ตอนที่ 1 ไม่อยากให้กลับมา
คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลขจรไพศาล ตระกูลมหาเศรษฐีที่รวยติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศ ธุรกิจนับร้อยทำกำไรในแต่ละปีมากมายเหลือเกิน
แต่ทว่า เงินไม่อาจซื้อทุกอย่างได้ ช่วยบรรดาลความสุขและความสงบให้บุคคลที่อาศัยอยู่ในชายคาแห่งนี้ไม่ได้
แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเข้าม่านตา ร่างบางที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ กระสับกระส่ายราวกับว่ากำลังวิ่งหนีบางอย่าง
"อย่า...อย่าเข้ามานะ"
'ฉันเกลียดเธอยัยเด็กขอทาน'
"เฮือก!! " ฉันตกใจตื่นด้วยเสียงของนาฬิกาปลุก แต่ก่อนที่ฉันจะลืมตานั้น เหมือนกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง ที่แท้ฉันฝันไปนี่เอง
แต่เรื่องราวเดิมๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นนั้นก็นานมากแล้วนะ ทำไมมันยังวนเวียนอยู่อีกในเมื่อเจ้าตัวเขาก็ไม่อยู่ นี่ก็ผ่านมาตั้งสิบห้าปีความรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดเลยด้วยซ้ำ พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำฉันหลุดจากห้วงความคิด
"คุณหนูคะ ตื่นแล้วยังท่านเจ้าสัวให้มาปลุกค่ะ" นี่คือกิจวัตรประจำวันที่เสียงหญิงกลางคนมาปลุกฉัน แต่ทว่าวันนี้กลับมีนามของเจ้าของบ้านสั่งให้มา
"เรย์ตื่นแล้ว สักพักจะลงไปค่ะ" ฉันตะโกนตอบกลับไป รีบลงจากเตียงหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน
ฉันชื่อเรยา ขจรไพศาล อายุ 18 ปี ยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีที่ 6 ฉันเป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านเจ้าสัว แปลกใจละสิว่าทำไมฉันถึงไม่เรียกพ่อ ก็ฉันมันลูกนอกสายเลือดยังไงล่ะ แค่ลูกบุญธรรมมันไม่ใช่ประเด็นหลัก
จริงๆ แล้วเหตุผลที่ไม่อาจเรียกพ่อได้นั้น ก็เพราะคนในบ้านหลังนี้มีคนที่ไม่ชอบขี้หน้าฉันไงล่ะ เขาเป็นลูกแท้ๆ สายเลือดของเจ้าสัวนั่นแหละ
ฉันยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกดูความเรียบร้อย ก่อนจะหยิบกระเป๋าใบโปรดเดินทอดน่องลงมาที่ห้องอาหารข้างล่าง
"พ่ออยากบอกข่าวดีจะแย่" เมื่อฉันเดินเข้ามาถึงเจ้าสัวเอ่ยบอกด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และข่าวดีในที่นี้ทำฉันงงและอึนไม่น้อย
ท่านผู้นี้ชื่อเจ้าสัววิศวะ ขจรไพศาล ท่านคือคนที่มอบชีวตใหม่ให้แก่ฉัน ฉันถึงได้มีชีวิตที่สุขสบายแต่ก็ไร้ซึ่งความสุขเช่นกัน
เจ้าสัวท่านมีบุตรกับภรรยาเก่าด้วยกันสองคน แต่คุณผู้หญิงท่านไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว จากไปตั้งแต่ลูกๆ ยังเล็ก
"นั่งสิเรย์" ส่วนคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉัน ชื่อมิลินดา เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักจิตใจดี และที่สำคัญเธอรักและเอ็นดูฉันเหมือนน้องสาวแท้ๆ คนนึง
ส่วนอีกคนเป็นบุตรคนโต เขาชื่อเหมราช รายนี้อย่าได้พูดถึงเลย เขาชังขี้หน้าฉัน หาว่าฉันเป็นเด็กเหลือขอ ไม่เจียมตัวเองว่ามาจากไหน
ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกไปเรียนต่อต่างประเทศ ฉันกับเขาเราไม่เจอหน้าค่าตากันเกือบจะ 15 ปีได้มั้ง ก็คนมันไม่ลงรอยกันไม่จำเป็นต้องติดต่อความเคลื่อนไหวอีกฝ่ายก็ได้นิ
เขาเกลียดฉันแล้วฉันก็....ช่างมัน!!
"ข่าวดีอะไรคะ เจ้าสัว" ฉันถามเสียงเรียบ
"นั่นสิคะคุณพ่อ ลินอยากรู้เหมือนกันว่าข่าวดีของคุณพ่อคือเรื่องอะไร" แล้วพี่มิลินดาลูกสาวคนกลางของบ้านเอ่ยถามชายตรงหน้าด้วยถอยคำที่สุภาพ
"เดือนหน้าเจ้าเหมกลับมาแล้วนะ" ฉันชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าคุณเหมราชจะกลับมา นี่เรื่องจริงหรือว่าหูฉันเฝื่อนไป เขาจะรีบกลับมาทำไม แม้จะนานเกินกว่า 15 ปี แต่สำหรับฉันก็ยังคงรู้สึกว่าเร็ว
ฉันไม่ได้ดีใจเลยสักนิดที่บุตรชายหรือพี่ชายต่างสายเลือดจะกลับมา ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้ามาถึงจะเป็นยังไง
ฉันคงไม่มีความสุขเหมือนอย่างเคยแน่ ที่สำคัญไปกว่านั้น คำพูดทุกๆ ถ้อยคำที่มันเคยทำร้ายฉันมันจะกลับมาด้วยหรือเปล่า
'เธอมันก็แค่เด็กเหลือขอ ที่พ่อฉันเก็บมาเลิ้ยง'
คำพูดจาดูถูกฉายวับเข้ามาให้หัว ไม่ว่ามันจะผ่านไปนานแค่ไหน คำพูดร้ายๆ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเสมอแม้กระทั่งตอนนี้
"พี่เหม กลับมาสักทีลินคิดถึงจะแย่แล้วเนอะน้องเรย์" ฉันไม่ได้ฟังที่พี่มิลินพูดหรอกนะเพราะมัวแต่คิดมาก ว่าจะเป็นยังไงหากเขากลับมาจริงๆ ตัวฉันจะมีความสุขไหม
"วันนี้หนูมีสอบใช่ไหมลูก"
"........" แม้กระทั่งเสียงของเจ้าสัวฉันก็ยังเฉย
"เรย์คิดอะไรอยู่ได้ยินที่คุณพ่อถามไหม" ฉันสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อพี่มิลินเรียกชื่อ ก่อนจะสลัดความคิดเหล่านั้นออกไปจากสมอง ท่านถามฉันว่าอะไรล่ะ หรือถามว่าดีใจใช่ไหมที่ลูกชายกลับมา
"ได้ยินค่ะ ดีใจมากเลย" ฉันฝืนยิ้มและพูดไปอย่างยากลำบาก เฮ้อ! ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฉันไม่ได้ดีใจเลยสักนิดเดียว แค่คิดว่ากลับมา ฉันคงจะบ้าตายแน่ๆ
"รีบทานข้าวเถอะลูก หนูจะสายเอา" ฉันยิ้มบางแล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารเช้าให้หมด จากนั้นจึงเตรียมตัวไปโรงเรียนประเดี๋ยวจะสายเอา
@โรงเรียนมัธยม
โรงเรียนแห่งนี้ที่มีแต่ลูกคนรวยเรียน ส่วนเรื่องค่าเทอมอย่าให้พูดเลย มันสามารถซื้อบ้าน ได้หลายหลัง ซื้อรถ ได้เป็นหลายหลายคัน เห็นแบบนี้ฉันไม่มีความสุขหรอกนะ มีแต่พวกอิจฉาอวดความร่ำรวยกัน ตอนนี้ฉันมานั่งรอเพื่อนสนิทที่ม้าหินอ่อนตัวประจำ
"โทษทีพอดีว่าฉันตื่นสาย" เสียงหวานปนหอบดังขึ้น เมื่อเพื่อนสนิทฉันมาถึงด้วยใบหน้าที่ชื้นเหงื่อ นี่มันวิ่งหนีโจรมาหรือไงถึงได้มีสภาพอย่างนี้
"เหนื่อยละสิ"
"อืม...ก็เห็นอยู่ว่าวิ่งมา"
"จะวิ่งมาทำไม เดินเอาก็ได้ยังไม่สายสักหน่อย" ฉันเอ็ดเพื่อนสนิทเล็กน้อยเมื่อมันนั่งตรงข้าม
"ก็ฉันกลัวจะรอนานยังไงล่ะ เลยวิ่งหน้าตั้งตรงดิ่งมาหานี่ไง" มันพูดขึ้นพร้อมอ้างเหตุผลให้ฉันได้ฟัง
"แกนี่มันจริงๆ เลยจะเข้ามหาลัยกันอยู่แล้วทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้"
"จ้าาาา" มันลากเสียงประชด
คนที่ฉันสนทนาด้วย ชื่ออาริสา เป็นเพื่อนนักเรียนหญิงที่ฉันสนิทที่สุด ด้วยความที่ฉันเป็นคนหน้านิ่งๆ เหมือนคนหน้าดุ บ้างก็หาว่าฉันสวยหยิ่ง เป็นถึงขั้นลูกเจ้าสัวผู้เป็นมหาเศรษฐีใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ ก็ต้องวางตัวใหญ่กว่าคนอื่นเสมอ
โดยไม่มีใครคิดจะถามฉันบ้างเลยว่าจริงๆ แล้วฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นๆ กล่าวหา ก็มีแต่อาริสาคนเดียวที่กล้าและรู้ว่า จริงๆ แล้วฉันอยากมีเพื่อนเยอะเหมือนกลุ่มอื่นๆ
แต่ก็ช่างเหอะ การมีเพื่อนเยอะไม่ได้แปลว่าทุกคนจะจริงใจ สำหรับฉันกับริสา ไว้ใจกันและกันได้ทุกเรื่องเพียงเท่านี้ก็พอใจแล้ว สีสันของชีวิตก็อาริสานี่แหละ
"เรย์ ดูคะแนนสอบวิชาสุดท้ายแล้วยังของฉันออกมาแล้วนะร้อยเต็ม ฉันเก่งไหมล่ะ"
"ฉันไปดูมาแล้วร้อยเต็มเหมือนกันกับแกนั่นแหละ"
"เก่งทั้งคู่ ได้เวลาสอบแล้ว สู้ๆ " มันชูสองนิ้วเป็นกำลังใจ ก่อนจะเดินตามกันไปที่ห้องสอบที่ทางโรงเรียนเตรียมไว้
เวลาเลิกเรียน...
"เลิกเรียนแล้ว จะไปไหนต่อ" ฉันหันไปถามริสาเมื่อพากันเดินมาที่หน้าโรงเรียน
"วันนี้มีนัดทานข้าวพร้อมหน้ากันที่บ้านฉัน ส่วนเรย์ต้องไปด้วยนะ" ฉันขมวดคิ้วเรียวชนกันอย่างสงสัย
"ไปไหน มันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยล่ะ ครอบครัวนัดทานข้าวพร้อมหน้ากันนิ" ฉันก็ย้อนมันคืน
"เเก ต้องไปกับฉันด้วย เพราะมีคนสำคัญเค้าอยากให้ไปด้วย" มันพูดพลางอมยิ้มออกมาชัดเจนขนาดนี้ต้องมีอะไรสิ คนสำคัญงั้นเหรอ อ๋อฉันรู้แล้วว่าใครอยากให้ฉันไป ก็พี่ชายสุดที่รักของเพื่อนฉันไง 'พี่ศรันย์'
"พี่ชายแกใช่ไหม ที่เค้าอยากให้ฉันไปด้วย ยัยตัวดี"
"หวา นี่แกเดาถูกด้วยเหรอเนี่ย งั้นก็ไม่เซอร์ไพรส์แล้วซินะ"
ครืด...ครืด...
เสียงสั่นของมือถือ คิ้วบางต้องขมวดชนกันเมื่อเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นที่บ้าน
"มีอะไรหรือเปล่านะ"
(คุณหนูแม่นมเองค่ะ)
("มีอะไรสำคัญหรือเปล่าคะทำไมเสียงผิดปกติ")
(เจ้าสัวค่ะ คุณหนู ท่านล้มหัวฟาดพื้นตอนนี้รถพยาบาลมารับไปแล้วค่ะคุณมิลินตามไปแล้วค่ะ)
ฉันได้ยินปลายสายบอกว่าคนที่เลิ้ยงดูฉันมาตอนนี้ล้มหัวฟาดพื้น หัวใจกระตุกวูบร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
"เจ้าสัว" ใจฉันสั่นอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาร้อนผ่าวปลายสายพูดอะไรต่อก็ไม่ได้ยิน เพราะตัวแข็งทื่อ
"เรย์ เป็นอะไรแล้วใครโทรมา แล้วนี่ร้องทำไมตอบฉันมา" ริสาเห็นฉันร้องให้พร้อมรัวคำถามมากมาย
"ฮึก เจ้าสัว เข้าโรงพยาบาลล้มห้วฟาดพื้น ฉันกลัวริสา ฉันกลัวท่านจะ..." ฉันไม่กล้าพูดคำนั้นออกมา ปกติท่านก็มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ตอนเกิดเรื่องทำไมไม่มีใครอยู่กับท่านเลยหรือไงกัน
"แล้วจะไปหาคุณลุงยังไง ฉันจะให้คนขับรถที่บ้านไปส่ง" ริสาอาสาและหวังดีที่จะช่วย
"ขอบใจ ริสา แต่แกมีนัดกับที่บ้านไปเถอะ เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่ไปเอง อย่าลำบากเลย" ริสาไม่ได้พูดหรือขัดใจฉันเพราะมันรู้ว่าคนอย่างฉันถ้าไม่ต้องก็คือจบแค่นั้น
"ส่งข่าวมาบอกฉันด้วยนะ ฉันกลับบ้านก่อน ทำใจแข็งเข้าไว้"
"ขอบใจมากๆ ริสาเพื่อนรัก"
เมื่อลงจากรถแท็กซี่ที่โบกจากหน้าโรงเรียนมาถึงโรงพยาบาล ฉันก็สาวเท้าเร่งรีบเข้าไปในตัวตึก กลิ่นยาคละคลุ้งเต็มไปหมด ฉันไม่ชอบเลยแฮะ! กลิ่นแบบนี้ เกลียดจริงๆ โรงพยาบาลคือสถานที่น่ากลัวสำหรับฉัน
"ห้องพักฟื้นเจ้าสัว ไม่ทราบว่าอยู่ห้องไหนคะ" พยาบาลทั้งสองมองหน้ากันสลับไปมาเหมือนจะถามอะไรบางอย่างก่อนจะเอ่ยขึ้น
"ขอโทษนะคะไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ"
"ลูกสาวค่ะ ฉันเป็นลูกสาวของท่านเจ้าสัวค่ะ" ทว่าเสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยเรียกชื่อฉัน
"เรยา มาทางนี้คุณพ่อทานพักอยู่ห้องนี้" เสียงพี่มิลิน เอ่ยเรียกชื่อฉันให้ไปทางด้านนั้น ฉันรีบสาวเท้าเข้าไปหาอย่างไว
"เจ้าสัวล่ะคะพี่ลิน"
"ปลอดภัยแล้ว แล้วเรย์มากับใคร นั่งรถอะไรมา พี่ให้คนไปรับแต่กลับไม่เจอเรา พี่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้" มาถึงพี่สาวก็รัวคำถามใส่ฉันมากมาย
"ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง"
"ไม่เป็นไรจ้ะ งั้นเข้าไปเยี่ยมคุณพ่อกันข้างในดีกว่า"
พี่มิลินเป็นพี่สาวที่รักฉันมากถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ ก็เถอะ แต่ด้วยความที่เติบโตด้วยกันมาความผูกพันมักมากกว่าสายเลือดเดียวกันซะอีก
ต่างจากคนบางคนลิบลับเลย รายนั้นเขาเกลียดฉันอย่างกับไส้เดือนกิ่งกือ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงจงเกลียดจงชังฉันนักหนา แต่ไม่ได้คำตอบจากคนอย่างเขาสักที
"เรยา มานั่งตรงนี้"
"เจ้าสัวอาการเป็นยังไงบ้างคะ" ฉันเอ่ยปากถามพี่สาวต่างสายเลือดถึงอาการของคนที่นอนบนเตียง ท่านกำลังหลับตาพริ้ม บนหน้าผากมีผ้าพันแผลอยู่ สงสัยจะเป็นแผลจากการล้มหัวฟาดพื้น
"คุณหมอท่านบอกว่าคุณพ่อไม่เป็นอะไรมากแค่หัวแตกเล็กน้อย แต่ก็ต้องตรวจอย่างละเอียดอีกที"
"เบาใจไปหน่อย แล้วตอนนั้นทำไมไม่มีใครอยู่กับเจ้าสัวเลยเหรอคะ"
"นมแก้วบอกว่าคุณพ่อจะลงมาเอาบางอย่างข้างล่างแต่สั่งห้ามไม่ให้คนอื่นตามมาดูแล ท่านอยากจะมาเอาเองโดยไม่ต้องลำบากใคร" ท่านก็เป็นเสียแบบนี้ ชอบดื้อเวลาที่พวกฉันไม่อยู่
ครืด...ครืด..
การสนทนาหยุดชะงักเมื่อมีสายเรียกเข้า เสียงสั่นของมือถือพี่มิลิน ทำให้ฉันละสายตาไปมองคนบนเตียง ส่วนพี่มิลินก็คุยกับปลายสาย
("อัลโหล มิลินดาพูดค่ะ จริงเหรอคะแต่ว่าไม่ใช่ที่บ้านโรงพยาบาลค่ะ อยู่กับน้อง ทำไมเรียกแบบนั้นยังไงก็น้องสาวเรา เจอกันค่ะ")
ปลายสายคือใคร แล้วพูดอะไรทำไมมีชื่อฉันด้วย ขณะพูดพี่มิลินก็มองมาทางฉัน แววตาฉายความสงสาร
"เรย์ วันนี้มีการบ้านต้องทำไหม"
"วันนี้เหรอคะ มีค่ะพี่ลิน แต่หนูรอเจ้าสัวฟื้นขึ้นมาก่อน"
"ไม่เป็นไรวันนี้มีพยาบาลพิเศษอยู่เฝ้าแทนแล้ว"
"ถ้าเป็นแบบนั้น น้องขอตัวกลับบ้านเลยได้ไหม"
"ได้สิจ๊ะ จะให้คนรถไปส่งที่บ้านละกันโอเคนะ"
"ให้หนูกลับเองก็ได้ค่ะ ไม่ต้องให้วนกลับไปมามันจะเสียเวลา แล้วอีกอย่างเปลืองน้ำมันด้วยแฮะๆ " ประโยคหลังฉันแกล้งพูดหยอกพี่สาวต่างหากล่ะ
"อืม งั้นก็ตามใจน้องละกัน ถึงบ้านแล้วโทรบอกพี่ด้วยล่ะ"
"ไปนะคะ" ฉันโบกมือลาพี่สาวคนสวย แต่เอ๊ะใครกันนะที่โทรมาหาพี่มิลิน หวังว่าคงไม่ใช่เขาหรอก เพราะเจ้าสัวบอกว่าตั้งเดือนหน้านี่นา ช่างมันเถอะ ตอนนี้กลับบ้านไปนอนเอาแรงเพื่อสอบพรุ่งนี้ดีกว่า เฮ้อ! นี่แหละชีวิตมัธยมปลายของฉัน อีกเทอมเดียวก็จบแล้ว
ฉันนั่งแท็กซี่จากโรงพยาบาลตรงดิ่งมายังที่พักอาศัยมันเป็นบ้านที่คุ้มหัวฉัน บ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเมื่อไม่มีเขา
"คุณเรย์มาแล้ว" นมแก้วปรี่เข้ามาหาเมื่อเธอเห็นฉันเข้ามาในบ้าน สีหน้าของแม่นมกังวลอย่างชัดเจน นี่คงจะเป็นห่วงอาการของเจ้านายสินะ
"เจ้าสัวเป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านปลอดภัยใช่ไหมคุณเรย์" นมแก้วรัวคำถามใส่และเขย่าแขนฉันเกือบหลุด
"ท่านปลอดภัยแล้วค่ะ" ฉันเอ่ยตอบกลับไป
"โล่งอกไปที ว่าแต่คุณเรย์มาคนเดียวเหรอคะ"
"ใช่ค่ะ พี่ลินอยู่เฝ้าเจ้าสัว แต่อีกสักพักใหญ่ๆ ก็คงจะกลับมา" นมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
"วันนี้อย่าลืมลงมาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาพี่น้องด้วยนะคะ" นมบอกน้ำเสียงดีใจ ถูกรางวัลที่หนึ่งหรือไงถึงได้ยิ้มแก้มฉีก
"เอ๋...ใครเหรอคะ? " ฉันถามออกไปด้วยความอยากรู้
"ไม่บอกดีกว่า" นมพูดแค่นั้นหมุนตัวกลับเข้าครัว คำตอบก็ไม่ได้แล้วใครกัน ที่นมพูดว่าพี่น้องคืออะไรก็มีแค่ฉันกับพี่สาวคนกลาง หรือว่า?
"ไม่ใช่หรอกน่า กำหนดกลับตั้งเดือนหน้า คิดมากไปเอง นมอาจพูดเรื่อยเปื่อย" ฉันเดินพึมพำกับตัวเองอยู่แบบนั้น แต่ช่างมันเถอะตอนนี้มีสิ่งสำคัญกว่าการมานั่งคิดเรื่องปวดหัวนั่นก็คือการทำการบ้าน