ปิยะชาติเหลียวมองไปรอบๆ ร้านของเพื่อนแล้วเปรยขึ้นว่า “ร้านของแกแปลกดีไม่ซ้ำแบบใคร
ความคิดแหวกแนวดีนะพลู”
“ใช่ ฉันชอบเพดานร้านแกจัง ฉันอยากหายเข้าไปในนั้นแล้วเจอท่านเจ้าคุณแบบในละครเรื่องที่
นางเอกหายไปในกระจกน่ะ ถ้าฉันเจอผู้ชายหล่อๆ แบบนั้นนะ ฉันจะไม่กลับมาอีกเลย”
“ฉันว่าถ้าแกหายไปในเพดานก็คงเจอแต่ตุ๊กแกแหละว่ะ คงไม่ได้เจอเจ้าคุณอย่างที่แกคิดหวังหรอก”
ปิยะชาติว่าเข้าให้น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“แหม...ไอ้พี่ชาติ ไอ้ปากสร้างสรรค์แต่สิ่งชั่วร้าย” ชานนท์ด่าเสียงแหลมก่อนพูดด้วยท่าทีหวาดๆ “แต่ฉันขอติชื่อร้านแกหน่อยนะนังพลู ตั้งมาได้ว่าเรือนซ่อนกลิ่น ฟังแล้วมันหลอนๆ พิกล ชื่อเหมือนบ้านผีสิงยังไงยังงั้น”
“อ้าว เมื่อกี้เพิ่งชมว่าชอบเพดานออกไปหยกๆ” มาริสาพูดขัดคอขึ้นยิ้มๆ
“ไม่เกี่ยวกัน หรือแกคิดว่าเรือนซ่อนกลิ่นชื่อไม่หลอนนังสา”
“แหม...ฉันก็แซวแกเล่นและก็เห็นด้วยเรื่องชื่อ” มาริสาพูดกลั้วหัวเราะแล้วจึงหันไปทางเจ้าของร้าน
“ฉันจะถามแกตั้งหลายหนแล้วว่าที่แกตั้งแบบนี้มีความหมายอะไรซับซ้อนหรือเปล่าพลู”
“ชื่อร้านคุณยายเป็นคนตั้ง ซ่อนกลิ่นหมายถึงการซ่อนกลิ่นหอมของเครื่องดื่มในร้านให้คนเข้ามา
ค้นหาไง ความหมายง่ายไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่แกคิดหรอก”
คราวนี้คนฟังทั้งสามที่คอยเงี่ยหูฟังพากันถอนหายใจพร้อมกันราวกับนัด
“แค่นี้! ฉันก็นึกว่ามีอะไรลึกลับหรือลับลมคมในอะไร” ชานนท์บ่นอุบ อาการหวาดๆ หายไปใน
ฉับพลันซึ่งก็ได้รับการพยักหน้าเห็นด้วยจากมาริสา
“นั่นสิ ชื่อแปลง่ายๆ แต่ดันไปคิดซะไกล”
“นี่แหละที่เขาบอกว่าภาษาดิ้นได้ไง” ปิยะชาติพูดยิ้มๆ ทำให้ใบหน้าน่ากลัวค่อยน่ามองขึ้น
“นี่นังพลู” ชานนท์ที่คิดถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ยกมือชี้หน้าผู้เป็นเพื่อน “ฉันยังไม่ได้ชำระความเลยนะที่แกหนีกลับก่อนคืนนั้นน่ะ”
เมื่อได้ยินผู้เป็นเพื่อนพูดถึงคืนนั้นขึ้นมา คนที่ทำเหตุการณ์อับอายขายหน้าก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ว่าแล้วยังจะมาหัวเราะอีก ไม่สลดเลยนะแก และก็หายหัวไปเลย ถ้าฉันไม่มาหาที่นี่ก็ไม่คิดจะโทร.
หากันเลยนะนังพลู”
คนถูกหาว่าไม่สลดหัวเราะคิกออกมา เรื่องที่ผู้เป็นเพื่อนต่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะนับจากวันนั้นก็เพิ่งเจอกลุ่มเพื่อนวันนี้นี่แหละ
“ฉันก็ฝากยายสาไปบอกแล้วนี่หว่า...”
หิรัญญิการ์บอกแล้วนิ่งไปชั่วครู่ราวกับกำลังไตร่ตรองว่า ควรเล่าเหตุการณ์คืนนั้นให้เพื่อนๆ ฟังดี
หรือไม่เล่าดี แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าควรเล่าน่าจะเป็นการดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องที่ว่าก็จะยังคงวนเวียนอยู่ในสมองให้เธอรู้สึกขายหน้าอยู่ร่ำไป เล่าแล้วจะได้ปลดปล่อยออกไปเสียที
แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องที่ว่าแม้จะทำให้ตัวเองรู้สึกอับอายขายหน้าก็ตาม แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกขบขันไปด้วยทุกครั้งที่นึกถึง
“คืนนั้นฉันมีเรื่อง...นิดหน่อย จะเล่าให้พวกแกกับพี่ชาติฟังด้วยแหละ”
“เรื่องอะไร”
เสียงทุกคนถามโพล่งออกมาพร้อมกัน
“คืออย่างนี้...”
เมื่อเล่าถึงสิ่งที่คั่งค้างในใจให้กลุ่มเพื่อนๆ ฟัง ทุกคนที่ฟังพากันนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนชานนท์จะอุทานขึ้นเป็นคนแรก
“นี่หรือเรื่องนิดหน่อยที่แกว่า แกเมาจนอ้วกใส่ผู้ชายที่เดินสวนกันนี่นะ”
“นั่นสิ” มาริสาพูดพลางส่ายหน้าไปมา “ตายแล้วยายพลู”
“ไม่ถึงตายหรอกน่า”
เจ้าของเรื่องนิดหน่อยรีบบอกพลางยิ้มแหยๆ ซึ่งเป็นกิริยาที่เพื่อนๆ ไม่ค่อยเห็นจากสาวมั่นอย่าง
หิรัญญิการ์นัก
“คืนนั้นฉันเห็นสภาพแกก็รู้ว่าเมา” มาริสาพูดพลางส่ายหน้าไปมา “แสดงว่าเหตุการณ์ที่ว่านั่นเกิด
ก่อนที่ฉันจะโทร. หาแกใช่ไหม”
“อืม”
“แล้วคนที่ถูกแกอ้วกใส่ไม่โวยวายแย่เหรอ”
คนเมาแล้วอ้วกนิ่งไปชั่วอึดใจพลางนึกถึงสีหน้าท่าทางของคนที่เธออ้วกใส่ แล้วอดหัวเราะคิกออกมาเพราะความขบขันไม่ได้
“ไม่รู้ว่าโกรธหรือเปล่า แต่ฉันเห็นเขา...เอ้อ...กำลังยืนอึ้งก็เลยฉวยโอกาสวิ่งหนีไปเลย”
“วิ่งหนี” ปิยะชาติที่นั่งฟังเงียบพูดน้ำเสียงเหวอๆ “อ้วกแล้วหนีเลยหรือ”
“ก็ใครจะอยู่ให้โง่ล่ะพี่ชาติ”
มาริสาหลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่พลางมองเพื่อนสนิทอย่างคิดไม่ถึง
“แกนี่นอกจากจะเมาแล้วอ้วก ยังอ้วกแล้วหนีอีกต่างหาก เหมือนคนขับรถชนแล้วหนีไม่มีผิด ฉัน
อยากจะรู้นักว่าคนที่ถูกแกอ้วกใส่จะรู้สึกอย่างไร คงไม่ได้อึ้งอย่างที่แกว่าหรอกน่า อาจกำลังตกใจมากกว่า อ้วกของคนกินเหล้าน่ะกลิ่นเหม็นสุดจะทานทน ใครหนอช่างโชคร้ายเสียจริง”
หิรัญญิการ์ยิ้มแห้งๆ เพราะเธอแค่เล่าแต่ยังไม่ได้บอกว่าคนที่เธออ้วกใส่เป็นใคร ถ้าเอ่ยชื่อออกไปคนที่ต้องตกใจคนแรกคงไม่พ้นมาริสาเป็นแน่ ก็เจ้าตัวคลั่งไคล้ชื่นชมในตัวทักษกรนักหนาแม้จะลาออกมาจากบริษัทนั้นแล้วก็ตาม
“เพิ่งจะเจอคนอ้วกแล้วหนี เคยได้ยินแต่ชนแล้วหนี เฮ้อ...เจริญจริงๆ เลยแก” ชานนท์พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “แกนี่ทำความผิดมหันต์เลยนะ ฉันละนึกสภาพคนที่แกอ้วกใส่ไม่ออกจริงๆ ว่าแต่แกเป็นหวัดหรือไงถึงได้สวมมาสก์ปิดหน้าจนเกือบถึงลูกตาแบบนี้”
หิรัญญิการ์ยกมือขึ้นลูบหน้า เธอเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองสวมมาสก์อยู่ อาจจะเพราะสวมมาหลายวันจนชินแล้วก็เป็นได้
“อ๋อ...เป็นหวัดน่ะ สาเหตุน่าจะมาจากคืนนั้นแหละ”