ตอนที่ 3 บรรณาการจักรพรรดิมาร (3)

2607 Words
ตอนที่ 3 บรรณาการจักรพรรดิมาร (3)  เมื่อลืมตาตื่น ความมืดมิดที่ได้รับคือของขวัญสำหรับอิสรภาพของนาง ความร้าวระบมกลางกายย้ำเตือนว่าที่ผ่านมามิใช่ความฝัน เทพเซียนหลับฝันตื่นหนึ่ง เท่ากับชั่วชีวิตของมนุษย์ ยามนี้นางหลับไปไม่รู้นานเท่าไร ทว่าเมื่อเทียบกับเวลาอันยาวนานเป็นนิรันดร์ของชีวิตบนเก้าชั้นฟ้า นี่นับเป็นอะไรได้ เท่ากับว่าหลายหมื่นปีที่ผ่านมาความสุขช่างผ่านไปไวนัก บัดนี้เพียงแค่ยังคงรักษาลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง ราวกับกำลังตอบรับความขมขื่นอันยาวนาน นางไม่เคยดวงตามืดบอด คนผู้นั้นแม้จะอ่อนโยนอยู่บ้าง ทว่ากลับเรียกร้องจากนางราวกับว่านางเป็นเพียงทาสอารมณ์ของเขาเท่านั้น ความอัปยศอดสู ความเดือดดาลที่ปะทุขึ้น ค่อยๆ กัดกินใจนางทีละน้อย แท้จริงแล้วเสด็จปู่ทำอะไรให้เขาแค้นเคืองนั้น นางยังไม่ทราบคำตอบที่แท้จริง สาวใช้ปรนนิบัตินางล้างหน้าล้างตา ช่วยสางผมและเกล้ามวยอย่างเรียบง่าย หลังจากนั้นจึงยกอาหารเข้ามา ด้วยเพราะใช้ความคิดมาตั้งแต่ตอนตื่นนอน ก่อนนอนนางมิได้กินอะไรเลยแม้แต่น้อย ยามนี้จึงไม่อาจทานทนต่อความหิวได้ สาวใช้นางนี้ช่างดีนัก ยังช่วยป้อนอาหารให้นางราวกับเด็กเล็กๆ รสชาติอาหารของมนุษย์ยังอบอวลในปาก น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงข้างแก้ม แท้จริงแล้วนางยังคงเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะเข้ามายังแดนมาร แต่รสชาติของอาหารในปากกลับทำให้นางโหยหาจวนมหาเสนาบดีเหลือเกิน ไม่สิ...นางชื่นชอบบรรยากาศในสำนักคุนหลุน ชอบตอนได้ร่ำเรียนการบำเพ็ญจากอาจารย์ ชอบตอนได้หัวเราะร่วมกับสหายในสำนัก ชอบตอนที่ไม่ต้องคิดมากว่าจะทำอย่างไรให้พี่เฉียนยอมรับในตัวนาง ความเพลิดเพลินเพียงไม่กี่ปีในสำนักคุนหลุน สุกสว่างพร่างพรายในความคิดราวกับพลุไฟลูกใหญ่ และมอดดับลงอย่างรวดเร็วเมื่อชะตาชีวิตของนางมิใช่นางกำหนด “แม่นางกินอาหารได้มากเช่นนี้ นายท่านต้องพอใจอย่างแน่นอน” นายท่านทำให้ลำคอของนางฝืดเฝื่อน มือเรียวค่อยๆ คลำหาน้ำชา สาวใช้รีบช่วยประคองถ้วยชาไว้ในมือ นางกล่าวขอบคุณเสียงแผ่ว “ขอบคุณ” “เสียงของท่านไพเราะ เหตุใดจึงไม่ยอมพูดเล่าเจ้าคะ” หม่านหงยิ้มบาง วางถ้วยชาแล้วกล่าวว่า “ข้าอิ่มแล้ว” สาวใช้ไม่ซักไซ้นางอีก ช่วยประคองนางไปที่เตียง หลังจากนั้นจึงเก็บสำรับออกไป แม่นาง? กลีบปากบางกดลึก ร่วมรักกับนางทั้งคืน แม้แต่ชื่อเขานางก็ยังไม่ทราบ สาวใช้ทำราวกับนางเป็นแขกผู้มาเยือน ตำแหน่งสตรีอุ่นเตียงนี้ช่างน่าสรรเสริญนัก เขาทำให้นางตาบอด ยึดอิสรภาพของนางไปอย่างเลือดเย็น แท้จริงแล้วนางยังสามารถทำอะไรได้นอกจากนั่งรอเขาอย่างโง่งม นางก็รอเขาอย่างโง่งมจริงๆ นางโง่เขลาถึงเพียงนี้... ตกดึกนางได้ยินเสียงจิ้งหรีด อากาศเย็นจนต้องซุกกายใต้ผ้าห่ม ทว่าขณะที่นางกำลังเคลิ้มหลับนั้น ผ้าห่มบนตัวพลันถูกเลิกออก นางงัวเงียครู่หนึ่ง มือที่กำลังคลำผ้าห่มถูกคว้าไว้แน่น ร่างของนางถูกผลักลงบนเตียงแข็ง สายรัดเอวถูกกระตุกอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมจากตัวเขาทำให้นางมึนงง เพียงชั่วลมหายใจตัวนางก็เหลือเพียงเอี๊ยมตัวบาง มือเย็นเฉียบสอดผ่านชายเอี๊ยมขึ้นมาด้านบน กอบกุมความนุ่มหยุ่นอย่างรุนแรง ครานี้มิได้อ่อนโยนอย่างคราแรก กลิ่นสุรารุนแรงจนนางแสบจมูก หม่านหงอุทานด้วยความเจ็บปวด ทว่าเขากลับมิได้สนใจ ปลายลิ้นอุ่นลากไล้ ฟันคมกัดผิวเนื้อของนางผ่านเอี๊ยมตัวบาง นางหนีบขาโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับถูกขาของเขาเบียดทับเอาไว้ หม่านหงสะอื้นเมื่อบางสิ่งที่แข็งขืนกำลังสัมผัสตรงท้องน้อย ตระหนักได้ในทันทีว่าเขากำลังข่มเหงนางอีกครา ความเจ็บปวดเมื่อคืนวานยังคงตกค้าง คนใจร้ายผู้นี้กลับมิได้ใส่ใจนางเลยแม้แต่น้อย เมื่อปลายนิ้วของเขาลากผ่านกลีบบุปผาอันพรั่งพร้อม ก็พลันเบียดแทรกเข้ามาในทันที ไม่ปลอบประโลม ไม่รั้งรอ กระแทกกระทั้นลงมาอย่างหยาบช้า นางทำได้เพียงข่มกลั้นความรวดร้าว แม้จะไม่อยากตอบรับสัมผัสอันรัญจวน ทว่าร่างกายกลับไม่เชื่อฟังนางเลยแม้แต่น้อย นางกัดฟันแน่น สาบานกับตนเองว่าจะไม่ส่งเสียงออกมาให้เขาสมเพชอย่างเด็ดขาด เมื่อเขาต้องการตักตวงความสุขสมจากนาง ก็ได้เพียงร่างกายของนางเท่านั้น ทว่าส่วนลึกในใจของนางกำลังเรียกร้องสัมผัสจากเขา แม้จะพยายามฝืน กลับไม่รู้ตัวเลยว่าความดำมืดในจิตใจของผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารังเกียจนาง หรือเพราะเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว เมื่อร่วมรักกับนาง นอกจากเสียงคำรามต่ำยามสุขสมปรารถนา เขาล้วนสงวนถ้อยคำและไม่เคยคิดที่จะพูดคุยเรื่องใดกับนาง นางเองก็ไม่พูดคุยกับเขา ค่ำคืนวสันต์ค่อยๆ เป็นไปเช่นนี้ ความสุขสมที่นางได้รับเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความใคร่เท่านั้น นางหลับใหลไปอย่างเหนื่อยอ่อนในอ้อมอกของเขา เรียนรู้ที่จะไม่เรียกร้อง ไม่ปรารถนาสิ่งใด ยามนี้เขาคือเจ้าชีวิตของนางแล้ว ชีวิตที่น่าสิ้นหวังของนางถูกเขาควบคุมไว้ตั้งแต่วันนั้นในเกี้ยวเจ้าสาว กลิ่นอายมารจากตัวเขาเผยออกมาเมื่อขับเคี่ยวกายนางจนถึงที่สุด ราวกับจะรีดเร้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่นางมี มารผู้นี้มีความแค้นกับท่านปู่ของนางล้ำลึก… เมื่อมารู้ความจริงในภายหลัง สมควรเรียกได้ว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่นางเกิดมาเสียด้วยซ้ำ ยามเช้าสาวใช้ปรนนิบัตินางอาบน้ำ หลังจากป้อนข้าวเสร็จก็ปล่อยให้นางนั่งริมหน้าต่าง สูดดมกลิ่นหอมของหมู่มวลบุปผาในแดนมาร เมื่อถึงยามเที่ยงคืน ปรากฏว่าคนผู้นั้นมาร่วมกินข้าวกับนาง เขาปล่อยให้สาวใช้ทำหน้าที่ ตัวเขาเพียงนั่งมองนางเงียบๆ หม่านหงจึงเพิ่งทราบว่ามารก็เหมือนเทพเซียน เมื่อตบะแก่กล้าก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหารของมนุษย์ หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วนางนึกว่าเขาจะกลับไป ทว่ามิได้เป็นเช่นนั้น เขาช้อนตัวนางขึ้น พาไปยังที่แห่งหนึ่ง หม่านหงสัมผัสได้ถึงกลิ่นชื้นและกระแสลมจากลำน้ำ ใบหน้าซีดเซียวจึงมีเลือดฝาด เขาปล่อยนางไว้เช่นนั้น เฝ้ามองนางไม่ห่าง “นานมาแล้ว...” เขาเอ่ยท่ามกลางความเงียบ ทำให้นางสะดุ้งน้อยๆ “มีสตรีเพียงหนึ่งเดียวในหกภพภูมินี้ที่ข้าสามารถก้มหัวให้ได้ เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถมอบสมญานามหนึ่งยิ้มพิฆาตใจให้ได้ เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ประเสริฐเหนือสตรีใด บริสุทธิ์เหนือสตรีใด” เขาลอบมองสีหน้าของนาง ไม่รู้ว่านางจะระลึกถึงเรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่ ดวงตาคมมองใบหน้าดวงนั้นด้วยความรู้สึกนับร้อยพัน เล่าต่อไป “นางมีความรักกับเทพองค์หนึ่ง ทว่ากลับถูกสหายสนิทอีกคนใช้มนตร์สะกด ล่อลวงนางไปยังที่รโหฐาน ข่มเหงย่ำยีนางจนตั้งครรภ์” หม่านหงเผลอกำหมัด ทั่วทั้งกายพลันสั่นสะท้าน หน่วยตาพลันมีน้ำเอ่อคลอทว่ากลับมิได้หลั่งรินลงมาแต่อย่างใด ทำร้ายสตรีที่เป็นสหายสนิทด้วยการข่มเหงย่ำยี เท่ากับว่าฆ่านางให้ตายทั้งเป็น ไม่ต่างจากสิ่งที่คนผู้นี้ทำกับข้าเลยแม้แต่น้อย “นางตั้งครรภ์ ทว่ากลับแสร้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงเป็นสตรีที่มีเมตตาดังเดิม ในขณะที่คนผู้นั้นขึ้นเป็นใหญ่ กระทั่งวันหนึ่งนางคิดได้ มีสิ่งหนึ่งที่ใช้แบ่งชั้นระหว่างภพภูมิอื่นและเทพเซียน นางต้องการเรียกร้องความเสมอภาคในสิ่งนี้ จึงได้ไปขอร้องเขา ทว่าเดรัจฉานผู้นั้นกลับลุ่มหลงในกามารมณ์ แม้แต่จิตมารยังไม่อาจระงับ ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อนาง เมื่อนางตั้งครรภ์อีกครั้งเขากลับปล่อยให้นางรับทัณฑ์สวรรค์ กระทั่งร่างของนางมิอาจต้านรับไหว...สุดท้าย” หม่านหงสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงอันสั่นไหวจากเขา นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เรื่องเล่าเหล่านี้...หากนางจะบอกเขาว่านางไม่เคยทราบมาก่อน เขาคงไม่เชื่อถือ นางกัดริมฝีปาก แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเรื่องราว เรื่องนี้ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับปู่ของนางเป็นแน่แท้ ทว่าท่านปู่ที่นางเคารพรักจะกระทำการอันหยาบช้าเช่นนั้นได้อย่างไร เรื่องนี้นางต้องขบคิดให้มาก มิใช่ว่าจะถูกเขาปั่นหัวได้โดยง่าย “หึ...เจ้าอาจไม่เชื่อถือ ข้าก็ไม่มีหลักฐานอะไร” หม่านหงกัดฟันแน่น หึ...คนผู้นี้ใช้กำลังข่มเหงนาง...แม้ว่านางจะเผลอไผลไปบ้าง แต่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องที่เขาเล่า เขามิได้มีค่าอะไรให้นางเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสังเกตสีหน้าของนาง ดวงตาทอประกายเย็นชา “อา...ลืมไปว่าเจ้าเป็นมนุษย์ เช่นนั้นเมื่อถึงคราวที่ข้ามสะพานไน่เหอ[1]เจ้าคงเข้าใจว่าข้าหมายความว่าอย่างไร” ถ้อยคำร้ายกาจจากเขาทำให้นางต้องข่มกลั้นโทสะ นางไม่มีทางพูดกับเขา ไม่มีทางให้ความคิดของตนเองแปดเปื้อนเพราะเขา หม่านหงสูดลมหายใจลึกขึ้น ความเดือดดาลพลันสลายไปกว่าครึ่ง เขาไม่รู้ว่านางยังคงจดจำทุกอย่างได้...เช่นนี้ก็ดี หากแม้นว่าเรื่องที่เล่ามานั้นเป็นความจริง นางในฐานะที่จุติมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ก็จะช่วยบรรเทาโทสะนั้นให้กับเขาเอง ริมฝีปากบางปรากฏส่วนโค้งเย้ยหยัน เผื่อว่าวันหนึ่ง...ผลแห่งการเสียสละนี้จะช่วยให้นางสามารถตามกลับมาทวงหนี้แค้นกับเขาอย่างสาสมได้ นอกจากสัมผัสทางกามารมณ์ นับได้ว่าคนผู้นี้ก็ดูแลนางเป็นอย่างดี ทุกคืนเขาจะเข้ามาปลดปล่อยกามราคะ หลังจากนั้นช่วงสายจะกลับมาพานางไปสูดกลิ่นเย็นสดชื่น แม้เสียงของนางจะกลับมาแล้ว แต่นางก็มิได้กล่าวออกมาแม้สักคำ เทพเซียนมีอายุยืนยาวชั่วนิรันดร์ มารก็มีชีวิตยืนยาวชั่วนิรันดร์ โดยเฉพาะเผ่ามาร ล้วนแล้วแต่มีกิตติศัพท์อันเลื่องลือถึงความรู้สึกที่ฝังใจจนไม่อาจลบเลือน ผ่านมาแสนปีหมื่นปี ใช่ว่าจะลบเลือนกันได้ง่าย หม่านหงได้ฟังนิทานจากเขา วันแล้ววันเล่า แม้ดวงตาของนางจะมองไม่เห็น แต่กลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวและคับแค้นใจจากคนผู้นี้ยิ่งนัก เขามาหานางอีกแล้ว... หลังจากผ่านราตรีที่สิบไป นอกจากช่วงที่นางมีระดู หากเขาไม่ติดพันภารกิจอะไรก็จะเข้ามาหานางแทบทุกคืน บ้างก็เคี่ยวกรำนาง บ้างก็ให้นางช่วยปลดปล่อยอารมณ์ให้เขา ในเมื่อดวงตาของนางมืดบอด ความขลาดอายจึงค่อยๆ หายไป นางมิใช่คนโง่เขลา และยามนี้นางก็มิใช่หม่านหงที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว เสียงสวบสาบของอาภรณ์ดังขึ้นไม่ไกลจากเตียงที่นางนั่งอยู่ ยามนี้เส้นผมของนางมิได้เกล้ามวยขึ้น เนื่องจากเพิ่งชำระล้างร่างกายเสร็จ สาวใช้นามลี่กวงช่วยนางแต่งตัวอย่างเรียบง่าย มีเพียงอาภรณ์ตัวบางผืนเดียวที่ช่วยปกปิดความงดงามของร่างกายไว้ ทำราวกับนางเป็นนางคณิกาที่คอยบำเรอกามให้กับแขกที่ผ่านไปมา หม่านหงเกร็งตัว อาศัยพลังเซียนเพียงน้อยนิดคาดเดาย่างก้าวของเขา นึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อยามนั้นนางน่าจะตั้งใจร่ำเรียนในสำนักให้มากกว่านี้ หากเลิกใช้ปัญญาไปกับการหาทางเข้าใกล้เฉียนเวย ตบะของนางคงไม่ต่ำต้อยนัก กลิ่นหอมประจำกายเขาลอยเข้ามา ครานี้เขามิได้ผลักนางให้ล้มลงบนเตียง ทว่ากลับช้อนตัวนางขึ้น ผ่านม่านโปร่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ไอร้อนทำให้นางตื่นตัว ขณะเดียวกันเมื่อคิดได้ว่าตนเองกำลังอยู่ในบริเวณบ่อน้ำร้อนกับเขาก็พลันแตกตื่น เผลอจิกเล็บลงบนบ่าหนา “หวาดกลัวอันใด” เขากล่าวเสียงเยาะหยัน “คร่ำครวญใต้ร่างข้าเกือบทุกคืน ยังไม่คุ้นเคยอีกหรือ” นางไม่เคยร่วมรักกับเขาในสถานที่เช่นนี้ เพียงแค่คิดพวงแก้มก็ขึ้นสี ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มปล่อยให้นางยืน มือกระชากอาภรณ์ตัวบางออกจากร่างกายบอบบาง มองเห็นเรือนร่างงดงามภายใต้แสงสลัวจากไข่มุกราตรี หากมองข้ามดวงตาคู่งามอันไร้แววที่เกิดจากฝีมือของเขา นับได้ว่านางงดงามเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสัดส่วนของสตรี ผลท้อตรงหน้าแตกต่างจากวันแรกที่รับนางเข้ามาอย่างมาก... แท้จริงแล้วร่างกายของนางเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ไอมารจากตัวเขาแทรกซึมเข้าไปในกายนาง เส้นผมดำขลับมีประกายสีเดียวกับเส้นผมของเขา อีกทั้งกลีบปากอิ่มเต็มนั้นก็แดงเรื่อราวกับผลอิงเถา[2] เขากวาดตามองเรือนร่างของนางอย่างเผลอไผล ลำคอพลันแห้งผาก มือสากรั้งเส้นผมยาวสยายที่ปกคลุมแผ่นหลังบอบบางเพื่อให้นางเงยหน้าขึ้น กลีบปากบางเผยอเล็กน้อยอย่างรู้งาน เมื่อเขาประทับริมฝีปากลงไป นางก็สอดลิ้นเล็กตอบรับ มือเรียวมิได้อยู่นิ่งอีกต่อไป นางโอบรอบเอวเขา เมื่อเขาอุ้มขึ้น นางก็ปล่อยให้เขาโอบอุ้มอย่างว่าง่าย พาทั้งสองร่างไปยังบ่อน้ำร้อน เรือนผมแผ่สยายกระจายไปทั่วท้องน้ำ บางส่วนปกคลุมเนินเนื้อนุ่มหยุ่นที่เบียดชิดกับอกของเขา ลำแขนเรียวเล็กเลื่อนขึ้นโอบรอบคอเขาเพื่อทรงตัว ขณะเดียวกันเมื่อเขาเลื่อนไล่กลีบปากไปที่ลำคอขาวผ่อง ขบเม้มดูดดึงปทุมถันที่ชูชันเบียดชิด นางจึงหยัดกายมอบเรือนร่างให้เขาสัมผัส ครางแผ่วเมื่อกลีบบุปผาถูกปลายนิ้วรุกล้ำ ดวงตาอันไร้แววชื้นฉ่ำ ตอบรับสัมผัสหวามไหวอย่างว่าง่ายราวกับลูกแมว แม้ชายหนุ่มจะแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทว่านั่นยิ่งทำให้เขาเพิ่มระดับความเร่าร้อน จนกระทั่งนางต้องเรียกเขาว่า “นายท่าน” ซ้ำๆ เมื่อนั้นเขาจึงเลิกปั่นหัวนางและพานางไปสู่ทิศทางที่แสนรัญจวน หม่านหงซ่อนน้ำตาได้อย่างแนบเนียน กล้ำกลืนความอัปยศอดสู เสพสมประสบการณ์ที่เขามอบให้ เก็บเกี่ยวทุกความปรารถนาที่เขามีต่อนาง หวังไว้ว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควร นางจะสามารถใช้ดาบเล่มนี้คืนสนองเขาในที่สุด ยามนี้ได้แต่หวังว่าโทษทัณฑ์ที่นางได้รับ จะช่วยบรรเทาความแค้นเคืองที่มีต่อท่านปู่ของนางลงบ้าง [1] สะพานที่อยู่ในโลกหลังความตาย [2] ผลเชอร์รี่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD