ฉันชะงักไปครู่ใหญ่พร้อมกับกะพริบตาปริบๆ ไม่ค่อยเข้าใจนัก… นี่มุขปะวะ 55555+ น้องเค้าพูดขำๆ ถูกมะ
“ไม่ได้เข้าค่ายลูกเสืออยู่นะ จะมาท่องไรแบบนี้เนี่ย” ฉันยิ้มและหัวเราะเพื่อไม่ให้น้องเล่นมุขเก้อแต่เหมือนน้องจะไม่ค่อยเก็ตสิ่งที่ฉันบอก
“ทำไมอ่ะ ท่องนอกค่ายไม่ได้เหรอ เราก็ท่องตลอด” น้องย่นคิ้วงง แต่ฉันงงกว่า นี่เกิดมาในสังคมแบบไหนวะเนี่ย
“ปกติคนอื่นเค้าไม่ท่องกันนี่ มันตลกออก”
“ตลกเหรอ?” น้องโยทำหน้านอยด์และหงอยจนฉันสงสาร “ที่บ้านเราก็ท่องกันก่อนกินข้าวทั้งบ้าน”
เหตุผลของน้องทำให้ฉันอยากจะขอดูรูปครอบครัว อนาคตว่าที่แม่ผัวและพ่อเขย น้องโยกำลังทำให้ฉันกลัวนะเนี่ย นี่ถ้าฉันอิมพอร์ตเข้าครอบครัวน้องไป ฉันจะต้องตบฉากก่อนกินข้าวด้วยมั้ยเนี่ย!
“ก็แบบว่า คนอื่นเขาไม่ทำกันอ่ะ เรากินกันปกติเถอะ”
“ของขวัญ” จู่ๆ น้องก็เรียกชื่อฉันขึ้นมา ฉันยิ้มให้แล้วส่งสายตาที่มีเครื่องหมายคำถาม “การที่เราทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เราทำมันแย่นะ”
ฉันอึ้งไปเล็กน้อยกับคำพูดและสีหน้าจริงจังของน้อง คือฉันก็ไม่ได้บอกว่ามันแย่ แต่แบบเข้าใจปะ มันตลกอ่ะ ฉันเลิกทำตั้งแต่มอสามละอะ ละฉันก็ไม่เคยทำนอกค่ายด้วย
“เราไม่ได้ทำผิดกฎหมายสักหน่อย” น้องโยยังคงดื้อและแอบงอนที่ฉันปฏิเสธที่จะทำตามน้อง ฉันยิ้มแห้งแต่ก็ไม่เอาใจน้องหรอก มันไม่ผิดกฎหมายก็จริง แต่มันผิดแผกแปลกจากชาวบ้านไง แค่น้องพนมมือขึ้นมาแล้วทำท่าสวด คนในร้านเขาก็มองแล้ว ฉันไม่ชอบเป็นจุดเด่นด้วย
“ก็ขอบคุณในใจก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องท่องเลยนี่” ฉันพยายามหาทางออกให้พวกเรา น้องถอนหายใจก่อนจะหลับตาเหมือนภาวนาในใจตามที่ฉันบอกก่อนจะยิ้มให้ตอนที่ทำเสร็จ
ตรงนี้แหละ ที่ฉันเริ่มจะทบทวนตัวเองแล้ว ว่าฉันควรไปต่อหรือพอกับน้อง… ฉันก็อยากพอนะ แต่หน้าน้องโยมันทำให้ฉันลังเลมาก เออ ลองดูก่อนละกัน
“ของขวัญ”
“ฮะ” ฉันมองหน้าน้องอีกตอนที่น้องเรียก น้องกำลังหยิบหมูขึ้นมาปิ้งบนเตาแล้วเอาตะเกียบเขาตีตะเกียบฉัน
“เธอไม่ต้องปิ้งหรอก เดี๋ยวเราจัดการเอง”
เฮ้ย… น่ารักว่ะ
ฉันอมยิ้มตอนที่น้องพูด เพราะการที่เขาอาสาทำให้มันแอบประทับใจฉันนิดๆ แบบว่าปกติ ผู้ชายชอบมองว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของผู้หญิง แม้แต่อีน้องปั๊กก็ยังชอบปล่อยให้ฉันทำเอง หรือส่วนใหญ่ก็ต่างคนต่างปิ้ง แต่การที่น้องบอกฉันมันทำให้น้องดูสุภาพบุรุษมาก โง้ย ดีอ่ะ ข้อดีอันนี้ลบจุดด้อยที่ท่องบทสวดประหลาดนั่นได้นิดนึงเลยนะ
“ไม่เป็นไรช่วยกัน กินก็กินด้วยกัน แค่โยเลี้ยง เราก็เกรงใจแล้ว”
“เรากลัวมือขวัญโดนเตาอ่ะ เดี๋ยวเราจัดการเอง”
โอ๊ย ผู้ชายสายเทค กลัวมือฉันโดนเตาด้วย ถ้ามือฉันจะโดนอะไรสักอย่างมันคงไม่ใช่เตาอ่ะ น่าจะโดนคนข้างเตามากกว่า น่าขย้ำละเกิน
“เอางั้นเหรอ” ฉันหัวเราะแล้วน้องก็พยักหน้า เมื่อน้องเสนอ ฉันก็สนอง ฉันเลยพยายามช่วยน้องด้วยหนทางอื่นเช่นการหยิบจานหมูยื่นให้ หรือการผสมน้ำจิ้ม น้องดูมีความสุขกับการปิ้งหมูมาก ก่อนที่น้องจะมองฉันแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“เราดูเรื่องอะไรดีอ่ะ” น้องถามฉันขึ้นมาเกี่ยวกับหนังที่เราแพลนจะไปดู ฉันแกล้งคิดนิดหน่อยแล้วตอบน้องด้วยท่าทีที่คิดว่าน่ารัก
“เรื่องอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คาเมนไรเดอร์อ่ะ”
“ของขวัญเลือกมาเลย”
“ดูเดนนรกมะ ที่มาใหม่อ่ะ ยิงๆ บู๊ๆ น่าจะสนุกนะ” ฉันเสนอก่อนที่น้องจะทำหน้าเจื่อนๆ ฉันเดาว่าน้องคงไม่ชอบ น้องนิ่งไปนิดนึงพร้อมย่นคิ้วมองฉันด้วยท่าทีสงสัย
“หนังมันจำกัดเรทไม่ใช่เหรอ คนอายุ 18 ปีขึ้นไปถึงดูได้เพราะมันมีฉากรุนแรง”
“ก็ใช่นะ ทำไมอ่ะ ไม่ชอบบู๊ๆ เหรอ?” ฉันหัวเราะ ก็คิดอยู่นะว่าน้องดูเป็นเด็กเรียนและแอบเนิร์ดๆ กุ๊งกิ๊ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ทว่าฉันไม่รู้น้องกวนตีนฉันหรืออะไร...
“เราชอบนะ แต่เราจะดูได้ไง พวกเราอายุไม่ถึง 18 สักหน่อย”
น่ะ พูดงี้อีกละ น้องกวนไรฉันอีกเนี่ย ก็รู้นะว่าฉันหน้าเด็กแต่อย่ามาแซวให้มากได้มะ
“ไม่อยากดูก็บอกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องอ้างเลย” ฉันเบะหน้าเซ็ง ทำให้น้องลนลานนิดหน่อย
“ไม่ใช่ไม่อยากดู”
“เอาเหอะ ไม่เป็นไร ดูเรื่องอื่นก็ได้แหละ เราไม่ซีหรอก” ฉันถอนหายใจแล้วคีบหมูเข้าปากก่อนจะชะงักเมื่อจู่ๆ น้องก็ลุกขึ้นแล้วเปลี่ยนที่นั่งจากฝั่งตรงข้ามมาข้างฉันแทน! ฉันเบิกตาโพลงตอนที่น้องทิ้งก้นลงใกล้ๆ แถมใกล้จนแขนเสื้อพวกเราโดนกัน การที่น้องทำอย่างนั้นทำให้ฉันเกร็งขึ้นมา
เอ่อ…
“ย้ายที่ทำไมอ่ะ” ฉันกะพริบตาปริบๆ
“เราอยากนั่งตรงนี้อ่ะ ควันมันเข้าหน้า เหม็น” อีน้องโยโม้ไม่ดูสถานที่เลยจริงๆ ควันมันจะโดนหน้าน้องได้ไง ไอ้ที่ดูดควันมันถูกดึงลงมาจนเกือบกลางเตา ดูยังไงเขาก็อ้างชัดๆ
“โม้ อยากนั่งกับเราอะดิ”
“นั่งข้างๆ ดีกว่า นั่งมองหน้ากันแล้วเขิน” น้องพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเท้าคางข้างนึงแล้วหันมาทางฉัน ไอ้คำที่นางบอกกับกิริยาที่แสดงมันแตกต่างกันสิ้นเชิง ถ้าน้องเขินจริง ละน้องจะมายิ้มกรุ้มกริ่มดูฉันที่กำลังคีบหมูใส่ปากและเคี้ยวจนแก้มตุ่ยไปข้างเพื่อ!
นี่แกจะมาแกล้งให้ฉันใจเต้นเหรอ อีเด็กร้ายกาจ!
“เล่นอะไร บ้าบอ” ฉันแกล้งพูดไปงั้นก่อนที่น้องจะทำจมูกฟุดฟิด
“ตัวหอมอ่ะ ใช้น้ำหอมอะไรเหรอ”
“ฮะ” ฉันชะงักเมื่อหันไปแล้วหน้าน้องขยับมาใกล้มากจนฉันต้องถอย น้องเลื่อนสายตาขึ้นมามองนิดหน่อย เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าเขาใกล้เกินไปเลยค่อยๆ เคลื่อนหน้าตัวเองออก
เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้เราทั้งคู่เกร็งกันเข้าไปใหญ่ ฉันไม่แน่ใจเลยว่าอีน้องโยไรนี่นางใสจริง หรือนางแกล้ง เวลานางอ่อยนางก็ดูจะแบบ… แอบมีซัมติงอ่ะ หรือฉันจะคิดมากไปเองวะ
“ก็น้ำหอมทั่วๆ ไปแหละ ชอบเหรอ”
“หอมดี มันหอมอ่อนๆ อ่ะ ปกติผู้หญิงห้องเราไม่ค่อยใช้น้ำหอมกันหรอก ถ้าใช้ก็จะกลิ่นฉุนขึ้นจมูกเลย เราปวดหัวอ่ะ”
“ขนาดนั้นเลย” ฉันหัวเราะ และน้องโยก็พยักหน้าหงึกหงักแบบน่ารัก
“ของขวัญเรียนที่ไหนเหรอ ไว้ผมยาวได้ด้วย ที่ๆ เราเรียนก็ไว้ผมยาวได้นะ เขาไม่ฟิก” น้องโยว่าและนั่นทำให้ฉันย่นคิ้ว แหม มหาลัยไหนๆ ก็ไว้ผมยาวได้มั้ง มีมหาลัยไหนให้ตัดผมเท่าติ่งหูเหมือนตอนมอสามหรือไง ย้อมผมสีเขียวไปเรียนยังได้เลย ถ้าใจมา
“ก็ไม่ไกลจากที่นี่หรอก ทำไม จะไปหาเหรอ?” ฉันแกล้งๆ ถาม และแอบอยากจะชวนน้องไปมหาลัยของฉันเหมือนกัน เผื่อว่าจะได้ควงไปโฉบหน้าอีน้องปั๊กเล่นๆ ให้มันรู้ไว้ซะว่าฉันอ่ะไม่ได้แคร์มันแล้วและมีเด็กใหม่ใสๆ และดีมากมาจีบ ลาก่อน ลาขาดอะจ้า
“อยากให้ไปเหรอ?” น้องถาม
“ไม่รู้สิ” ฉันแกล้งเล่นตัวแล้วยิ้มๆ ก่อนจะคีบหมูให้น้องชิ้นนึง “กินมั่ง มัวแต่คุยอยู่นั่นแหละ”
น้องหัวเราะกุ๊งกิ๊งแล้วก็กินตามที่ฉันสั่ง ฉันมองยิ้มๆ แล้วเริ่มชวนน้องคุยอีก
“เห็นบอกว่าเรียนวิทยา งั้นก็เก่งวิทยาศาสตร์อ่ะดิ เคมี ชีวะ งี้แน่นเลยปะ”
“น่าจะเรียนปีหน้านะ เคมี ชีวะ น่าจะได้เรียนปรับพื้นฐานตอนปิดเทอมอ่ะ อาจารย์บอกอย่างนี้นะ” น้องอธิบาย ฉันก็พยายามจะเข้าใจแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“เรียนช่วงซัมเมอร์อะเหรอ” ฉันว่า ซัมเมอร์คือการลงหน่วยกิตเรียนเพิ่มนอกจากภาควิชาเรียนปกติ อารมณ์เหมือนปิดเทอม แต่ก็ลงเรียนเพิ่มเพื่อจะเก็บหน่วยกิตให้ครบก่อนเรียนจบอะไรงี้ น้องทำหน้างงนิดนึง
“ซัมเมอร์คืออะไรเหรอ เรียนช่วงเมษาอะ ร้อนๆ ก็ซัมเมอร์ล่ะมั้ง”
“ขยันเนอะ”
“ไม่อ่ะ เราเบื่อจะตาย แค่เรียนวิทพื้นฐานเราก็เบื่อจะตายอยู่ละ แล้วยังต้องเรียนวิทย์เพิ่มเติมอีก น่าเบื่อมาก”