ปกติอยู่บ้านชื่อขวัญ อยู่มหาลัยชื่อของขวัญ มันไม่ใช่การกระแดะแต่ฉันเรียกว่าการปรับตัวภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ยุคที่ทุกคนชื่อสองพยางค์และน่ารักเหมือนถูกดีไซน์มาจะช่วยประดับความเลอค่าของพวกเราได้
ดังนั้นถ้าใครเรียกฉันสั้นๆ ว่าขวัญ ฉันจะถือว่ามันท้าทายอำนาจลอร์ดมืดและเป็นพวกล้าหลัง โบราณ คร่ำครึ เหมือนอย่างที่อีหรั่งกำลังทำอยู่
“อีขวัญ ทำไมแกเลิกกับอีน้องปลั๊กวะ”
“อีหรั่ง อีตุ๊ด หยุดเรียกว่าขวัญ กรุณาเรียกของขวัญ ให้เกียตริความน่ารักและหนังหน้าเพื่อนด้วย” ฉันหันไปกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจมันนัก ฉันกับอีหรั่งกำลังนั่งยาใจอยู่ในชาบูชิที่มีหมูและเนื้อบวกปลาดิบแบบบุฟเฟต์เพื่อทำใจเรื่องอีน้องปลั๊กปีหนึ่ง
ด้วยความที่ฉันหน้าเด็กและมักจะมีแฟนเด็กกว่าอยู่ตลอด รายล่าสุดก็ไม่ต่าง นางน้องปลั๊กคือเดือนคณะปีหนึ่ง เฟรชชี่ที่หน้าดีและหล่อเริ่ด น้องพุ่งเข้ามาจีบฉัน จากนั้นก็ตีตัวออกห่างไปคบเด็กด้วยกันโดยให้เหตุผลว่าฉันแก่เกินไป ไม่นิยมคนชรา กลัวว่าจะตายก่อนได้ลูก
โถ อีเด็กผี แล้วตอนที่มาจีบน่ะ ไม่ขอดูบัตรประชาชนก่อนฟะ!
ฉันแอบโมโหเล็กๆ แล้วจิ้มหมูชาบูยัดทะนานเข้าปากเพื่อให้มันช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจ พวกเรามาในชุดไปรเวทธรรมดาและในตอนนั้นเองที่ฉันกำลังคีบหมูเข้าปากด้วยความเร็วสามสิบชิ้นต่อนาทีโดยท่วงท่าที่สืบทอดจากต้นตระกูลย่าทวดผู้เป็นแชมป์กินมาราธอนแปดสมัยซ้อน ที่ไม่มีใครอาจหาญลบล้างตลอดชาติ ฉันก็สัมผัสได้ถึงสายตาคู่นึงกำลังจ้องมองฉันอยู่
“เธอ”
“...” อีหรั่งชะงักแล้วย่นคิ้วมองตามเสียงเรียก ฉันเองก็หยุดการกินแล้วหันหลังขวับตามไปด้วย เห็นไอ้เด็กเปรตที่อยู่ในเสื้อเชิ้ต สูงประมาณร้อยห้าสิบ หน้ากลมเหมือนไอ้เด็กตี๋ที่อยู่บนฉลากซีอิ๊วตราเด็กสมบูรณ์ น้องจ้องฉันด้วยตาตี่ๆ ที่แทบจะปิดของน้องแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มแบบประหลาด
“อะไรเนี่ย ตามหาแม่เหรอลูก ไปที่ประชาสัมพันธ์นะหนู ที่นี่ไม่มีแม่นะมีแต่หมูตกมันเท่านั้นละจ้า”
อีหรั่ง! อีตุ๊ดเลว ว่าใครเป็นหมูวะ! เดี๋ยวมันจะโดน! ฉันหนักแค่ 40 กิโลกรัมเองนะ ไม่อยากจะอวดแต่ด้วยกรรมพันธุ์ที่ดีและเด่นมากจากต้นตระกูลทำให้ฉันเป็นมนุษย์ประเภทกินข้าวเป็นถังก็ยังไม่อ้วน คนส่วนใหญ่เรียกฉันว่าผู้หญิงมีบุญ เป็นชะนีที่เกิดมาเพื่อการกินและตายไปอย่างแท้จริง
“มีอะไรรึเปล่าคะ?” ฉันย่นคิ้วแล้วยิ้มเหมือนนางงามมิตรภาพ
“ฉันชื่อไจแอนท์ และฉันอยากจะขอเบอร์เธอสักหน่อยน่ะ”
“...เบอร์อะไรคะ”
ฉันงงกับอีน้องตาตี่นี่มาก น้องยิ้มหน้าป้านแถมยังยักคิ้วจึกๆ เอามือข้างนึงล้วงกระเป๋า ทำตัวประหนึ่งว่าเท่
“เธอชื่ออะไรน่ะ พอดีมีคนอยากรู้จัก”
“อีขวัญ อีเด็กนี่มันต้องการไรวะ มาเรียกธงเรียกเธอ แกเป็นแม่มันได้เลยนะ” อีหรั่งดึงคอฉันเข้าไปกระซิบ
“อีนี่ ฉันก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้น และก็เลิกเรียกว่าขวัญได้มะ ชื่อในวงการฉันคือของขวัญเถอะ”
“เออน่ะ รีบๆ ไล่มันไปสิ๊ อีไจเอิ้นไจแอนท์ไรเนี่ย ดูประสาทมากๆ” อีหรั่งกระซิบกับฉันเสียงเบา ฉันเหล่ไปมองก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยในตอนที่หันไปแล้วเห็นอีเด็กผีนี่เสยผมแล้วลูบคาง แถมยังเตาะเท้าเป็นจังหวะ
แหม ลูกหลานใครวะ เอามาปล่อยไว้ทำไมไม่เก็บ!!
“เอ่อ คือพี่...” ฉันกำลังจะผายมือเชื้อเชิญคุณน้องกลับไปสู่ที่ชอบๆ และกลับไปดูดนมแม่ หากแต่อยู่ดีๆ อีเด็กตี๋นี่ก็ตวัดปลายนิ้วชี้ไปที่ผู้ชายคนนึงซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาอยู่ในเสื้อสีชมพู ตากลมโต จมูกโด่ง ริมฝีปากหยักเป็นรูปหัวใจ หน้าขาวใสสไตล์ที่ฉันชอบ ตัวสูงสักร้อยแปดสิบห้าได้...
พระ นั่นอะไรน่ะ เทพบุตรเหรอ!!
แค่ชายตามอง ก็รู้สึกเลยว่าน้องเขามีองค์!
“เขาฝากมาขอเบอร์เธออ่ะครับ จะให้ป่ะ ถ้าไม่ให้เบอร์ก็ใจก็ได้นะฮะ”
อีหรั่งกลอกตามองบนจนลูกตาแทบหลุดตอนที่อีเด็กนี่เล่นมุกเสี่ยวสุดพลัง ส่วนฉันก็ยังมัวแต่มองผู้ชายคนนั้นอยู่ คือเขาดูดีมาก ดูดีกว่าอีน้องปลั๊กน้องปลวกที่เทฉันอีก! เฮอะ!
ฉันเลื่อนสายตาไปสบกับอีหรั่ง เราเป็นเพื่อนสนิทกันขั้นที่แค่มองตาก็รู้ใจแม้ไม่ได้พูดเป็นเสียงก็สามารถแปลสัญญาณสายตาเป็นคำพูดได้ดังนี้...
‘พี่ชายนางหล่อมากอะแก’ ฉันยักคิ้วหนึ่งที และกะพริบตาสามทีส่งสัญญาณมิตรภาพ
‘ที่สุดเลยย่ะ เต๊าะเลยนะ อย่าพลาด’ อีหรั่งตอบกลับด้วยการพยักเพยิดใบหน้า ชูคอขึ้นยี่สิบองศาและเม้มปาก
“ยังไงฮะเธอ เรารอฟังคำตอบของเธออยู่นะ ถ้าเธอไม่อยากให้เขาแต่อยากให้เราก็พูดได้นะ เราเข้าใจอ่ะ”
โอ๊ย อีเด็กนี่!
“เขาชื่ออะไร อายุเท่าไหร่” ฉันรีบสอบถามประวัติ อีเด็กผีนี่ก็ยักไหล่แล้วตอบฉัน
“ชื่อโยฮะ ส่วนอายุ... อายุนั้นไม่สำคัญ ใจเธอนั้นสิสำคัญกว่า”
“อีขวัญ อีเด็กนี่มันแดกแบบเรียนวรรณคดีวิจักษ์บทโคลงโลกนิติมาเหรอ เจ้าบทเจ้ากลอนมาเชียว ฉันเกือบไหว้เลยนะ นึกว่าสุนทรภู่มาเกิด” อีหรั่งนินทาพร้อมถอนหายใจหนักๆ
“อืม งั้นพี่จะให้ไลน์กับพี่ชายเธอละกันนะ ฝากบอกด้วยว่าน่ารักจัง” ฉันพูดด้วยเสียงสองแล้วมองไปที่เป้าหมายคนใหม่ คนตัวสูงกินชาบูแล้วก็ยิ้มให้ฉันนิดๆ ยิ่งเห็นยิ่งมีความสุข
“พี่ชายอะไรฮะ เธอคงเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ขอเบอร์ให้พี่ชายนะ”
“โอ๊ย ไม่ใช่พี่ชายละจะเป็นใครละหนู พ่อหนูรึไงล่ะจ๊ะ” อีหรั่งดูเหนื่อยกับการอดทนก็เลยวาดมือด้วยจริตตุ๊ดคือการกวาดนิ้วจากบนลงล่างโดยจุดสำคัญที่มันมักจะทำอยู่ประจำคือนิ้วก้อยต้องชี้ออกมาด้านนอก มือต้องอ่อนช้อยประหนึ่งนางรำ นับว่าถูกต้อง
ไอ้เด็กตี๋ตราเด็กสมบูรณ์ส่ายหัวถอนหายใจแล้วชี้ไปที่ผู้ชายน่ารักคนนั้นพร้อมกับบอกฉันว่า...
“พูดอะไรเพ้อเจ้อนะคุณ นั่นเพื่อนผมต่างหาก”