บทที่ 4 โลกแคบหรือพระพรหมแกล้งE.2

1056 Words
ปิยะชาติเหลียวมองไปรอบๆ ร้านของเพื่อนแล้วเปรยขึ้นว่า “ร้านของแกแปลกดีไม่ซ้ำแบบใคร ความคิดแหวกแนวดีนะพลู” “ใช่ ฉันชอบเพดานร้านแกจัง ฉันอยากหายเข้าไปในนั้นแล้วเจอท่านเจ้าคุณแบบในละครเรื่องที่ นางเอกหายไปในกระจกน่ะ ถ้าฉันเจอผู้ชายหล่อๆ แบบนั้นนะ ฉันจะไม่กลับมาอีกเลย” “ฉันว่าถ้าแกหายไปในเพดานก็คงเจอแต่ตุ๊กแกแหละว่ะ คงไม่ได้เจอเจ้าคุณอย่างที่แกคิดหวังหรอก” ปิยะชาติว่าเข้าให้น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “แหม...ไอ้พี่ชาติ ไอ้ปากสร้างสรรค์แต่สิ่งชั่วร้าย” ชานนท์ด่าเสียงแหลมก่อนพูดด้วยท่าทีหวาดๆ “แต่ฉันขอติชื่อร้านแกหน่อยนะนังพลู ตั้งมาได้ว่าเรือนซ่อนกลิ่น ฟังแล้วมันหลอนๆ พิกล ชื่อเหมือนบ้านผีสิงยังไงยังงั้น” “อ้าว เมื่อกี้เพิ่งชมว่าชอบเพดานออกไปหยกๆ” มาริสาพูดขัดคอขึ้นยิ้มๆ “ไม่เกี่ยวกัน หรือแกคิดว่าเรือนซ่อนกลิ่นชื่อไม่หลอนนังสา” “แหม...ฉันก็แซวแกเล่นและก็เห็นด้วยเรื่องชื่อ” มาริสาพูดกลั้วหัวเราะแล้วจึงหันไปทางเจ้าของร้าน “ฉันจะถามแกตั้งหลายหนแล้วว่าที่แกตั้งแบบนี้มีความหมายอะไรซับซ้อนหรือเปล่าพลู” “ชื่อร้านคุณยายเป็นคนตั้ง ซ่อนกลิ่นหมายถึงการซ่อนกลิ่นหอมของเครื่องดื่มในร้านให้คนเข้ามา ค้นหาไง ความหมายง่ายไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่แกคิดหรอก” คราวนี้คนฟังทั้งสามที่คอยเงี่ยหูฟังพากันถอนหายใจพร้อมกันราวกับนัด “แค่นี้! ฉันก็นึกว่ามีอะไรลึกลับหรือลับลมคมในอะไร” ชานนท์บ่นอุบ อาการหวาดๆ หายไปใน ฉับพลันซึ่งก็ได้รับการพยักหน้าเห็นด้วยจากมาริสา “นั่นสิ ชื่อแปลง่ายๆ แต่ดันไปคิดซะไกล” “นี่แหละที่เขาบอกว่าภาษาดิ้นได้ไง” ปิยะชาติพูดยิ้มๆ ทำให้ใบหน้าน่ากลัวค่อยน่ามองขึ้น “นี่นังพลู” ชานนท์ที่คิดถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ยกมือชี้หน้าผู้เป็นเพื่อน “ฉันยังไม่ได้ชำระความเลยนะที่แกหนีกลับก่อนคืนนั้นน่ะ” เมื่อได้ยินผู้เป็นเพื่อนพูดถึงคืนนั้นขึ้นมา คนที่ทำเหตุการณ์อับอายขายหน้าก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ว่าแล้วยังจะมาหัวเราะอีก ไม่สลดเลยนะแก และก็หายหัวไปเลย ถ้าฉันไม่มาหาที่นี่ก็ไม่คิดจะโทร. หากันเลยนะนังพลู” คนถูกหาว่าไม่สลดหัวเราะคิกออกมา เรื่องที่ผู้เป็นเพื่อนต่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะนับจากวันนั้นก็เพิ่งเจอกลุ่มเพื่อนวันนี้นี่แหละ “ฉันก็ฝากยายสาไปบอกแล้วนี่หว่า...” หิรัญญิการ์บอกแล้วนิ่งไปชั่วครู่ราวกับกำลังไตร่ตรองว่า ควรเล่าเหตุการณ์คืนนั้นให้เพื่อนๆ ฟังดี หรือไม่เล่าดี แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าควรเล่าน่าจะเป็นการดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องที่ว่าก็จะยังคงวนเวียนอยู่ในสมองให้เธอรู้สึกขายหน้าอยู่ร่ำไป เล่าแล้วจะได้ปลดปล่อยออกไปเสียที แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องที่ว่าแม้จะทำให้ตัวเองรู้สึกอับอายขายหน้าก็ตาม แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกขบขันไปด้วยทุกครั้งที่นึกถึง “คืนนั้นฉันมีเรื่อง...นิดหน่อย จะเล่าให้พวกแกกับพี่ชาติฟังด้วยแหละ” “เรื่องอะไร” เสียงทุกคนถามโพล่งออกมาพร้อมกัน “คืออย่างนี้...” เมื่อเล่าถึงสิ่งที่คั่งค้างในใจให้กลุ่มเพื่อนๆ ฟัง ทุกคนที่ฟังพากันนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนชานนท์จะอุทานขึ้นเป็นคนแรก “นี่หรือเรื่องนิดหน่อยที่แกว่า แกเมาจนอ้วกใส่ผู้ชายที่เดินสวนกันนี่นะ” “นั่นสิ” มาริสาพูดพลางส่ายหน้าไปมา “ตายแล้วยายพลู” “ไม่ถึงตายหรอกน่า” เจ้าของเรื่องนิดหน่อยรีบบอกพลางยิ้มแหยๆ ซึ่งเป็นกิริยาที่เพื่อนๆ ไม่ค่อยเห็นจากสาวมั่นอย่าง หิรัญญิการ์นัก “คืนนั้นฉันเห็นสภาพแกก็รู้ว่าเมา” มาริสาพูดพลางส่ายหน้าไปมา “แสดงว่าเหตุการณ์ที่ว่านั่นเกิด ก่อนที่ฉันจะโทร. หาแกใช่ไหม” “อืม” “แล้วคนที่ถูกแกอ้วกใส่ไม่โวยวายแย่เหรอ” คนเมาแล้วอ้วกนิ่งไปชั่วอึดใจพลางนึกถึงสีหน้าท่าทางของคนที่เธออ้วกใส่ แล้วอดหัวเราะคิกออกมาเพราะความขบขันไม่ได้ “ไม่รู้ว่าโกรธหรือเปล่า แต่ฉันเห็นเขา...เอ้อ...กำลังยืนอึ้งก็เลยฉวยโอกาสวิ่งหนีไปเลย” “วิ่งหนี” ปิยะชาติที่นั่งฟังเงียบพูดน้ำเสียงเหวอๆ “อ้วกแล้วหนีเลยหรือ” “ก็ใครจะอยู่ให้โง่ล่ะพี่ชาติ” มาริสาหลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่พลางมองเพื่อนสนิทอย่างคิดไม่ถึง “แกนี่นอกจากจะเมาแล้วอ้วก ยังอ้วกแล้วหนีอีกต่างหาก เหมือนคนขับรถชนแล้วหนีไม่มีผิด ฉัน อยากจะรู้นักว่าคนที่ถูกแกอ้วกใส่จะรู้สึกอย่างไร คงไม่ได้อึ้งอย่างที่แกว่าหรอกน่า อาจกำลังตกใจมากกว่า อ้วกของคนกินเหล้าน่ะกลิ่นเหม็นสุดจะทานทน ใครหนอช่างโชคร้ายเสียจริง” หิรัญญิการ์ยิ้มแห้งๆ เพราะเธอแค่เล่าแต่ยังไม่ได้บอกว่าคนที่เธออ้วกใส่เป็นใคร ถ้าเอ่ยชื่อออกไปคนที่ต้องตกใจคนแรกคงไม่พ้นมาริสาเป็นแน่ ก็เจ้าตัวคลั่งไคล้ชื่นชมในตัวทักษกรนักหนาแม้จะลาออกมาจากบริษัทนั้นแล้วก็ตาม “เพิ่งจะเจอคนอ้วกแล้วหนี เคยได้ยินแต่ชนแล้วหนี เฮ้อ...เจริญจริงๆ เลยแก” ชานนท์พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “แกนี่ทำความผิดมหันต์เลยนะ ฉันละนึกสภาพคนที่แกอ้วกใส่ไม่ออกจริงๆ ว่าแต่แกเป็นหวัดหรือไงถึงได้สวมมาสก์ปิดหน้าจนเกือบถึงลูกตาแบบนี้” หิรัญญิการ์ยกมือขึ้นลูบหน้า เธอเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองสวมมาสก์อยู่ อาจจะเพราะสวมมาหลายวันจนชินแล้วก็เป็นได้ “อ๋อ...เป็นหวัดน่ะ สาเหตุน่าจะมาจากคืนนั้นแหละ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD