จีน พาร์ท
“ตอนเช้ากำลังดีมึง ถ้ามีโอกาสก็สร้างความประทับใจเลย”
“ถ้าไม่เคยอย่าเอาเข้าลึก อ้วกต่อหน้าผู้ไม่ได้นะคะ”
“ใช้มือกับปากพร้อมกันก็ได้ เห็นตรงฐานบอลสองลูกมั้ยเพื่อน เล่นได้แต่อย่าแรง ผู้จุกหดอดรับประทานนะคะ”
ไม่รู้ว่าเขาประทับใจหรือเปล่า แต่พี่ทัพยิ้มไม่หุบเลยตั้งแต่เช้า
เจ้าตัวส่งรูปตอนถึงห้องมาให้ดู พร้อมกับภาพอาหารเช้าที่มีเพียงคุ้กกี้กับกาแฟ เห็นกินแค่นั้นก็อยากจะแปลงโฉมเป็นแม่บ้านให้เขาเลย
กินน้อยขนาดนั้นในช่วงเช้าในได้ยังไง ขนาดฉันซัดทั้งของคาวและของหวานในช่วงเช้า กะเพาะยังร่ำร้องขออาหารเพิ่ม
นี่ยังไม่ทันไรก็เริ่มหิวอีกแล้ว
“แล้วชอบมั้ยคะ ถ้าจีนเป็นเด็กดีพี่ทัพจะรักใช่มั้ย”
“รักสิคะ”
ภาพของฉันวาดฝันไปไกลหลายหมื่นลี้ ทว่าพอมองย้อนกลับมาปลายเท้าคู่นี้กลับไม่ได้เดินไปไกลนัก
ไม่ได้ใกล้เฉียดคำว่ารักของเขาเลยสักนิด..
ฉันส่ายหัวให้กับภาพมัดกล้ามบนหน้าท้องของพี่ทัพ สลับกับเสียงของเพื่อนสนิทที่ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท
บอกตามตรงว่าฟังอาจารย์บรรยายในคลาสไม่ค่อยรู้เรื่อง พยายามจะจดจ่อบนหน้าจอโปรเจคเตอร์แล้ว แต่ในหัวมันก็ฟุ้งซ่านขึ้นมา
ครั้งแรกที่ทำแบบนั้นกับเขา..
ภาพในหัวติดกับสีหน้าของพี่ทัพที่ครางอืออาในลำคอ การช้อนสายตามองเขาจากมุมล่างมันทำให้เห็นสันกรามของเจ้าตัวชัดมาก
ทุกสัดส่วนในร่างกายของเขาอยู่ใกล้สายตา ทั้งยังได้สัมผัสเขาด้วยมือเปล่านี้อีก ยอมรับเลยว่าฉันสั่นไปทั้งตัวกับการออรัลปากเปล่าแต่เช้าตรู่
มันไม่ได้สั่นกลัว แต่สั่นเพราะใจมันสู้ต่างหาก
“มึงว่าอาจารย์เขาจะอวดลูกตัวเองอีกนานมั้ยวะ”
“หะ”
“เรื่องไปเรียนเมกาเล่ารอบที่ร้อยละ”
สีหน้าของเพื่อนสนิทคือเบื่อโลกขั้นขีดสุด กลอกตามองบนแล้วลอบถอนหายใจกับผู้หญิงที่พูดไมค์หน้าชั้นเรียน
“พูดพาร์ทต่อไปให้ฟังหน่อยดิ”
“เนี่ยดูลูกครูเป็นตัวอย่าง.. จบปริญญาโทเข้าทำงานที่..”
ฉันป้องปากขำมันที่ท่องตามเหมือนมีสคริปเดียวกันไม่มีผิด
“แทนที่จะสอนมาพูดเรื่องตัวเองทำไม” ล่าสุดนางเหวี่ยงแล้วถอนหายใจพรืดใหญ่ นั่งเท้าคางสีหน้าหมดอาลัยตายอยากไปแล้วเรียบร้อย
เนื้อหายี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะอีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์คือออกทะเล เล่าเรื่องส่วนตัวที่ฉันกับยัยลีนแทบจะท่องบทได้อยู่แล้ว
ฉันเอียงตัวไปทางยัยลีน ก่อนจะกระซิบกระซาบข้างหู ผ่านการพูดกรอดไรฟันยิ้มแย้มราวกับไม่ได้พูดถึงคนตรงหน้าอยู่
“เดี๋ยวก็หมดคาบแล้ว อย่าเยอะน่า” ฉันบอกแล้วฉีกยิ้มหวานให้เพื่อนสนิท
มันยิ้มเจื่อน ก่อนจะลากเอียงตัวเข้ามาใกล้ฉันมากกว่าเดิม
“ว่าแต่เรื่องมึงกับพี่ทัพ เวิร์คมั้ยคะ” มันทำตาใส ทั้งที่ริมฝีปากยกยิ้มร้ายอยู่
“ก็ไม่แย่” ฉันไหวไหล่
“แปลว่าราบรื่น”
“.....”
“โอ้โห กับผู้อื่นเข้ามาจีบแสนเย็นชา พอกับพี่ทัพล่ะหาทางมัดใจเชียว”
คราวนี้เป็นฉันที่เป็นฝ่ายกลอกตามองบนใส่
เกลียดการรู้ทันของมันจริง
การมีโค้ชที่เคยลงเล่นแล้วได้ผลจริงอย่างดาลีนคอยแนะนำมันก็ดี แต่ข้อเสียคือฉันปกปิดอะไรเพื่อนสนิทไม่ได้เลย เป็นพวกที่มองตาก็รู้ใจกันไปแล้ว
“ขึ้นเตียงเมื่อไหร่อย่าแผ่วค่ะ มีโอกาสก็ต้องสิบเต็มสิบ”
“โค้ชขา ขอพักหน่อยนะคะ ร่างจะพักแล้ว”
“เมื่อคืนก็ไม่หยุดเหรอ”
ฉันเม้มริมฝีปากนั่งเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับ ซึ่งยัยลีนก็คงจะเดาคำตอบได้ไม่ยาก ว่าเมื่อคืนฉันกับเขาทำอะไรกันบ้าง
“เดี๋ยวส่งทริคออกกำลังกายให้ กระชับเหมือนครั้งแรกเลยค่า”
“ไอ้ลีน”
“เพื่อนกูต้องเป็นเบอร์หนึ่งสิ อย่าแผ่ว”
ฉันนั่งก้มหน้าส่ายตาไปมาอย่างช่างใจว่าจะถามคำถามนี้กับเพื่อนดีมั้ย ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่พอจะพูดก็กระดากปากจนหน้าร้อนผ่าวซะอย่างงั้น
“นั่งเทียนยากมั้ย”
“หืม”
ยัยลีนเหลือบตาใช้ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะไหวไหล่ด้วยทีท่าสบายๆ
“กำลังขาต้องดีนะคะ เมื่อยตอนโยกอยู่ข้างบนไม่ได้ ได้ขึ้นแล้วต้องใส่สุดสถานเดียว” พูดพลางเอนหลังนั่งไขว่ห้าง บ่งบอกว่าเรื่องบนเตียงไม่มีใครเซียนเท่านางอีกแล้ว
“ทำยังไงวะ”
“จะไปยากอะไรวะมึง”
“.....”
“กินหัว.. แล้วค่อยเคลือบทั้งลำค่ะ ฟินตายแน่นอน”
ใบหน้าฉันแดงฉานขึ้นสีระเรื่อจนเหมือนเอาหน้าไปอังกับเตาผิงไฟ เพราะมันไม่ได้พูดปากเปล่า แต่ยังจับด้ามปากกาขึ้นมากำ ใช้มือประกอบจนฉันเห็นภาพตามเลย
เขาเหมือนสารเสพติด ชนิดที่ว่าเสพครั้งเดียวก็ต้องมีครั้งต่อไป
มันไม่เกินจริงเลย เพราะฉันได้เสพสมกับผู้ชายที่ชื่อกองทัพเพียงครั้งเดียว ..ไม่เคยพอ
ตกเย็นหลังเลิกเรียนฉันกำลังจะเดินออกจากตึกคณะ โดยที่มียัยลีนคอยเดินชวนคุยสัพเพเหระก่อนจะแยกทางกลับบ้าน ทว่าสายตาดันกวาดไปปะทะเข้ากับเจ้าของรถหรูยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“จีน” เขาโบกมือทันทีที่เห็นฉัน
“พี่ทัพ” ริมฝีปากพึมพำชื่อเจ้าตัวออกมา พลางยกมือขึ้นจัดผมที่ดูยุ่งเหยิง เพราะเพิ่งจะเลิกจากคลาสสุดท้ายของวัน
ยัยลีนใช้ศอกสะกิดให้ฉันหันกลับมามอง มันส่งสายตาพยักเพยิด พลางชี้ไปที่ริมฝีปากของตัวเอง
“อะไรวะ” ฉันเลิกคิ้วถาม
“เติมลิปสิคะ มึงจะออกไปหาผู้ทั้งที่ปากซีดเนี่ยนะ” มันว่า
ฉันรีบยืนหันหลังให้พี่ทัพ ก่อนจะหยิบลิปสติกแท่งโปรดขึ้นมาปาดบนริมฝีปากบนล่างสองสามที เม้มเข้าหากันเล็กน้อยตามที่เพื่อนสนิททำท่าให้ดู
“ไปได้แล้ว พี่ทัพรออยู่” คนตรงหน้าพูดพลางเปรยตาไปทางด้านหลังฉัน
“ขอบใจนะมึง โทษทีไม่ได้เดินไปส่งที่รถ”
“ไม่เป็นไรค่า โสดสะบัดค่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“บาย”
“เออ บาย”
ฉันไล่สายตามองเพื่อนสนิทที่เดินห่างออกไป ก่อนจะหมุนเท้าหันกลับมาโฟกัสที่พี่ทัพ พลางเดินตรงดิ่งเข้าไปหาเจ้าตัวพร้อมรอยยิ้ม
“วันนี้เลิกเร็วหรอคะ แล้วมารอนานหรือเปล่า”
“ไม่นาน รอได้”
ใบหน้าหล่อเหลาส่ายหน้าว่ารอไม่นาน แต่บนแก้มขาวกลับมีพลาสเตอร์ยาสีใสแปะอยู่
พอเขาเห็นว่าฉันจ้องเจ้าตัวก็พยายามเบี่ยงหน้าฝั่งนั้นหลบ ฉันเลยก้าวเท้าเข้าไปยืนใกล้ แม้ว่าส่วนสูงจะไม่เอื้ออำนวยก็ตามเพื่อดูบาดแผลเขาให้ชัดๆ
“พี่ทัพ.. หน้าพี่ไปโดนอะไรมาคะ ทำไมเอาพลาสเตอร์ยาไปแปะตรงนั้น”
“ล้มน่ะ หมดหล่อก็เลยเอาพลาสเตอร์ยามาปิด”
“ขอดูหน่อยค่ะ”
“ไม่ต้อง” เขาปัดมือฉันทิ้ง ก่อนจะมุ่นคิ้วมองแล้วค่อยๆ ระบายยิ้มบนมุมปาก
เมื่อกี้เขาหงุดหงิดฉันหรอ..
พี่ทัพเลิกคิ้วทำหน้าเศร้าทันทีที่ฉันนิ่งไป เขาคว้ามือฉันไปแนบข้างแก้ม ถูไถไปมาอย่างออดอ้อนแล้วใช้น้ำเสียงโทนอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่อยากให้เห็นมุมไม่หล่อ ฉันสะเพร่าเองไม่มีอะไรหรอก”
“ทีหลังก็ระวังหน่อยสิคะ”
“ได้ครับ” เขายกยิ้มมุมปาก แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือฉันให้เป็นอิสระ
“วันนี้ไปเที่ยวกัน” เจ้าตัวเสริมต่อ
“เที่ยวหรอ” ฉันถามกลับ แต่ข้างในดีใจจนเนื้อเต้น
“ปิดตาก่อนถ้าจะไป”
“โห เตรียมตัวมาดีนะคะเนี่ย”
“ไม่งั้นก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ”
ฉันพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหลับตาลงเมื่อคนตัวสูงถอดเนกไทมาปิดที่ตาฉันไว้
ความรู้สึกตื่นเต้นแล่นลิ้วขึ้นมาทันที พอผ้าคาดตาฉันก็มองไม่เห็นแสงเล็ดลอดเข้ามาแม้แต่นิดเดียว
“ก้มหัวนะ” พี่ทัพจับไหล่ฉันแล้วกดให้นั่งลงบนเบาะ ก่อนคาดเข็มขัดนิรภัยให้
ทว่าฉันที่กำลังเผลอแล้วก็ดูเลิ่กลั่กนิดหน่อยเพราะมองไม่เห็น ถูกริมฝีปากหนาขโมยจูบทีนึง พร้อมกับเสียงแค่นหัวเราะในลำคอ
ฉันนั่งอ้าปากหวอ กลั้นยิ้มจนแก้มพองกับการกระทำของอีกฝ่ายเมื่อครู่
“เดี๋ยวนี้ลิปสติกมันมีรสชาติด้วยหรอ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นข้างใบหู
“อ่า แค่กลิ่นสตอเบอรี่น่ะค่ะ แปลกหรอคะ” ฉันตอบกลับแล้วหดคอหนีกับลมหายใจอุ่นร้อนที่ราดรดลำคอ
“ขอชิมอีกรอบ”
“อื้อ”
คราวนี้เขารั้งท้ายทอยฉันเข้าไปประกบจูบอย่างดูดดื่ม เสียงดังจ๊วบทุกครั้งที่เขาจูบ ชนิดที่ลิปสติกที่ทามาเมื่อครู่อาจจะหลุดติดปากพี่ทัพไปแล้วก็ได้
“หวานดี”
ฉันกัดริมฝีปากล่างหลังจากที่เขาผละออกไป พลางปิดประตูรถฝั่งฉันแล้วทุกอย่างก็เงียบไป กระทั่งประตูฝั่งคนขับดังขึ้น มือหนาก็เอื้อมมือบีบแก้มฉันเล่นทันที
“พอจีนมองไม่เห็นก็รังแกกันเลยนะคะ” ฉันมุ่ยปากให้คนที่เล่นแก้มอยู่
“เธอน่าแกล้งเอง”
“อย่าให้เอาคืนบ้างก็แล้วกันค่ะ”
เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น ก่อนที่เขาจะละมือออกไปแล้วเคลื่อนตัวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยแทน
ฉันนั่งเอนหลังพิงเบาะ มองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดสนิท แต่ก็ยังเอียงใบหน้าไปทางพี่ทัพเพื่อชวนอีกฝ่ายคุยอยู่ดี
“แล้วนี่พี่ทัพจะพาจีนไปไหนหรอ แล้วทำไมต้องปิดตาด้วยเนี่ย”
“ไปเดต”
“เดตหรอคะ..”
พอพูดถึงเรื่องเดต หัวใจของบุคคลที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำกับคนที่ชอบก็ถึงกับเต้นแรง
ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างไม่รู้จักเมื่อยแก้ม แถมพี่ทัพยังคว้ามือฉันไปจับไว้อีก เขารู้วิธีการทรีตผู้หญิงของเขาดีหรือเป็นเพราะว่าคนตรงหน้าฉันเป็นเขา
ไม่ว่าจะทำอะไรก็เลยรู้สึกดีด้วยไปหมดเลย..
“จะมีไก่ทอดด้วยมั้ยคะ อยากกินไก่ทอดอ่า”
“มีสิครับ”
“เย้ ขอเบียร์ด้วยได้มั้ย กับหนังสักเรื่องแล้วก็นอนกอดกันใต้ผ้าห่มผืนใหญ่”
“เด็กน้อยชะมัด”
“ขอเพ้อหน่อยไม่ได้หรอคะ” ฉันยิ้มกว้าง
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เราพูดคุยกันแบบไม่ต้องมีหัวเรื่องมากำกับ เมื่อก่อนฉันเอาแต่เขินอาย ไม่กล้าเอ่ยปากพูดคุยกับเขาด้วยซ้ำ แม้ว่าเจ้าตัวจะคอยโยนคำถามหรือชวนคุยบ้างก็ตาม
พอได้ใกล้ชิด ความสนิทก็เลยก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
“จีนอยากนอนกอดพี่ทัพทุกวันเลย..”
“หึ”
“ได้มั้ยคะ”
คนตัวสูงเปลี่ยนมาวางมือลูบที่ต้นขาฉัน ก่อนที่รถจะจอดเหมือนว่าติดไฟแดงอยู่
“ทำไมจะไม่ได้ นอนทับกันยังได้เลย”
ฉันรู้สึกตัวหลังจากที่ผล็อยหลับไปกับอากาศเย็นบนรถ หลังจากกินเบอร์เกอร์กับโค้กเข้าไป ฉันก็หลับเป็นตายเหมือนไม่ได้พักผ่อนมาทั้งคืน
ลมหายใจอุ่นเฉียดข้างแก้ม ก่อนที่มือหนาจะสะกิดพร้อมเสียงเรียกปลุกให้ฉันตื่นออกจากภวังค์ฝัน
“เธอครับ”
“อื้อ”
“ถึงแล้ว..”
ฉันผงกหัวขึ้นมานั่งตั้งสติ หันซ้ายหันขวาเพราะยังคงมีเนกไทปิดตาตัวเองอยู่
“แกะได้หรือยังคะ” ฉันเชิ่ดใบหน้าถาม แม้ไม่รู้ว่าเจ้าตัวอยู่ทางไหนก็ตาม
“ยังค่ะ เราต้องลงมาจากรถก่อน” เขาตอบกลับ พลางประคองฉันให้ลงจากรถอย่างระมัดระวัง
กลิ่นไอที่คุ้นเคยลอยเข้ามาแตะปลายจมูก ความสดชื่นลอยพัดมากับสายลมกระทบที่ข้างแก้ม ฉันระบายยิ้มกว้างทันทีเมื่อรู้ว่าสถานที่ที่พี่ทัพพามาเป็นที่ไหน
มือของเขาวางไว้บนหัวไหล่ ก่อนที่จะคลายผ้าปิดตาออกให้ ฉันกะพริบตาสองสามทีปรับโฟกัสตรงหน้า พลางยิ้มกว้างกับภาพทะเลสีครามไกลสุดลูกหูลูกตา
“แบบนี้ก็อดเล่นน้ำใช่มั้ยคะ ไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนเลย” ฉันหันไปทำหน้าหงอยกับพี่ทัพทันที
“ใครบอก เดินตามมาสิ”
พูดจบเขาก็คว้ามือฉันให้เดินตาม เหมือนลูกเจี๊ยบที่เดินตามแม่ไก่ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านพักริมทะเล
ฉันอ้าปากค้างมองความสูงของบ้านตรงหน้า พลางกลืนน้ำลายเหนียวลงคออึกใหญ่
บ้านริมทะเลในฝันของใครหลายคน..
มัวแต่กวาดสายตามองวิวรอบตัวบ้านที่ว่าน่าทึ่งแล้ว เพราะมีแต่มุมถ่ายรูป รวมถึงระเบียงห้องด้านบนที่ยื่นออกมา เหมาะสำหรับนั่งอ่านหนังสือหรือไม่ก็นอนดูดาวอย่างมาก
ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือพี่ทัพมีกุญแจไขบ้านหลังนี้ เขาเปิดประตูแล้วหันมาจับมือให้เราเข้าไปด้านในพร้อมกัน
“โห สวยจังเลยค่ะ” ฉันอ้าปากอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ข้างในตกแต่งสไตล์มินินอล โทนสีเอย เฟอร์นิเจอร์เอย หรือแม้ภาพบนผนังก็ยังเป็นภาพจากศิลปินชื่อดังวาดเอาไว้ ห้องครัวเองก็ถูกตกแต่งด้วยสไตล์นี้เช่นกัน
“ชอบมั้ยครับ” คนตัวสูงเข้าสวมกอดจากด้านหลัง
“ชอบค่ะ” ฉันบอกพร้อมรอยยิ้ม
“ไปดูข้างบนมั้ย”
“ไปค่ะ”
คนตัวสูงจูงมือฉันให้ขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ก่อนจะถึงตัวห้องตรงชั้นบันไดมันมีกระจกบานใหญ่ มองเห็นน้ำใสของทะเลได้ด้วย
ใบหน้าฉันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทุกย่างก้าวที่ก้าวไปข้างหน้ามันมีแต่ความสุขเบ่งบานในหัวใจ
ฉันมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของพี่ทัพกำลังโปรยยิ้มหวาน หัวใจข้างในก็พลอยฟูฟ่องไปด้วย
“พร้อมนะ”
“อื้ม”
ประตูบานสีขาวตรงหน้าถูกเปิดออก พร้อมกับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา
ฉันเบิกตาโตยกมือขึ้นป้องปากด้วยความตกใจ สายตามองลูกโป่งอัดแก๊สที่ผูกไว้กับเตียงลอยขึ้นมา
บนเตียงนอนขนาดคิงส์ไซส์มีกล่องสี่เหลี่ยมวางเรียงกันอยู่หลายกล่อง รวมถึงมีช่อดอกไม้สีแดงสดวางประกอบอยู่ด้วย
“ทั้งหมดนี่คือทำให้หรอคะพี่ทัพ”
“ไหนตอบหน่อยตอนนี้เธออยู่ในฐานะอะไร”
“คือ..”
“เธอพูดดังๆ สิคะ คลื่นมันแรงไม่ได้ยินเลย”
"พี่ทัพ" ฉันยกมือขึ้นยันอกอีกฝ่ายที่รวบเอวฉันเข้าไปจนชิดเเผงอก
"พูดสิ.. เธอเป็นผู้หญิงของใคร" เขาพูดพร้อมกับสูดดมกลิ่นข้างลำคอฉัน ก่อนจะฝังรอยจูบกลางอกดังฟอดใหญ่
เขามันเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย
แต่เหมือนว่าลูกแกะหลงทาง จะมองเห็นและรู้อยู่แก่ใจว่าหนทางข้างหน้ามีหมาป่าตัวใหญ่รอขย้ำ แต่ไม่รู้ทำไมฉันก็ยังเลือกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
ไม่ต่างอะไรกับแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟเช่นกัน
“ผู้หญิงของทัพ”