ไป๋อิงหลับตากรีดร้องสุดเสียงที่เห็นภาพของหวังจางเหว่ยสิ้นชีวิตลงต่อหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางได้ยินเสียงจอแจของผู้คนจึงลืมตาขึ้น
ทำไมสว่างจัง นี่ข้าตายแล้วหรือ แต่ทำไมมีคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมด ไป๋อิงคิดในใจก่อนเดินดูรอบ ๆ
หอโคมแดง นั่นหวังจางเหว่ยนี่ เขาขึ้นสวรรค์มาพร้อมข้าหรือ ไม่ใช่สิ ภาพนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ไป๋อิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงแอบปีนต้นแปะก๊วยก่อนกระโดดข้ามกำแพงหอโคมแดง
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนาง
คงไม่ใช่หรอก ไป๋อิงหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น
“ลู่เฟยเทียน ทำไมท่านอยู่ตรงนี้” นางถามเขาด้วยความงุนงง
“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี
“ลู่เฟยเทียน วันนี้วันอะไรหรือ” ไป๋อิงถามเขา เมื่อได้คำตอบนางถึงกับตกใจ
ย้อนเวลากลับมางั้นหรือ ได้อย่างไร ในหัวนางมีแต่ความมึนงงเต็มไปหมด หากจะพูดอันใดออกไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นขึ้นคงจะเหมือนกับตอนแรกที่ข้ามาที่นี่สินะ ต้องลองดูอีกสักหน่อย
“ท่านคงจะกำลังสุขสำราญ ข้าขอตัว” นางกล่าวแล้วรีบเดิน
“เดี๋ยวก่อน หอโคมแดงห้ามสตรีเข้ามา ข้าคงปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้” ลู่เฟยเทียนกล่าวพลางคว้าแขนนางไว้
ไม่ต้องพิธีรีตองอันใดแล้ว ตัดบทไปเลยแล้วกัน ไป๋อิงตัดสินใจ
“คุณชายลู่ ท่านคงจะสงสัยใช่หรือไม่ เราหาที่คุยกันเงียบ ๆ ดีไหม”
“เช่นนั้น เจ้าตามข้าเข้าห้องแล้วกัน” ลู่เฟยเทียนตอบ
“ข้างนอกไม่มีที่ให้ท่านคุยกับข้าเงียบ ๆ แล้วหรือ” นางถามให้แน่ใจ
“เงียบสุดต้องเป็นที่ห้องโปรดของข้าอยู่แล้ว รีบตามข้ามาดีกว่า” หลังจากพูดเสร็จเขาก็เดินนำหน้านางไปที่ห้องนั้น ระหว่างทางเจอสตรีคนเดิมหยุดทักทายเขา แล้วก็ไปตามหรงหรงมาหาเขาที่ห้องเช่นเคย
ไป๋อิงเล่าเรื่องทุกอย่างให้พวกเขาฟังอย่างที่เคยเล่ามาและบอกวันที่แน่นอนได้ด้วยจนทำให้ทั้งสองคนแปลกใจ จะว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งยังได้ เมื่อออกมาจากหอโคมแดง ลู่เฟยเทียนจึงถามนาง
“ไป๋อิง ทำไมเจ้าถึงมั่นใจวันที่จะเกิดเหตุเช่นนั้น”
“เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง” นางตอบจริงจัง
“เอาเป็นว่าข้าเชื่อเจ้า เช่นนั้นเรามาวางแผนกันดีกว่า” เขาบอกนาง
“อื้อ” ไป๋อิงตอบแล้วเดินตามเขาไป
ลู่เฟยเทียนพานางมาสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาเคยพานางมาฝึกก่อนจะหยิบนกหวีดออกมา
“ไป๋อิง เก็บไว้ดี ๆ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ข้าจะมาหาให้เร็วที่สุด”
“อื้อ”
“ส่วนนี่ มีดพกของข้า”
ไป๋อิงพยักหน้า เขาสอนการป้องกันตัว สอนเส้นทางที่ใช้หนี เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงคำพูดทุกอย่างที่เขาเคยพูด ยังคงเหมือนเดิม
“ไป๋อิง ครั้งนั้น ข้าไม่อยู่หรือ” จู่ ๆ ลู่เฟยเทียนถามนาง
“เจ้าบอกว่ามีธุระที่นอกเมืองสองสามวัน”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แต่นางไม่ทันสังเกตเห็น เขาเดินไปส่งนางที่หน้าสำนักเช่นเคย
“รุ่งเช้า ข้าจะมารอเจ้าที่นี่”
“อื้อ แล้วไปทานข้าวที่หอโคมแดง” นางตอบก่อนที่เขาจะเอ่ยปาก
“อื้อ” เขาพยักหน้าตอบนาง พลางคิดในใจว่าเรื่องนี้คงเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่แปลกที่นางมักจะรู้ล่วงหน้าเสมอว่าเขาคิดจะทำอันใดหรือพูดสิ่งใดกับนาง
ทุกวันลู่เฟยเทียนจะมารอนางตั้งแต่รุ่งสาง ก่อนจะทบทวนการฝึกให้นาง เมื่อมั่นใจแล้วว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นในวันใด เขาจึงเร่งออกเดินทางไปทำธุระนอกเมืองเร็วขึ้นเพื่อที่จะได้กลับมาช่วยนางได้ทันเวลา
“ไป๋อิง ข้าจะไม่อยู่สองสามวัน แต่จะกลับมาหาเจ้าให้เร็วที่สุด เจ้ารอข้านะ” เขาบอกนางแต่ในใจนั้นรู้สึกกังวลและเป็นห่วง
“ข้าจะปกป้องตัวเองให้ได้ ท่านจะมาเมื่อได้ยินเสียงนกหวีดใช่หรือไม่” นางถามเขาให้แน่ใจ
“อื้ม” เขาตั้งใจว่าจะต้องช่วยนางให้ได้
----------------------------------------------------------------------------
ไม่กี่วันต่อมา
ไป๋อิงนึกได้ว่าครั้งก่อนหวังจางเหว่ยตามหาอะไรบางอย่างโดยไม่ห่วงชีวิตตัวเอง นางจึงไปแอบดูเขาที่จวน
ทรัพย์สมบัติหรือ เท่าที่ดู เหมือนเขาจะขนไปซ่อนเกือบหมดแล้ว คนรักหรือ ก็ไม่มี ไป๋อิงได้แต่คิดเพราะมองไม่เห็นว่าสิ่งใดที่เขาเป็นห่วงมากถึงเพียงนั้น นางแอบสังเกตการณ์จนตะวันกำลังจะลับฟ้า
ทว่าเสียงนกฝูงใหญ่กำลังส่งเสียงร้องบินวนท้องฟ้า ไป๋อิงรู้ได้ทันทีว่าเหตุการณ์นั้นกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว และคงมีความคลาดเคลื่อนบางอย่างทำให้เกิดเหตุล่วงหน้าหนึ่งวัน นางจึงร้องบอกทุกคนแถวนั้นให้รีบไปซ่อนตัวก่อนวิ่งไปที่หอโคมแดงเพื่อแจ้งข่าวหรงหรงและกลับไปหาเมิ่งเจียที่สำนัก กว่าจะแจ้งข่าวทุกคนเรียบร้อยก็กินเวลานานนัก
เมื่อพาทุกคนมายังที่หลบภัยได้แล้ว นางก็เริ่มมองหาหวังจางเหว่ย และเรื่องราวก็เป็นอย่างที่นางคิด ครั้งนี้เขาไม่อยู่ที่หลบภัย นางคิดว่าหากรายละเอียดตรงนั้นยังไม่เปลี่ยนไป เขาจะต้องกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ที่ตลาด
ไป๋อิงรีบวิ่งไปดักเขาที่ตรอกเดิมที่เขาต้องมา เพื่อรั้งเขาไม่ให้วิ่งหนี สักพักนางได้ยินเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่ง
“หวังจางเหว่ยเจ้าหาสิ่งใด” นางรีบถามเขา
“แมวของข้า ท่านแม่ให้มา ข้าหาไม่เจอ” เขาตอบ
“ที่แท้ก็แมวเองหรือ” ไป๋อิงนึกได้ว่านางเห็นหรงหรงอุ้มอยู่ที่หลบภัย
“แมวสีส้ม ผูกกระดิ่งที่คอใช่หรือไม่ หรงหรงดูแลอยู่”
“ใช่ ๆ ของข้า” เขาตอบดีความดีใจ
“เช่นนั้น เจ้ารีบไปที่หลบภัย พวกโจรใกล้เข้ามาแล้ว” นางบอกเขาพลางพาเขาวิ่งหนี แต่ทางด้านขวาที่จะต้องหนี บัดนี้มีโจรมาทางนั้นพอดี
หรือว่าเวลาที่คลาดเคลื่อนทำให้เหตุการณ์เปลี่ยน ไป๋อิงคิดในใจแล้วพาเขาวิ่งไปทางอื่น แต่ตลอดทางที่หนีก็เจอแต่กลุ่มโจรเต็มไปหมด และตอนนี้พวกมันก็หัวเสียมากด้วยที่ไม่เจอชาวเมือง ของมีค่า ไม่มีอันใดเลย ทั้งยังโดนทหารดักจับอยู่ทุกทิศทาง
หลังจากที่ดูดีแล้วว่าทางเดินตรอกตรงข้ามปลอดภัย นางจึงพาเขาหนีไปทางนั้น แต่แล้วก็มีโจรร่างใหญ่กำยำ มีรอยบากที่ตาข้างซ้ายเข้ามาขวางระหว่างนางและหวังจางเหว่ย ทั้งยังทำท่าจะมาจับตัวนาง ไป๋อิงจึงบอกให้หวังจางเหว่ยรีบหนีไป
หากเขารอดไปได้ ข้าคงได้ตื่นจากฝันร้ายเสียที ไป๋อิงกลั้นใจที่จะยอมแลก นางวิ่งหนีไปอีกฝั่งก่อนที่จะนึกได้ว่านางมีนกหวีดของลู่เฟยเทียน ครั้นจะหยิบออกมาเป่า กลับหาไม่เจอ บางทีอาจจะหล่นหายระหว่างที่วิ่งหนีก่อนหน้านี้ ในที่สุดนางก็วิ่งหนีไม่ได้อีกต่อไป เพราะทางข้างหน้ามีโจรอีกคนหนึ่งยืนขวางอยู่ นางจึงได้แต่หยิบมีดพกออกมาแทงไปที่โจรหน้าบากตามที่ลู่เฟยเทียนสอนมา
“นังนี่ กล้าแทงข้าหรือ” เขาตวาดเสียงดุดัน โมโหที่โดนหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ทำให้ร่างกายมีรอยแผล
ห่างไปแค่เพียงหนึ่งลี้ ลู่เฟยเทียนมองเห็นไป๋อิงและกำลังมาช่วยนาง แต่ทว่าโจรหน้าบากกลับฟาดดาบเล่มใหญ่ใส่ไป๋อิงต่อหน้าต่อตาเขา ร่างของนางค่อย ๆ ล้มลงก่อนทุกอย่างจะดับมืด
---------------------------------------------------------------------
ลู่เฟยเทียนได้สติมองเห็นรอบตัวค่อย ๆ สว่างขึ้น เขาเพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ที่หอโคมแดง เห็นใครบางคนกำลังชะเง้อมองอยู่นอกกำแพงจึงรีบวิ่งไป
เมื่อมาถึงใต้ต้นแปะก๊วย ก็เห็นไป๋อิงกำลังปีนขึ้นมา แต่เมื่อนางเห็นเขา นางจึงตกใจลื่นตกต้นไม้ โชคดีที่ลู่เฟยเทียนรับได้ทันท่วงที
“ไป๋อิง ข้าขอโทษ เจ้าเจ็บมากหรือไม่” เขากอดนางไม่ยอมปล่อย
“เอ่อ ลู่เฟยเทียน ข้าไม่เป็นอันใด ขอบคุณที่ท่านช่วยรับข้าเมื่อครู่” ไป๋อิงบอกเขาพลางขยับตัวหนี นางไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้น นางแค่ลื่นตกต้นไม้
โดนฟันเมื่อคืนยังจะดูเจ็บกว่า หรือไม่เจ็บนะ ทำไมจู่ ๆ ถึงจำไม่ได้ แล้วนี่ข้าวนกลับมาที่เดิมอีกแล้วหรือ ไป๋อิงได้แต่คิดในใจ แต่ไม่ทันได้สังเกตว่าลู่เฟยเทียนรู้ได้เช่นไรว่านางแอบเข้ามาที่หอโคมแดง
“คุณชายลู่ ข้ามีธุระ ข้าขอตัว” นางเดินหนีไปอีกทาง
“ไป๋อิง เจ้ารอก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” เขาคว้าข้อมือนางอย่างอ่อนโยน แล้วพานางเดินไปที่ห้อง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากนี้ ไป๋อิงยังคงค่อย ๆ อธิบายลู่เฟยเทียนและหรงหรงเช่นเดิม นางไม่บอกวันเวลาที่แน่นอนแต่ให้ยึดลางบอกเหตุเป็นหลัก เผื่อไว้ว่าจะเกิดเรื่องล่วงหน้าหรือช้ากว่าก็จะไม่ต้องกังวลมากนัก ครั้งที่ผ่านมานางใช้เวลานานกว่าจะบอกทุกคนได้ว่าเวลาร่นเข้ามาเร็วขึ้น
หลังจากพูดคุยหารือเรียบร้อยแล้ว ลู่เฟยเทียนจึงพานางไปที่ตลาดก่อนซื้อนกหวีดและสร้อยคออันหนึ่ง เขาผูกนกหวีดไว้กับสร้อยคอก่อนสวมให้ไป๋อิง
“นกหวีดนี้ ผูกไว้กับสร้อยแล้ว ไม่หล่นหายแน่นอน” เขาบอกนาง
รู้ได้เช่นไรนะว่าข้าทำหาย ไป๋อิงเริ่มฉุกคิดได้ว่าเขารู้เรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
ลู่เฟยเทียนพานางซื้อของเสร็จแล้วก็เดินไปส่งที่สำนัก ก่อนบอกว่ารุ่งเช้าจะมารอนาง เมื่อเห็นว่าไป๋อิงไม่เดินเข้าสำนักสักที เขาจึงถามนาง
“เจ้ารออันใดหรือ ทำไมยังไม่เข้าเรือน” เขาถามอย่างสงสัย
“ท่าน ไม่ได้จะให้มีดพกกับข้าหรือ” นางถามเขาเพราะปกติเขาจะต้องให้นางเก็บไว้
“มีดพกหรือ ไม่มีหรอก”
“ไม่มีงั้นหรือ แล้วนี่คืออันใด” ไป๋อิงชี้ไปที่มีดพกที่เขาซ่อนไว้ข้างในเสื้อ แต่ลู่เฟยเทียนกลับทำเฉไฉบอกว่าไม่มี
“เจ้าเข้าไปได้แล้ว หรือจะให้ข้าเข้าไปด้วย” เขาบอกนางพลางเลิกคิ้วแล้วยิ้มมุมปาก
“ไม่ ไม่ ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ เจอกันรุ่งสาง” นางรีบบอกเขาก่อนเปิดประตูเข้าสำนัก
ลู่เฟยเทียนยืนมองนางจนลับตาแล้วเดินจากไป
-------------------------------------------------------------------------
เช้าวันต่อมา
ลู่เฟยเทียนมายืนรอไป๋อิงข้างหน้าสำนัก วันนี้เขาพานางไปเดินเล่นรอบนอก ทางเดินขึ้นเขามีต้นแปะก๊วยเรียงรายกำลังพลิ้วไหวไปตามสายลมอย่างสวยงาม ทั้งสองทอดสายตามองกลับมายังบ้านเรือนผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง ต่างคนต่างพากันถอนหายใจและจมอยู่ในห้วงความคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“คุณชายลู่ ท่านเชื่อข้าหรือไม่” นางถามเขาเพราะอยากรู้
“ข้าเชื่อเจ้า”
“ท่านไม่สงสัยหรือ”
“ข้าเชื่อเจ้า” เขาพูดย้ำ
“ทำไมเล่า” ไป๋อิงไม่คิดว่าเขาจะเชื่อนางมากขนาดนี้ เพราะอย่างไรนางก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา ถึงแม้นางจะรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากเพราะจำเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ แต่เขาไม่น่าจะจำได้ อีกทั้งความฝันนี้ยังเป็นเรื่องของนาง
“ราวกับคุ้นเคยยิ่งนัก” เขาตอบสั้น ๆ พลางสบตาไป๋อิง
จู่ ๆ ใจของไป๋อิงก็เต้นรัวขึ้นจนนางต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ท่านจะฝึกการป้องกันตัวให้ข้าหรือ”
“ข้าว่าเจ้าควรฝึกวิ่งให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย” เขาไม่รอช้าพูดพร่ำทำเพลงเริ่มสั่งให้นางวิ่งขึ้นเขาลงเขาอยู่หลายครั้ง
“คุณชายลู่ วันนี้พอแค่นี้ก่อนได้หรือไม่ ข้าไม่ไหวแล้ว” ไม่ทันได้พูดจบ ไป๋อิงก็เข่าอ่อนทิ้งตัวลงกับพื้น
“เช่นนั้นย่อมได้ พรุ่งนี้ข้าจะสอนป้องกันตัว แต่เจ้าก็ต้องฝึกวิ่งเช่นเดิม วันนี้กลับเข้าเมืองกันก่อน”
“อื้อ” ไป๋อิงตอบแต่ลุกไม่ขึ้น
“อย่าบอกนะว่าเจ้า...”
“หมดแรง ลุกไม่ไหวแล้ว ขาข้าไม่รู้สึกแล้ว” นางตอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เพราะไม่เคยต้องฝึกวิ่งทรหดเช่นนี้มาก่อน
ลู่เฟยเทียนนั่งลงข้างหน้านางก่อนบอกให้นางขี่หลัง ไป๋อิงไม่เกรงใจรีบทำตามที่เขาบอก นางอยากให้เขาได้เหนื่อยบ้างเพราะเขาเอาแต่สั่ง แล้วก็นั่งดูนางวิ่งไปวิ่งมา
ได้เวลาเอาคืนแล้ว ไป๋อิงคิดในใจ แต่ลู่เฟยเทียนกลับยินดี ไม่บ่น ไม่ว่าอะไรแม้แต่น้อย เขาไปส่งนางทั้งอย่างนี้จนถึงหน้าประตูสำนัก
“ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้า” นางกล่าวกับเขา
“ข้ายินดี” เขาตอบพลางยิ้มให้นาง
----------------------------------------------------------------------
ก่อนเกิดเหตุการณ์สามวัน
ไป๋อิงและลู่เฟยเทียนยังคงฝึกฝนและใช้ชีวิตตามปกติ แต่วันนี้เขาพานางมาเลี้ยงเนื้อตุ๋นร้านเดิมและเดินเล่นในตลาด เพื่อให้กำลังใจที่นางฝึกหนักในเวลาไม่กี่วัน
“คุณชายลู่ ข้าซื้อถังหูลู่ให้ท่าน” ไป๋อิงยื่นให้เขาก่อนยิ้มให้
เขายิ้มแล้วรับของมา นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วเดินไปส่งนางที่หน้าสำนัก แต่วันนี้เขากลับเข้าไปพบเมิ่งเจียด้วย
“อ้าว คุณชายลู่ สบายดีหรือไม่” เมิ่งเจียถามเขาสีหน้ายิ้มแย้ม
เขาพยักหน้าแล้วยิ้มตอบนาง
“ท่านเจอแล้วใช่หรือไม่ นางผู้นั้น” นางถามเขาราวกับรู้ว่าเขามาหานางทำไม
“ข้าพบนางแล้ว รอไว้จบเรื่องนี้ข้าจะมาหาท่านอีกครั้ง” เขาบอกเมิ่งเจียก่อนจะขอตัวกลับ
“คุณชายลู่ ท่านไม่ต้องออกไปธุระนอกเมืองหรือ” ไป๋อิงถามเขาตอนเดินมาส่งเขาหน้าสำนัก
“ไม่มีเหตุที่ต้องไป” เขาตอบสั้น ๆ
“อื้อ” นางได้แต่สับสนว่าทำเรื่องราวครั้งนี้ถึงได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
หลังจากที่ลู่เฟยเทียนกลับไปแล้ว ไป๋อิงที่ยังคงสงสัยเรื่องที่เมิ่งเจียถามเขาจึงเอ่ยปากถาม
“ท่านป้า นางคือใครหรือเจ้าคะ”
“ไป๋อิงเอ๋ย ไป๋อิง เจ้าเด็กคนนี้ ปกติก็ออกจะฉลาดรู้ทัน” เมิ่งเจียส่ายหัวแล้วรีบเดินเข้าเรือนนอนไม่ยอมบอกนาง
มีแต่คนน่าสงสัย ทั้งท่านป้า ทั้งลู่เฟยเทียน ไป๋อิงได้แต่คิดในใจเพราะไม่มีใครยอมบอกนางสักคน
-------------------------------------------------------------------------
วันเกิดเหตุ
ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดได้ตรงวันเวลาเดิม เมื่อเห็นลางบอกเหตุ นางก็รีบทำตามที่ได้วางแผนไว้และพาทุกคนไปซ่อนที่หลบภัย ไป๋อิงรีบมองหาหรงหรงก็พบว่าแมวของหวังจางเหว่ยอยู่กับนาง จึงออกจากที่หลบภัยไปตามหาเขา โดยยึดเส้นทางที่ใช้เมื่อตอนครั้งแรก
เมื่อไป๋อิงเจอเขากำลังหาแมวอยู่ นางใช้วิธีตะโกนเรียกชื่อเขาเพื่อให้เขาวิ่งหนี ก่อนไปรอเขาที่ห้าแยกศาลากลางเมือง คิดในใจว่าหากทำตามกำหนดการณ์เดิม จะทำให้หลบจากโจรหน้าบากผู้นั้นได้
“หวังจางเหว่ย ข้ารู้ว่าเจ้าหาแมวส้มผูกกระดิ่ง ตอนนี้อยู่กับหรงหรง ในที่หลบภัย” ไป๋อิงรีบพูดสรุปเพื่อไม่ให้เสียเวลาหลบหนี
“ข้าไม่เชื่อ แมวข้าจะไปอยู่กับนางได้อย่างไร เจ้าอย่าโกหกข้าสิ” เขาตอบ
“อ้าว! แย่ละ ครั้งที่แล้วยังเชื่อข้าอยู่เลย” ไป๋อิงได้แต่อึ้ง
หวังจางเหว่ยไม่สนใจนางพยายามตามหาแมวต่อไป
“ตามใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าไปทางนี้เจ้าไม่รอดแน่ พวกโจรกำลังไล่ตามมาทางนั้น” นางบอกเขาด้วยความเหนื่อยใจหวังว่าเขาจะเชื่อ แต่เขากลับไม่ฟังนางแม้แต่น้อยแล้วรีบวิ่งหายไปก่อนที่นางจะตามเขาทัน
“เฮ้อ” ไปอิ๋งได้แต่ถอนหายใจยาว ๆ นางเห็นโจรหน้าบากกำลังวิ่งมาจึงวิ่งหนีไปอีกทางแต่ไม่ทันไรนางก็ได้ยินเสียงดังจากตรอกข้าง ๆ
“อย่าทำอะไรข้าเลย ข้ายอมแล้ว”
เสียงของหวังจางเหว่ยนี่ นางกำลังจะวิ่งไปช่วยเขาอีกแค่เพียงไม่กี่ก้าวแต่ก็ต้องหยุดชะงักทันทีที่เห็นดาบเล่มใหญ่ฟันฉับลงมา เสียงร้องโหยหวนของเขา ภาพที่เขาล้มทั้งยืนและเลือดที่สาดกระเซ็นทั่วกำแพงทำให้นางกลัวจนหมดแรงยืน ขาพับนั่งลงกับพื้นก่อนที่ทุกอย่างรอบตัวจะดำมืดราวกับครั้งก่อน