ตระกูลมู่ (3)

1142 Words
“เจ้าติดตามข้ามาห้าปีไม่รู้หรือว่านี่เป็นการออกจากบ้านครั้งแรกของข้า”                “ขออภัยขอรับ ข้าเองก็เพิ่งเคยออกมาพร้อมกับท่านขอรับ”                คำตอบเรียบนิ่งของคนตรงหน้าทำให้มู่เหรินอึ้งไปเล็กน้อย คนอย่างนี้เรียกว่ากวนเบื้องล่างด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเอาจนเขาพูดไม่ออก ได้แต่คิดทบทวนตำราในสมองไปมา                “หากจำไม่ผิดน่าจะอยู่ที่แคว้นฉิน”                คำกล่าวของนายน้อยทำให้หลิงหวางมองตามอย่างไม่เข้าใจเพราะนายน้อยไม่ได้ออกจากเมืองหลวงแคว้นฉีเลย แต่ก็ยอมเดินตามไปแม้จะไม่รู้เส้นทางแต่ความฉลาดล้ำของคุณชายมู่เหรินไม่มีทางผิดพลาด แต่ว่าแคว้นฉินอยู่คนละทิศกับแคว้นฉี แล้วอีกกี่เดือนเล่าจะไปถึงหากเดินด้วยสองเท้าเช่นนี้                “ข้าไม่ได้รีบร้อน เดินทางไปเรื่อย ๆ ถึงเมื่อไรก็เมื่อนั้น”                คำกล่าวเหมือนมานั่งอยู่กลางใจทำให้หลิงหวางสะท้านในอกอย่างหวาดหวั่น หรือว่านายน้อยจะมีวิชาอ่านใจ?                มู่เหรินมองแผนที่ พอจะเข้าใจแล้วจึงเก็บไว้ในอกเสื้อเช่นเดิม หันไปมองผู้ติดตามเพียงคนเดียวที่ไม่พูดไม่จาแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ สงสัยเขาจะมากับคนใบ้ ดีที่เขาพออ่านสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายออกแม้จะไม่เห็นแววตาที่ปกปิดด้วยหมวกสานก็ตาม                มู่เหรินมองดูรอบกายด้วยแววตานิ่งเฉย แม้จะไม่ได้ออกมานอกเมืองบ่อยนักแต่ทุกอย่างเบื้องหน้าล้วนเหมือนกันไปหมด มีแต่ป่า ป่า...และริมธาร ในช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิทำให้สีสันดอกไม้งดงามตา ธรรมชาติที่งดงามเช่นนี้หาได้ยากในโลกปัจจุบัน ถือว่าเขาโชคดีที่เกิดมาใหม่ในที่แบบนี้                เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือยุคไหนกันแน่แต่มีด้วยกันเจ็ดแคว้นใหญ่ที่มีอำนาจแข็งแกร่งได้แก่ ฉี ฉู่ เยียน หาน จ้าว เว่ย ฉิน หากคาดเดาเขาคงเกิดในช่วงยุคจั้นกั๋วเพราะมีหลายอย่างที่สอดคล้อง ถามว่าเขากลัวที่จะทำประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไหม บอกเลยว่าไม่ เพราะเรื่องของอนาคตเขาไม่รับรู้แล้ว หากตายจากที่นี่แล้วไปเกิดใหม่อีกครั้งก็ไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ไหนอีก สู้ทำตามใจตัวเองเสียดีกว่า หรือไม่ที่นี่อาจเป็นมิติคู่ขนานก็เป็นได้                “หลิงหวางเจ้ามีพี่น้องหรือไม่”                มู่เหรินเอ่ยถามคนข้างหลังที่ตามมาเงียบ ๆ เสียงใบไม้เสียดสีและลมพัดทำให้รู้สึกสบายใจ                “ไม่มีขอรับ เงาทุกคนที่อยู่กับแม่ทัพล้วนเป็นเด็กกำพร้าขอรับ”                คำตอบของหลิงหวางทำให้มู่เหรินนิ่งเงียบเดินตามเส้นทางรถม้าไปเรื่อย ๆ ที่ยุคนี้เขาไม่ได้แปลกใจเพราะในซีรีส์จีนที่เคยดูมาส่วนมากนักฆ่าหรือผู้ติดตามจะเป็นเด็กกำพร้าซะส่วนมากและใช่ว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนเขาที่เกิดในตระกูลร่ำรวย                “งั้นต่อไปนี้เจ้าก็มาเป็นพี่น้องข้าแล้วกัน”                “ข้าน้อยมิกล้า ขอเพียงได้ติดตามรับใช้นายน้อยก็พอแล้วขอรับ” คำยืนยันหนักแน่นของหลิงหวางไม่ได้เกินจากที่คาดไว้และเขาเองก็ไม่อยากบีบบังคับ                ทั้งคู่เดินออกมาไกลมากมู่เหรินจึงหยุดพักและดูแผนที่อีกครั้ง แม้จะบอกว่าไม่รีบแต่เขาเองก็ไม่อยากเสียเวลาในการฝึกวิชาเพิ่มอีกเพราะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีอันตรายอันใดอีก                “อีกสิบลี้ก็จะถึงเมืองหลินจือ เราจะหาซื้อม้าที่นั่น”                มู่เหรินเงยหน้าจากแผนที่บอกผู้ติดตามเพียงคนเดียวที่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ จากนั้นจึงเก็บแผนที่หยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมยื่นให้หลิงหวางทานเป็นอาหารกลางวัน ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่สามารถปฏิเสธเขาได้                หลังจากทั้งคู่ทานอาหารกลางวันอิ่มแล้วจึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง มู่เหรินไม่ได้ใช้ลมปราณลงไปที่เท้าในการเดินทาง เขาอยากเก็บแรงไว้เพราะไม่รู้ข้างหน้าจะเจออันตรายอันใดบ้าง แม้จะไม่เคยออกจากเมืองหลวงแคว้นฉีแต่เขาไม่อยากประมาท ยุทธภพนั้นอันตราย หากพลาดท่าเสียทีได้ไปปรโลกเร็วกว่าอายุขัยแน่                อีกทั้งตนมิใช่คนเก่งกาจ อายุเพียงสิบหกในโลกนี้ยังเรียนรู้ไม่ได้มากนัก แม้ความจริงอายุวิญญาณเขาตอนนี้ย่างห้าสิบเอ็ดปีแล้วก็ตาม และกว่าจะถึงที่หมายก็เข้ายามเว่ย(13.00น.-15.00น.)แล้ว                ที่นี่ดูครึกครื้นไม่ต่างจากเมืองที่ผ่านมา มู่เหรินหาห้องพักในโรงเตี๊ยมขนาดกลางเพื่อนอนพักหนึ่งคืนสองห้องสำหรับสองคน แม้จะรู้ว่าหลิงหวางชอบมาอารักขาเขาก็ตามแต่อย่างไรก็คงต้องมีเวลาส่วนตัวบ้างเช่นอาบน้ำ                จากนั้นจึงได้ออกมาเดินเล่นสำรวจเมือง มีบ้างที่ผู้คนหันมามองเขาด้วยความสนใจเพราะยังมีหมวกปีกสานใบใหญ่ปิดใบหน้า                หลังจากเดินทั่วเมืองจึงกลับมาทานอาหารเย็นในโรงเตี๊ยม ระหว่างเดินเล่นได้หน้ากากครึ่งหน้าสีดำสนิทมาหนึ่งอันและเขาก็สวมใส่แทนหมวกปีกสานเพื่อสะดวกในการทานข้าวมากขึ้น ส่วนหลิงหวางเขาซื้อสีขาวให้อันหนึ่งแต่เจ้าตัวไม่ได้สวมใส่เหมือนกับเขาเพราะสามารถแปลงโฉมได้ อาหารเลิศรสวางอยู่ตรงหน้าโดยมีหลิงหวางนั่งกินเป็นเพื่อน แต่เขากลับกลืนไม่ลง ข่าวลือที่น่าอายมันโด่งดังมาถึงที่นี่ แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้องจำต้องจำใจกลืนลงท้องไปพร้อมฟังการนินทาตัวเองไปด้วยทำให้รู้สึกแปลก ๆ ชอบกล                “ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายสี่ตระกูลมู่จะเป็นคนเช่นนั้น แต่ก็มิแปลกหรอกเพราะข้าได้ข่าวว่าคุณชายนั้นงดงามจนสตรียังต้องอาย”                ชายร่างท้วมพูดอย่างสนุก ในกลุ่มพวกเขาสวมใส่อาภรณ์สีน้ำตาลและมีเชือกผูกเอวสีเหลืองเหมือนจะมาจากสำนักใดสำนักหนึ่ง                “เจ้าเคยเห็นหน้าหรือไม่ ข้าอยากรู้จริงผู้ชายที่หนีตามไปหน้าตาเช่นไร”                ชายร่างผอมบางกล่าวต่อด้วยความสงสัยใคร่รู้                มู่เหรินฟังอย่างสงบแม้อาหารมื้อนี้จะฝืดคอไปบ้าง หลิงหวางรินน้ำชาไป๋เหาหยินเจินใส่จอกใบเล็กให้ด้วยท่าทางสงบ เขาดื่มชาอย่างไม่ค่อยรู้รสมากนัก             
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD