ตอนที่ 11 บุปผาโลหิต (2)

2153 Words
ตอนที่ 11 บุปผาโลหิต (2) นางชะงัก กะพริบตาปริบๆ ราวกับว่าเมื่อครู่นั้นมิใช่คำพูดของเยียนจิ่ง กว่าจะควานหาคำพูดได้เขาก็เดินไปไกลแล้ว เหลือแต่เพียงเสียงทุ้มต่ำที่ลอยมากับลม “เสี่ยวเยียนขาดมารดาไม่ได้หรอกนะ” จู่ๆ ตัวนางก็สั่นสะท้าน ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เหตุใดคำพูดเมื่อครู่จึงคล้ายคำอ้อนวอน ไม่ใช่หรอก...คนอย่างเขาไม่เคยขอร้องอ้อนวอนผู้ใด นางสะบัดศีรษะ สนใจทารกน้อยในอ้อมกอด มองใบหน้าขาวซีดด้วยความอาดูร เมื่อไร้ซึ่งผู้คนโดยรอบ องค์หญิงน้อยแห่งเผ่าสวรรค์จึงลอบจุมพิตหน้าผากกลมของเสี่ยวเยียน กระซิบเสียงหวาน “ลูกแม่...แม่จะพาเจ้ากลับสวรรค์เก้าชั้นฟ้า รอก่อนเถิด รอจนเจ้าแข็งแรงพอ” นางต้องหาลั่วเซียงให้พบ หลังจากที่ลูกของนางแข็งแรงดีแล้วนางจะพาเขากลับสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต่อให้เยียนจิ่งคิดใช้อำนาจของเผ่ามารมาทวงเด็กคนนี้คืน นางก็จะสาบานว่าแม้ต้องแลกด้วยชีวิตเด็กคนนี้จะต้องอยู่ห่างจักรพรรดิชั่วคนนั้นให้มากที่สุด หม่านหงดูแลเสี่ยวเยียนจนมืดค่ำ ทว่ากลับไม่เห็นวี่แววของคนที่จะมารับตัวทารกน้อยแต่อย่างใด สมองขบคิดเรื่องของเด็กน้อยที่หลับตาพริ้มราวกับมิได้รับรู้ถึงความมึนตึงระหว่างนางและเยียนจิ่ง ก่อนหน้านี้ทารกน้อยที่ผู้คนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเข้าใจว่าเป็นบุตรของเสด็จอา แท้จริงแล้วเป็นลูกครึ่งเทพมาร ทว่าด้วยการเลี้ยงดูของเสด็จอาทำให้เด็กทั้งสามยังคงมีชีวิตอยู่ ลูกของนางเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมาร จะว่าไปแล้วดวงจิตของเขามีทั้งดวงจิตเทพและมารรวมกัน เพียงแต่ด้วยตบะอันน้อยนิดทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง จำต้องมีพลังทั้งสองสายค้ำจุน หม่านหงคิดถึงขนนกสีทองของเทียนเฟิ่ง นางเสกขนนกไว้บนฝ่ามือ กลิ่นหอมที่คล้ายคลึงกับเยียนจิ่งนี้คล้ายกับว่ามีพลังมารอีกส่วนหนึ่งถูกผนึกไว้ นางหลับตาลง เพ่งสมาธิไปยังขนนกสีทอง กลิ่นอายมารพลันเข้มข้นขึ้น เข้มข้นเสียจนขนกายของนางลุกชัน ขณะเดียวกันพลังของเทียนเฟิ่งกลับช่วยสะกดพลังนี้ไว้ได้อย่างสมดุล หม่านหงเปิดเปลือกตา พลันพบว่าพลังทั้งสองสายค่อยๆ ถ่ายเทไปยังร่างของทารกน้อยตรงหน้า ใบหน้าอันไร้เดียงสายังคงหลับพริ้ม เปลือกตาขยับไหวเล็กน้อย นางปล่อยมือจากขนนก ทันใดนั้นมันก็ลอยไปยังฝ่ามือของเสี่ยวเยียน ใบหน้าขาวเผือดของเสี่ยวเยียนพลันปรากฏเส้นเลือดฝาด ครั้นนางลองแตะชีพจรของเขา พลันรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งสองสายไหลเวียนอย่างสมดุล ดวงตาคู่งามไหวระริกอย่างตื่นเต้นระคนยินดี แรงกระชากจากข้อมือโดยที่นางไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างบางเซถลาจนตกเก้าอี้ เยียนจิ่งมองนางด้วยสายตาแดงก่ำดุดัน ตวาดนางเสียงกร้าว “ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าเขาไม่สามารถรับพลังทีเดียวได้!” หม่านหงข่มกลั้นความเจ็บปวด นางหยัดกายขึ้น “ข้ามิได้ถ่ายพลัง” “หุบปาก! เจ้าอยากให้เขาตายนักใช่หรือไม่” มือข้างหนึ่งของเยียนจิ่งบีบไหล่บางจนนางตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด “ท่านไม่ฟังข้า” “ที่ข้าเห็นอยู่นี่ยังไม่พอหรือ” เพียะ! ใบหน้าของเขามิได้หันตามแรงตบ แววตาของจักรพรรดิมารวาวโรจน์ แดงก่ำด้วยโทสะทั้งหมด เขาแค่นเสียงเหี้ยม “เจ้ามิได้มีความเป็นมารดาเลยแม้แต่น้อย” นางผลักเขาออกห่าง ทว่าแรงบีบที่หัวไหล่ยิ่งทำให้นางเจ็บปวดจนแทบทรุด พยายามแกะมือของเขาออกเท่าไรก็ไร้ผล ดวงตาของนางแดงเรื่อ น้ำตาจวนเจียนจะไหล ทว่านางกลับพยายามข่มกลั้นมิให้มันไหลออกมา กลีบปากบางสั่นระริก “เป็นท่านต่างหากที่ไร้ความเป็นบิดา โอหังจนดวงตามืดบอด ปล่อยให้ความแค้นบดบังสายตา ไม่ช้านานรอบตัวก็จะไร้คนเคียงข้าง” เยียนจิ่งปล่อยนาง หันไปสนใจลูกน้อยที่เริ่มร้องไห้ ดวงหน้าเล็กแดงก่ำเพราะแรงตะเบ็ง ขณะเดียวกันเสียงสะอึกสะอื้นของลูกน้อยยิ่งทำให้หม่านหงเจ็บปวด นางเหลือบมองทารกที่เยียนจิ่งยกขึ้นมาแนบอก สบถสาบานกับตัวเองว่านางจะต้องพาเขากลับไปให้ได้ เยียนจิ่งใช้สายตาเย็นชามองนาง น้ำเสียงเย็นเยียบ “หากเขาเป็นอะไรไป ข้าจะทำให้เจ้าอยู่มิสู้ตาย” อยู่มิสู้ตาย? เขากล้าพูดคำนี้ทั้งๆ ที่เคยกระทำกับข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง นางแค่นหัวเราะราวกับคนวิปลาส มือทั้งสองกำหมัดแน่นด้วยความคั่งแค้น “หึ...” เดิมแล้วเขาคิดจะก้าวจากไป ทว่าเสียงหัวเราะอันร้าวรานจากหม่านหงทำให้ขาทั้งสองข้างมิอาจก้าวออก เสี่ยวเยียนหลับตาพริ้มทั้งๆ ที่ยังมีเม็ดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ขณะเดียวกันใบหน้าของเขากลับมีรอยเลือดฝาดขึ้นมาจนเขานึกประหลาดใจ มือหนาแตะลำคอของเด็กน้อย พลันรับรู้ถึงชีพจรที่เต้นอย่างสงบ นางทำอย่างไรจนเด็กคนนี้...ชีพจรไม่สับสนอีกต่อไปแล้ว เยียนจิ่งหันหลังมองนางอีกครั้ง พลันพบว่าหม่านหงกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาคั่งแค้น ราวกับว่านางพร้อมจะพลีชีพทุกเมื่อเพื่อทำร้ายเขา แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่ยังค้ำคออยู่ทำให้เขาฝืนมองเมินนาง กล่าวเสียงเหี้ยม “หากต้องการให้คนของเจ้าปลอดภัย จงอย่าได้คิดหนีไปจากที่นี่” ถ้อยคำนั้นเป็นดั่งประกาศิต แม้น้ำเสียงจะอ่อนลงอยู่บ้าง แต่มิอาจช่วยดับโทสะในอกของหม่านหงให้มอดดับได้ นางแค่นเสียงอย่างยากลำบาก ระเบิดเสียงหัวเราะไล่ตามเขาราวกับคนวิปลาส “เยียนจิ่ง...เป็นท่านต่างหากที่ต้องทนทรมานราวกับอยู่มิสู้ตาย” นางทรุดกายลงบนพื้น ตัวสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น นางแพ้แล้ว...พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ความปวดร้าวในอกที่นางสัมผัสได้นี้คืออะไรกัน เหตุใดเขาจึงสงบนิ่งอยู่ได้ด้วยการทำร้ายจิตใจของนาง หรือแม้แต่การที่เสด็จปู่ของนางได้รับโทษทัณฑ์ไปแล้วก็หาได้คลายความแค้นในอกของเขาไม่ ในเมื่อเขามิได้สนใจไยดีนาง เหตุใดจึงต้องรั้งนางให้อยู่โดยการใช้ชีวิตผู้อื่นเป็นเดิมพัน ก่อนหน้านี้ยังไม่เพียงพอใช่หรือไม่ อาการของเสี่ยวเยียนดีวันดีคืนโดยที่เยียนจิ่งไม่ต้องถ่ายพลังให้เขาแล้ว เขาใช้เวลาขบคิดอยู่หลายวัน บนฝ่ามือของเสี่ยวเยียนมีร่องรอยของขนนกสีแดงจางๆ จากวันแรกที่สีเข้ม บัดนี้แทบไม่เห็นร่องรอยแล้ว กระแสลมปราณในร่างของทารกน้อยสงบมั่นคง ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย หนฺวี่อวี้ เป็นพลังปราณของหนฺวี่อวี้ ทว่าเขาไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร ขนนั้นเส้นนั้นเป็นของเทียนเฟิ่งแน่นอน เพราะทั้งหกภพภูมินี้มีเพียงเทียนเฟิ่งเท่านั้นที่มีขนสีทองเช่นนั้น เยียนจิ่งจึงพึ่งตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องนี้มิใช่ความผิดของหม่านหงเลยแม้แต่น้อย เขาฝากลูกไว้กับลี่กวง คิดไปขอโทษนางสักคำ ทว่าระหว่างทางกลับได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกของชายหญิง เมื่อเขาหันไปตามเสียง พลันพบว่าสือเฟิงและหม่านหงกำลังนั่งสนทนากันอย่างออกรส โทสะอันไร้ที่มาพลันผุดวาบ แผ่ไอเย็นเสียจนคนทั้งสองสะดุ้งเฮือก หม่านหงชะงักเล็กน้อย นางเหลือบตามอง ทว่ามิได้มีเขาในสายตาเลยแม้แต่น้อย พลันหันไปพูดคุยกับสือเฟิงต่อ “เสด็จพี่ หากอยากสนทนากับพวกเราก็เข้ามา” คราวนี้สือเฟิงมิได้มีท่าทีหวาดกลัวเยียนจิ่งอีกต่อไปแล้ว เขาหรี่ตามองผู้เป็นพี่ชาย กล่าวเสียงขุ่น “หาไม่แล้วก็อย่าได้ทำลายบรรยากาศดีๆ ระหว่างเรา” “สือเฟิง ท่านบอกว่าป่าทางทิศตะวันตกมีสัตว์อสูรแปลกประหลาดมากมาย ข้าอยากเห็น” น้ำเสียงอ่อนหวานยามนางพูดกับสือเฟิงทำให้เยียนจิ่งแค่นเสียงเย็น ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบแผ่ไอเย็นมากกว่าเดิม นางกลับขยับเข้าไปกระซิบข้างหูสือเฟิง “ข้าหนาวแล้ว ไปนั่งเล่นที่เรือนข้าดีหรือไม่” ประเสริฐ! นางถึงกับกล้าชักชวนบุรุษกลับเรือน ครานี้สือเฟิงไม่อาจเล่นตามนางได้ เขาทอดถอนใจหนักๆ “ข้าคงไปไม่ได้แล้ว” พลางเหลือบตามองเยียนจิ่ง “มิเช่นนั้นแล้วตำหนักของข้าต้องถูกเขาถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง” “กักขฬะยิ่ง” “ใช่...เอ่อ คราวหน้าข้าจะนำกระดานหมากมาด้วยดีหรือไม่” นางยิ้มกว้าง “ดี” เยียนจิ่งเก็บคำขอโทษไว้ รอกระทั่งสือเฟิงจากไปจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าต้องไปดูเสี่ยวเยียน” “ไม่” นางปฏิเสธ ลุกจากม้านั่งหิน ก่อนจะใช้หางตามองเขา “ไม่จำเป็นอีกต่อไป ลูกของท่านแข็งแรงดีแล้ว ปล่อยข้ากับลั่วเซียงไปได้แล้ว” นางไม่ต้องการคำขอโทษจากคนตรงหน้า ยามนี้เพียงหวังให้ได้มีชีวิตอิสระเพียงเท่านั้น “เจ้า!” เยียนจิ่งมุมปากกระตุก พยายามข่มกลั้นเพื่อมิให้บันดาลโทสะใส่นาง ขณะเดียวกันก็กล้ำกลืนคำขอโทษลงท้อง แค่นเสียงหัวเราะชั่วร้ายพลางกล่าวว่า “ไหนๆ มารดาของเสี่ยวเยียนก็ตายไปแล้ว มิสู้เจ้ามาเป็นมารดาให้เขาเพื่อแลกกับชีวิตคนของเจ้าเล่า” นางกำหมัดแน่น พยายามข่มกลั้นโทสะอย่างถึงที่สุด “ถึงกับใช้วิธีการชั่วช้าเช่นนี้มาข่มขู่ข้า” กลีบปากบางบิดเป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “หรือท่านเผลอมีใจให้ข้าเสียแล้ว” เยียนจิ่งตัวแข็งค้าง เขาน่ะหรือมีใจให้นาง “หึ...” เขากระตุกยิ้มชั่วช้า ใช้การก้าวย่างข่มขวัญจนนางขยับไปไหนไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันตราย ดวงตาคมจับจ้องดวงหน้างามของสตรีตรงหน้า ใช้ปลายนิ้วเชยคางนางขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มอำมหิต “องค์หญิงประเมินตนเองสูงส่งเกินไปกระมัง หรือจดจำฐานะเดิมของตนมิได้แล้ว” นางเบิกตากว้าง คิดปัดมือเขาออก ทว่ามือแกร่งกลับบีบปลายคางนางจนเจ็บแปลบ แขนแกร่งโอบรัดร่างเล็กจนเบียดชิด กลิ่นอายของเขาปกคลุมตัวนาง แรงบีบรัดตรงเอวยิ่งทำให้ร่างทั้งสองเบียดชิดจนใบหน้าของนางขึ้นสีอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็ก “อย่าได้ตบตาข้าเลย องค์หญิงไม่มีทางหลงลืมสัมผัสทุกค่ำคืนระหว่างเราได้หรอก” เพียะ! เสียงนุ่มทุ้มเต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าดึงดูดที่มักจะทำให้สตรีทั่วหล้าต่างก็ต้องยอมก้มหัวให้ บัดนี้กลับกระตุ้นโทสะของนางอย่างรุนแรง เยียนจิ่งแย้มยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้นางใจสั่นด้วยความหวาดกลัว เขาเหลือบมองหน้าอกนางอย่างหยาบช้า ดวงตาคมมองผ่านราวกับสามารถมองทะลุอาภรณ์ของนางได้ ลมหายใจของนางถี่กระชั้นอย่าตื่นตระหนก เพียงครู่เดียวเขาก็ปล่อยร่างของนาง กล่าวเสียงเย็น “ไม่มีคนคอยอุ่นเตียงมานาน เห็นทีคงต้องพึ่งพาองค์หญิงเสียแล้ว” “บังอาจนัก!” นางกัดฟันพูด เนตรหงส์แดงก่ำ นางไม่มีสิทธิ์พาลูกหนีไปยังไม่พอ ยามนี้เขาคิดจะรั้งให้นางทนทุกข์ทรมานอยู่กับเขา ไร้จิตใจเกินไปแล้ว ใช้ชีวิตของลั่วเซียงต่อรองกับนาง เขากุมทุกจุดอ่อนของนางไว้ ยามเป็นมนุษย์เพราะสำนึกในบุญคุณของเสด็จปู่นางจึงยอมชดใช้ให้เขา ยามนี้เขาทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลั่วเซียง คิดใช้ลั่วเซียงเป็นเครื่องมือทรมานจิตใจของนาง หากมิใช่คนหยาบช้า นางก็ไม่รู้จะสรรหาสิ่งใดมาเปรียบเปรยแล้ว เขาปรายตามองนาง ดวงตาคมประดับรอยยิ้มชั่วช้า “ข้าจะปล่อย ลั่วเซียงไป แลกกับการที่เจ้าคอยอุ่นเตียงให้ข้า เป็นอย่างไร คนคุ้นเคยกันดียังจะต้องตระหนกอะไรอีก”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD