นแอพเดียวที่ฆ่าเวลาเหงาของปลานิลได้มากที่สุด วิชาการทำอาหาร จับปลา ทั้งหลายก็ได้มาจากที่นั่น ไม่ว่าปลานิลอยากกินอะไร อยากรู้อะไร ปลานิลก็มักจะเปิดดูมัน แล้วก็ได้แต่จมกับจินตนาการว่าอยากจะกินสิ่งนั้น โชคดีที่อาหารทะเลสมัยโบราณไม่มีการใช้สารเคมีในการแช่อาหารทะเล และมีเรือประมงเล็กพวกเขาจะออกจากฝั่งไม่นานก็กลับเข้ามาแล้ว
“ฮูหยิน ทานเสร็จแล้วเราไปวัดกันเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม”
ไห่หลินกับโม่เหลียนฮวาเดินทางเตรียมจะไปวัดไม่ไกล ป้าเหมยที่เห็นทั้งสองจะไปข้างนอกจึงได้เอ่ยถาม เมื่อรู้ว่าจะไปวัดก็จึงได้ขอติดตามไปด้วย เพราะนางก็ไม่ได้ไปวัดนานมากแล้ว อีกอย่างก็อยากจะไปด้านนอกบ้างด้วยความเบื่อหน่าย
“นมัสการเจ้าค่ะ” โม่เหลียนฮวาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าไต้ซือเจ้าอาวาส ด้วยความไม่รู้ก็ยกมือไหว้ตามประสานาง เจ้าอาวาสในชุดไต้ซือพาดแขนสีเทายกยิ้มอย่างเมตตา
“โยมมาไกลยิ่งนัก” ท่านเอ่ยปาก โม่เหลียนฮวารู้ได้ทันทีว่าท่านหมายถึงอะไรก็พลันเลื่อมใสศรัทธา จะมีใครรู้ถึงตัวตน อดีตของนางได้เล่า ถ้าคนผู้นั้นไม่มีญาณ หรือพลังวิเศษที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป
“เจ้าค่ะ มาแบบแปลกเสียด้วย”
“ในเมื่อมาแล้วโยมก็ใช้ชีวิตให้ดี ให้สมกับที่อีกคนต้องชดใช้กรรมอันหนักหนาสาหัสนัก” เจ้าอาวาสกล่าว ในนิมิตของท่านเห็นสตรีผู้เป็นดวงจิตที่มีกลิ่นอายสีดำ แม้จะมีความงาม แต่กลับดูน่ากลัว น่าสงสาร และน่าหดหู่เป็นอย่างยิ่ง บาปกรรมที่กระทำต่อผู้อื่น ทั้งยังฝ่าฝืนกฏสวรรค์ ทำให้บัญชีสองดวงวิญญาณเสียหาย นางต้องรับโทษมากมายทีเดียว
“นางต้องโทษหนักมากเลยหรือเจ้าคะ” โม่เหลียนฮวาถามด้วยความเป็นห่วง เสียงกรีดร้องโหยหวนในนรกพวกนั้นนางจำได้ไม่ลืม ถึงได้นึกกลัวบาปกลัวกรรมนัก
“ถึงจะต้องโทษ แต่นางก็รับรู้ได้ว่าเจ้าเป็นคนมีจิตเมตตา และดูแลบุตรชายของนางได้”
“เจ้าค่ะ ในเมื่อมาแล้วข้าก็จะทำในสิ่งที่นางต้องการให้ดี”
“แล้ววันนี้ตั้งใจจะมาทำอะไรล่ะ”
“อยากจะมาขอชื่อลูกชายเจ้าค่ะ เสี่ยวเป่าเปายังไม่มีชื่อเลย”
“ซือจิ้น แม่ของเขาตั้งชื่อว่าซือจิ้น ที่แปลว่าความสุข และความภักดี” ไต้ซือเอ่ยปากก่อนจะยิ้มออกมา ไม่นานท่านก็ลุกขึ้นก่อนจะหันหลังไปสวดมนต์ โม่เหลียนฮวารู้ว่าตนเองหมดเวลาที่จะได้พูดคุยกับท่านก็กราบลา และจากออกมาพร้อมบุตรชายในอ้อมแขน
“ไต้ซือว่าอย่างไรบ้าง เสี่ยวเป่าเปาได้ชื่อว่าอะไรหืม” ป้าเหมยถามด้วยความอยากรู้ โม่เหลียนฮวายิ้มก่อนจะตอบออกมา
“ซือจิ้นเจ้าค่ะ”
“โอ้… ไพเราะดีจัง อย่างนี้เขาจะใช้แซ่บิดา หรือแซ่เจ้าล่ะ” ป้าเหมยถาม โม่เหลียนฮวากระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เด็กคนนี้ไม่ได้ถูกบิดายอมรับ จะให้ใช้แซ่กงหยางก็คงไม่เหมาะ สู้ใช่แซ่โม่ของนางดีกว่า อย่างน้อยสกุลโม่ก็ไม่ร้างทายาทแล้ว
“ใช้แซ่ข้าดีกว่าเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ของข้าไม่มีบุตรชาย เหลือเพียงข้าเท่านั้น ดีแล้วที่บุตรชายของข้าใช้แซ่โม่" โม่เหลียนฮวากล่าว ไห่หลินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย บุรุษเลวร้ายเช่นนั้นไม่คู่ควรกับเจ้านายของนางสักนิด เมื่อก่อนเพราะเจ้านายรักบุรุษผู้นั้นมาก ไห่หลินก็ไม่อาจตักเตือนได้เลย หากว่าโม่เหลียนฮวาไม่ดึงดันแต่งกับบุรุษไร้ใจ ชีวิตคงไม่มาถึงขนาดนี้ นับว่าเป็นการตัดสินใจผิดพลาดโดยแท้
“ท่านป้า ไห่หลิน เดี๋ยวก่อนกลับพวกเราไปร้านบะหมี่ หาอะไรทานกันเถอะเจ้าค่ะ” โม่เหลียนฮวากล่าว ตอนนั้นที่มาตลาดในเมือง นางไม่ได้มองพวกร้านเหลาอาหารอะไรเลย นางจึงไม่รู้ว่าคนยุคสมัยนี้มีรูปแบบเหลาอาหารกันอย่างไร พวกเขามีหม้อขนาดไหน มีโต๊ะหน้าตาเป็นเช่นไร วันนี้จึงได้ตั้งใจมองหาแต่เหลาอาหารริมทาง หรือเหลาอาหารในตึกด้วยความใคร่รู้
“ร้านบะหมี่หรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ร้านไหนท่านว่าอร่อยบ้างเจ้าคะ”
“มีสิ บะหมี่ลุงหลี่อร่อยมากเชียว” ป้าเหมยกล่าว ทั้งสองเดินตามป้าเหมยไปที่ร้านบะหมี่ที่ป้าเหมยกล่าว โม่เหลียนฮวามองร้านบะหมี่ที่ตั้งอยู่ข้างกำแพงร้านขายข้าวสาร เป็นเพิงเล็กๆ มีหม้อสองใบกับชายวัยกลางคนท่าทางสะอาดสะอ้านสมกับเป็นร้านขายอาหาร
“พี่หลี่ วันนี้ข้าเอาบะหมี่สามถ้วยจ้ะ” ป้าเหมยกล่าวก่อนจะไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ โม่เหลียนฮวาคิดคำนวณในใจ หากจะเปิดเพิงเล็ก ในบริเวณบ้านจะต้องใช้โต๊ะ ตกแต่งร้านอย่างไร เพราะจะให้แต่งหรูหราแบบเหลาอาหารก็คงจะไม่อาจทำได้ คงจะแต่งร้านได้แบบเรียบง่ายดูสะอาดสะอ้านก็เพียงพอแล้ว
“เจ้าพาลูกสะใภ้มาด้วยหรออาเหมย ไม่ยักรู้ว่าเจ้ามีสะใภ้มีหลานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ลุงหลี่ทำบะหมี่ไปเอ่ยปากคุยกับป้าเหมยไป ป้าเหมยหัวเราะออกมา
“โอ๊ยยยไม่ใช่หรอก นี่หลานสาวมาจากต่างเมือง”
“เจ้ามีหลานหน้าตาดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ลุงหลี่เอ่ยเหมือนรู้ทัน หน้าตางามพิลาศล้ำผิวพรรณผุดผาดดั่งลูกผู้ดี จะเอ่ยมาเช่นนี้ก็ยากจะเชื่อ แค่ท่าเดิน ท่านั่ง ท่าทางดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนชนชั้นสามัญ
“ข้าไม่ได้หมายถึงหลานคนนี้ ข้าหมายถึงอีกนาง”
“อ่าวงั้นหรอ ค่อยน่าเชื่ออยู่ แต่ก็ดูหน้าตาดีไม่น้อยเลย” ลุงหลี่เอ่ยอออกมา ไห่หลินถอนหายใจ ถึงนางจะเป็นนางกำนัล สาวรับใช้ แต่ความงามของนางก็ไม่ด้อยเลย มีนายทหารรับใช้หลายคนต้องการส่งแม่สื่อมาทาบทามหลายคนด้วยซ้ำ
“แน่นอนสมัยสาวๆข้างามไม่น้อยเลย” ป้าเหมยออกมาอย่างติดตลก ลุงหลี่หัวเราะก่อนจะนำบะหมี่ชามโตมาวางบนโต๊ะจนครบ โม่เหลียนฮวามองบะหมี่น้ำใสที่มีร่องรอยของน้ำมันลอยบนน้ำเล็กน้อย มีผัก มีสีสันสีแดงของพริกเล็กน้อย น้ำซุปส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย น่าจะเกิดจากการเคี้ยวน้ำซุปจากกระดูกหมูจนหอม โม่เหลียนฮวาไม่รอช้า หยิบตะเกียบช้อนเส้นขึ้นมาทาน เส้นนุ่มหนึบอร่อยเคลือบกลิ่นน้ำซุปหอม มีรสชาติความเผ็ดของพริกเล็กน้อย เสียดายที่ไม่ค่อยมีรสหวานมากนัก
“อร่อยจังเลยเจ้าค่ะ” โม่เหลียนฮวากล่าว ไห่หลินก็พยักหน้าเห็นด้วยกับรสชาติ แต่เดิมโม่เหลียนฮวาคิดว่าหากจะทำอาหารขายก็อยากทำบะหมี่แบบที่นางเคยกิน มันน่าจะแตกต่างจากที่พอสมควร เพราะนางตั้งใจจะทำบะหมี่ต้มยำ และใช้อาหารทะเลเป็นส่วนผสม
“อร่อยก็กินเยอะๆนะ แม่หนู เจ้ามีลูกยังเล็กกินให้อิ่มจะได้เลี้ยงลูกไหว” ลุงหลี่กล่าว โม่เหลียนฮวายิ้ม เพราะตั้งแต่ออกมา บุตรชายของนางก็เอาแต่นอนหลับในอ้อมแขน ดีที่เขายังอายุน้อยเลยตัวไม่หนักมาก ที่นี่เองก็เป็นช่วงยุคโบราณ คนไม่เบียดเสียดกันมาก บรรยากาศดีไม่ร้อนอบอ้าว โม่เหลียนฮวาจึงได้กล้าพาเขาออกมา