ตระกูลมู่ (1)

1102 Words
“หากเป็นความต้องการของท่านพ่อข้าคงมิอาจขัด คืนนี้ข้าจักเริ่มออกเดินทาง หากเจอกันในภายภาคหน้าลูกอาจไปล่วงเกินท่านโปรดอภัยให้ข้าเพราะข้าทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผล”                มู่ซู่เหลียนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจเพราะมู่เหรินทำสิ่งใดมิเคยไม่มีเหตุผลมาก่อน แม้จะยังเยาว์วัยทว่ากลับไม่เหมือนดังพี่น้องคนอื่น ๆ แววตาล้ำลึกมิอาจหยั่งรู้หรือคาดเดาได้จนบางครั้งอดคิดมิได้ว่ามู่เหรินเป็นเทพเซียนจากที่ใดมา                “ข้ากราบลาท่านพ่อ”                มู่เหรินก้มหัวคำนับอย่างนอบน้อมและถอยหลังจากมา กิริยาดูนุ่มนวลแต่ไม่ได้ชักช้าทว่ากลับดูสง่างามอ่อนโยน                มู่เหรินออกจากห้องบิดาเดินมาหยุดมองพี่ชายทั้งสามคนซึ่งฝึกวิทยายุทธ์กันอย่างแข็งขันที่สนามประลองด้วยสายตาเรียบเฉย พี่ชายคนโตอายุเพียงยี่สิบปีมีนามว่ามู่เจี๋ย ใบหน้าคมเข้มที่ได้บิดามาอีกทั้งรูปร่างสูงใหญ่สมกับว่าที่แม่ทัพคนต่อไป เป็นคนที่จริงจัง เข้มงวด เถรตรง                พี่รองอายุสิบเก้ามีนามว่ามู่ฉุนเหยียน ใบหน้าหล่อคมคายทว่าผิวขาวเนียนได้มารดา เป็นคนอ่อนโยนหนักแน่น ภายนอกเหมือนคนใจดีแต่อย่าไปยั่วโมโหพี่รองเป็นอันขาดเพราะเงาหัวอาจจะไม่เหลือ                สุดท้ายพี่สามมีนามว่ามู่ซูหยวน นิสัยเจ้าเล่ห์ ฉลาดทันคนไม่แพ้พี่น้องคนอื่น เชี่ยวชาญการรักษาและใช้พิษเพราะถูกนำไปฝากไว้กับอาจารย์ที่เทือกเขาหยวนซานของสำนักหลิวซูซูตั้งแต่เด็ก เกิดก่อนเขาเพียงแค่ปีเดียว มู่ซูหยวนเป็นเพียงคนเดียวที่รูปร่างคล้ายกับเขาที่สุด แม้สี่พี่น้องจะไม่มีความเหมือนกันเพราะต่างมารดาแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนคือหวงเขายิ่งกว่าจงอางหวงไข่                “มู่เหริน”                มู่ฉุนเหยียนหันมาเจอมู่เหรินที่ยืนมองอยู่ริมระเบียงก็พุ่งทะยานเข้ามาหา สองมือรวบตัวเขากอดรัดไปมาจนเริ่มตาลาย เมื่อมีหนึ่งคนหยุดซ้อมอีกสองคนที่เหลือก็ตามมาอย่างรวดเร็ว                “เมื่อวานข้าไม่อยู่เพียงวันเดียวเหวินฉินมาหาเจ้าอีกแล้วหรือ”                มู่เจี๋ยเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตามองน้องเล็กอย่างเป็นห่วงก่อนจะช่วยดึงร่างโปร่งบางออกมาจากน้องรอง                “พอแล้วเดี๋ยวมู่เหรินก็กระดูกหักไปกับแรงเจ้าหรอก”                คำกล่าวของพี่ใหญ่ทำให้มู่ฉุนเหยียนสำรวจร่างโปร่งบางอย่างวิตก เมื่อครู่ตนดีใจที่ได้พบน้องเล็กของบ้านจึงลืมตัวไปชั่วขณะ มู่เหรินมองพี่ชายที่ทำตัวเหมือนเขาเป็นสตรีบอบบางอย่างเอือมระอา ทั้ง ๆ ก็มีวรยุทธ์มิต่างกัน                “ก็มาให้แก้ปริศนาให้ตามปกติขอรับ”                มู่เหรินยิ้มบางกับกิริยาสามพี่น้อง แม้จะเบื่อไปบ้างแต่อย่างไรวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบเจอ แม้จะผูกพันแต่หากทำให้บ้านเมืองสงบจึงจำเป็นต้องไป                มู่ซูหยวนก็ไม่น้อยหน้าเอาคางมาเกยไหล่เขามองมาอย่างไม่ยินดียินร้าย ทว่าต้องจับมือพี่สามไว้แน่นเพราะไม่รู้ว่าจะคิดพิเรนทร์เอาเข็มพิษอะไรมาจิ้มเขาเล่นอีก เนื่องจากสามวันก่อนเจ้าตัวนึกอยากลองยา เอาพิษตะวันดับแสงมาจิ้มเขาจนหนาวเยือกไปถึงกระดูก เพียงครู่ก็ร้อนจนลมปราณแทบแตกซ่าน ไม่รู้ว่ามู่ซูหยวนรักน้องแบบไหนกันถึงชอบแกล้งเขาบ่อย ๆ                “งั้นหรือ ว่าไปน้องพี่ดังใหญ่แล้วนะ”                มู่ฉุนเหยียนเอ่ยหยอกล้อ มู่เหรินยิ้มบางเก็บความเศร้าหมองไว้ในส่วนลึกเพราะพรุ่งนี้ตระกูลมู่จะไม่มีคุณชายสี่มู่เหรินอีกต่อไป ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้บิดาจะหาโทษอันใดมาขับไล่เขาออกจากจวนได้แต่คงเป็นเรื่องที่ทำให้จวนแม่ทัพเสียชื่อเสียง ไม่เช่นนั้นเหตุผลคงไม่เพียงพอแม้จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือก็ตาม จะจริงหรือเท็จย่อมไม่มีผู้ใดทราบ                “วันนี้ข้าทำอาหารไว้ ท่านพี่ทั้งสามไปรับประทานเสียหน่อยดีไหมขอรับ ใกล้จะยามอู่แล้ว” (ยามอู่ 11.00น.-13.00น.)                มู่เหรินเอ่ยถามอย่างเอาใจเพราะอาจจะไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้อีก “จริงหรือ เอาสิ ว่าแต่วันนี้เจ้าทำสิ่งใดให้ข้าทานกัน”                มู่ซูหยวนเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น มู่เหรินยกยิ้มมุมปากเบาบางกับกิริยาพี่น้องแต่ละคน หากเป็นไปได้เขาเองก็อยากให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ตลอดไป                “วันนี้มีมัสมั่นไก่ แกงกะหรี่ ต้มข่าไก่”                “เอาเถอะเจ้าบอกมาพวกข้าก็ยังนึกไม่ออกหรอก อาหารของเจ้านั้นแปลกตาแต่กลับอร่อยมิเหมือนใคร หากเจ้าเปิดโรงเตี๊ยมคงมีชื่อเสียงโด่งดัง”                มู่เจี๋ยเอ่ยตอบพร้อมหัวเราะออกมาอย่างพึงใจ แม้ชื่ออาหารแต่ละอย่างล้วนไม่คุ้นหู ไม่รู้จัก แต่อร่อยจนยากจะลืม                ทั้งสี่กอดคอกันเดินไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ ต่างรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มู่เหรินมองดูพี่น้องร่วมบิดาด้วยรอยยิ้มบาง เก็บภาพความทรงจำไว้ภายในใจเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร พี่ชายทั้งสามคนต่างหัวเราะหยอกล้อกันอย่างมีความสุขโดยมิอาจรับรู้เลยว่านับตั้งแต่พรุ่งนี้จะไม่มีน้องสี่อีกแล้ว… มู่เหรินมองบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้ายเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาอีก ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืนในเวลานี้บดบังร่างโปร่งบางที่ยืนใต้ร่มไม้ห่างไกลจากจวนพอประมาณ ส่วนผู้ติดตามขึ้นชื่อว่าเงาก็ยังคงเป็นเงาเหมือนที่ผ่านมา เหลือบตามองเงาร่างที่อยู่ไม่ห่างอย่างกังวล การที่ไม่ได้พูดคุยกับใครเลย คอยแต่หลบซ่อนตัวและแสดงฝีมือเท่านั้นจะเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้และเหงามากแค่ไหน                “หลิงหวางข้ามีข้อตกลงกับเจ้า หากเจ้าคิดจะติดตามข้าจงแสดงตนออกมาในฐานะสหายข้า หากทำไม่ได้แล้วจงเป็นเงาอย่าให้ข้ารับรู้ตัวตนของเจ้า”                มู่เหรินเอ่ยบอกเสียงเรียบ เงาร่างนั้นนิ่งเงียบเพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไปกับความมืด เขาถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ยังเลือกที่จะเป็นเงา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD