“เขียนไดอารี่อีกแล้วหรอ”
“แอบอ่านหรอคะพี่ทัพ”
ฉันหันขวับไปตามลมอุ่นที่ราดรดลำคอ ก่อนจะพบว่าเป็นพี่ทัพที่โน้มตัวเข้ามาใกล้ ฉันที่นั่งขีดเขียนบนไดอารี่ส่วนตัวก็ถึงกับสะดุ้งโหยง รีบยกมือปิดเนื้อหาที่กำลังเขียนทันที
“อยากรู้ว่าเขียนอะไรไง” เขาเลิกคิ้ว พลางเท้าแขนลงมาบนโต๊ะตรงหน้า
“ถ้าพี่ทัพเห็นแล้วจีนจะกล้าเขียนได้ยังไง” ฉันมุ่ยหน้าใส่
“แค่อยากแกล้งเธอ..”
“อีกแล้วนะคะ”
เจ้าของรอยยิ้มร้ายกาจส่ายหน้า หลังจากที่เราสบตากันไปมา พี่ทัพก็เป็นฝ่ายผละออกไป พลางพเยิดหน้าให้ฉันลงไปข้างล่าง
“อาหารมาส่งแล้ว จะลงไปกินเลยมั้ย”
“เดี๋ยวจีนตามลงไปค่ะ”
“โอเค”
คนตัวสูงกำลังจะเดินออกจากห้องไป ทว่าฉันกลับเรียกเขาเอาไว้ก่อน พร้อมกับหมุนเก้าอี้หันไปนั่งคุยประจันหน้ากับอีกฝ่าย
“ว่าแต่พี่ทัพเห็นโทรศัพท์จีนมั้ย พอดีจีนจะโทรบอกพี่เจย์ก่อน..” ฉันถามน้ำเสียงไม่มั่นใจ ปลายประโยคแผ่วลง ก่อนถูกกลืนหายไปในลำคอ
บอกแล้วไงว่าพี่เจย์เวลาโมโหน่ากลัวจะตายไป พี่ทัพเองก็อาจจะต้านเขาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน
อีกอย่างไม่รู้ว่าเขาเอามือถือฉันไปซ่อนไว้ไหน นั่งหาตั้งนานก็ไม่เจอ ถึงได้มานั่งเขียนไดอารี่เหมือนย้อนยุคกลับไปในช่วงที่ไม่มีโทรศัพท์ใช้แบบนี้นี่ไง
“จะโทรไปบอกมัน ว่าอยู่กับฉันเหรอเด็กน้อย” พี่ทัพยกยิ้ม ก่อนจะทิ้งตัวลงที่ปลายเตียง แล้วดึงมือฉันเข้าไปกุมเอาไว้
“เปล่าค่ะ ถ้าบอกแบบนั้น.. พี่เจย์จะโกรธพี่ทัพนะคะ” ฉันตอบกลับ แต่ไม่สบสายตาของคู่สนทนา
“งั้นแปลว่าจะโกหกพี่ชายตัวเอง”
“.....”
“แล้วจะโกหกมันยังไง ให้ช่วยโกหกมั้ย จะได้แนบเนียน”
คนตรงหน้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาที่ดูอบอุ่นวาวโรจน์เพียงครู่หนึ่ง มันเหมือนว่าเขากำลังเหยียดยิ้ม ทั้งที่มุมปากไม่ได้ยกเลยสักนิด
ฉันกัดริมฝีปากล่างด้วยความคิดไม่ตก กังวลไปหมดเลยว่าจะคิดหาประโยคไหนไปพูดกับพี่เจย์ เพื่อไม่ให้เขาจับผิดได้ว่าตอนนี้ฉันอยู่กับพี่ทัพ
ไม่ใช่แค่เขาจะสวดฉันผ่านสาย แต่ถ้าพี่เจย์รู้ว่าฉันอยู่กับพี่ทัพสองต่อสอง เขาได้บิดมอเตอร์ไซด์หน้าตั้งมาหาถึงนี่แน่นอน
“กังวลอะไร ไม่มีอะไรให้กังวลหรอก..”
“.....”
“บางทีเราก็ต้องโกหกเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายนี่”
พี่ทัพจับปลายคางฉันที่นั่งคอตกให้เงยขึ้นมอง พลางระบายยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาให้คลายกังวลนี้ลง
จุกในลำคอไม่น้อยเลยกับประโยคที่ได้ยิน..
แต่มันก็ถูกอย่างที่เจ้าตัวบอก ว่าบางครั้งเราก็จำเป็นที่จะต้องโกหก เพื่อจะรักษาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องหรอกนะที่จะสามารถโกหกได้
เพราะถ้ากลายเป็นคนโกหกเมื่อไหร่ เวลาพูดความจริงก็มักจะไม่มีใครเชื่อเราอีก
ผู้คนประเภทเด็กเลี้ยงแกะที่แม่เคยเล่าให้ฟังน่ะ ..มันมีอยู่จริง
“เธอคงไม่อยากให้เจย์มันคลั่งหรอกใช่มั้ย ถ้ารู้ว่าน้องมันเพิ่งจะเอากับฉันไป” เขาพูดเสียงเรียบ ก่อนจะปล่อยมือฉันแล้วเอนตัวไปด้านหลังแทน
“พี่ทัพ” ฉันมุ่นคิ้วมองอีกฝ่าย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าบางครั้ง เขาก็ทำเหมือนจะไม่ชอบฉันผ่านสายตา บางทีก็เหมือนกับว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แต่เขายังคงเป็นกองทัพคนเดิม แค่บางครั้งเขาก็ดูเหมือนหมางเมิน ราวกับไม่ใช่คนรู้จักกัน
“ก็เราเพิ่งเอากันไป ฉันพูดอะไรผิด”
“ก็.. ก็ไม่ผิด”
“เห็นมั้ย”
ให้ตายเถอะ ทำไมฉันถึงเถียงสู้ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลย
“งั้นขอจีนคุยกับพี่เจย์ก่อนค่ะ เผื่อเขามาหาที่ห้องจะได้ไม่ต้องกังวล” ฉันพูดพลางแบมือขอเขา แต่เจ้าตัวกลับตีหน้านิ่ง แล้วฉวยโอกาสจูบมือฉันแทน
“ทำไมนิ่งใส่ล่ะคะ” ฉันถามคนตีหน้ามึนใส่
“ฉันโทรบอกเจย์มันแล้ว” เขาอธิบายเสียงเรียบ
“โทรแล้วหรอ”
“ใช่ โทรบอกมันก่อนที่เราจะมาถึงนี่อีก”
เผลอขมวดคิ้วให้กับประโยคเมื่อครู่นิดหน่อย ไม่ได้อยากจะคิดว่าเขาโกหก แต่ถ้าพี่ทัพบอกพี่เจย์จริงๆ ว่าเราสองคนอยู่ไหน เขาไม่ปล่อยให้เวลาจะผ่านพ้นข้ามวันแบบนี้แน่
หรือว่าทั้งสองคนจะคืนดีกันแล้ว แต่ว่าฉันดันไม่รู้
“คืนดีกันแล้วหรอคะ จีนคิดว่าพี่สองคนทะเลาะกันซะอีก”
“ก็ไม่เชิง”
“ทะเลาะเรื่องอะไรกัน ปกติพวกพี่ไม่เคยทะเลาะกันหนักขนาดนี้”
“.....”
“มันเกี่ยวกับพี่ภาพฟ้าด้วยหรือเปล่า”
ภาพฟ้าชื่อของหญิงสาวที่เคยเป็นผู้หญิงของทัพมาก่อน เธอเป็นคนแรกที่ได้คบกับเขานานที่สุด มากกว่าแฟนคนก่อนหน้านี้ของเขาหลายเท่าตัวเลย
ไม่มีใครรู้ว่าเขาสองคนเลิกกันเพราะอะไร ยัยลีนก็ไม่รู้ เพราะถ้ารู้เจ้าตัวคงจะนำข่าวมาบอกฉันแล้ว แต่ส่วนใหญ่เรื่องราวความรักของพี่ทัพกับผู้หญิงคนก่อนของเขา จะเลิกกันก็เพราะว่าพี่ทัพเป็นพวกเบื่อเร็ว
สามสี่เดือนถือว่านานสำหรับเขา และที่สำคัญพี่ทัพจะไม่วันไนท์สแตนด์กับใครเด็ดขาด
“เธอนอกใจฉัน”
“พี่ฟ้าเนี่ยนะคะ”
ฉันถามออกไปอย่างไม่เชื่อหู ประโยคเมื่อครู่ของพี่ทัพมันเรียบเฉย ราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร แต่นัยน์ตาสีเข้มกำลังแสดงความเจ็บปวดออกมา ก็แค่ไม่มีน้ำตาเท่านั้นเอง
แล้วทำไมมันถึงเจ็บแปลบที่กลางอกแบบนี้ล่ะ เพราะฉันเดาไม่ออกเลยว่าพี่ทัพยังรักเธออยู่หรือเปล่าใช่มั้ย
หรือเพราะไม่เคยอ่านสายตาคู่นี้ออก ฉันถึงได้ไม่รู้อะไรเลย
“แค่คิดไม่ถึง.. เธอดูชอบพี่มากด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่น่าจะทำอะไรแบบนั้นได้”
“คงงั้น”
“พี่ทัพ”
“มองด้วยตาเปล่าบางทีก็ไม่รู้ว่าน้ำเปล่าหรือเหล้าขาว ถ้าไม่ได้ลองชิมดู” มุมปากสวยยกสูง กระตุกยิ้มเหยียดราวกับว่ามันดูน่าขบขัน
พี่ทัพช้อนสายตาขึ้นมอง แววตาคมคายสบมาแต่ไม่ได้พูดอะไร
เขาหยิบมือถือของฉันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะยื่นมาตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ
“เอาสิ โทรบอกเจย์มันด้วยตัวเธอเอง”
“คะ”
“เดี๋ยวมันจะคิดว่าฉันฆ่าน้องมันหมกป่า เอาไปคุยสิ”
ฉันรับโทรศัพท์มาจากมือเขา ก่อนรีบเปิดเครื่องแล้วนั่งรอครู่หนึ่ง ท่ามกลางความเงียบระหว่างฉันกับเขา ที่เพิ่งจะคุยเรื่องแฟนเก่าของเจ้าตัวจบไป
ได้ความอะไรไม่มาก แถมยังได้คำถามกลับมาเพิ่มอีกต่างหาก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาทั้งสองคนกันแน่
ฉันยกหูขึ้นต่อสายโทรหาพี่เจย์ ที่ไม่นานเจ้าตัวก็กดรับสายแทบจะทันที
“ฮัลโหลพี่เจย์..”
(จีนหรอ พอดีเจย์ออกไปหาเราที่คอนโด แต่เขาลืมมือถือไว้ที่ห้องน่ะ)
ฉันมุ่นเรียวคิ้วเข้าหากัน เมื่อปลายทางไม่ใช่เสียงของพี่เจย์ แต่เป็นเสียงตอบกลับของผู้หญิงแทน
“พี่ฟ้าหรอ..”
(อืม พี่เอง)
“พี่เจย์ล่ะคะ”
ระหว่างพูดสายอยู่ สายตาฉันก็ไล่มองพี่ทัพที่ลุกขึ้นจากปลายเตียง ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าฉันแล้วย่อตัวลงกับพื้น
มือหนาจับเรียวขาฉันให้แยกออก มองจุดอ่อนไหวที่มีกางเกงขาสั้นปกปิดไว้ไม่ละไปไหน
เขาจ้องจนฉันหน้าร้อนผ่าว พยายามจะหนีบเรียวขาเข้าหากันระหว่างถือสาย แต่ก็ถูกมือหนาแยกขาออกแล้วพาดบนแขนเก้าอี้ทั้งสองฝั่งแทน
“อ้ะ.. พี่ทัพจะทำอะไร” ฉันกัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือด มองเขาที่วางหน้าอยู่หว่างขา ก่อนจะซุกหน้าลงมาที่ใจกลางความอ่อนไหว
ปลายลิ้นชื้นแฉะตวัดเลียผ่านกางเกงตัวบาง จนฉันสะดุ้งเฮือกคว้าเข้าที่กลุ่มผมของพี่ทัพทันที
(จีน)
“.....”
(ฮัลโหล)
เผลอกลั้นหายใจจังหวะที่เขาใช้มือคลึงวนเป็นวงกลม ปลายจมูกคลอเคลียอยู่ที่ต้นขาด้านใน จนขนแขนมันลุกขึ้นชูชัน ริมฝีปากสั่นจนไม่สามารถพูดออกมาเป็นประโยคได้เลย
ฉันพยายามจะปัดป่ายแล้วผละออก แต่ก็ถูกคนกำลังเยอะกว่าขัดขืนเอาไว้อยู่ดี
สุดท้ายฉันก็เลยต้องอยู่ในท่าทางล่อแหลม อ้าขาให้อีกฝ่ายซุกหน้าลงจุดอ่อนไหว ใช้มือบีบคลึงหน้าอกได้ตามใจชอบอีกต่างหาก
“พี่ทัพ”
ใบหน้าหล่อเหลาที่เอาแต่ซุกหน้าดมดอมตรงนั้น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง พร้อมกับเอ่ยบอกในเชิงประโยคคำสั่ง ด้วยสายตาเรียบเฉย
“คุยต่อไป”
“อึก”
“คุยต่อไปสิ ไม่ต้องสนใจฉัน”
(ฮัลโหลจีนยังฟังพี่อยู่หรือเปล่า)
“ฟัง.. ฟังอยู่ค่ะ” ฉันรีบขานรับพี่ฟ้าทันที พลางวางมือไว้บนศีรษะของคนตรงหน้า แอ่นอกรับสัมผัสเสียวกระสัน ที่มันรู้สึกมวลท้องไปหมด
(ไว้พี่จะให้เจย์โทรกลับ หรือเรามีอะไรจะฝากเจย์ไว้มั้ย) เสียงปลายสายตอบกลับมา
“อ๊ะ..” ฉันเผลอหลุดเสียงคราง พลางขมวดคิ้วเข้าหากัน เงยหน้าเหยเกมองเพดานด้านบน กัดริมฝีปากระบายความเสียวแทน
(.....)
“บอกพี่เจย์ว่าจีนสบายดีก็พอ.. อื้ม แค่นั้นก็พอค่ะ”
ฉันนิ่วหน้าให้กับความเสียวซ่านแตกพล่านไปทั่วร่างกาย แม้ว่าจะไม่ได้แตะผิวหนังด้านในโดยตรง แต่การถูกขยี้จุดเสียวบ่อยครั้ง ร่างกายก็ถูกกระตุ้นทันที
คนตัวสูงกระเถิบตัวขึ้นมาคร่อมฉัน พลางซุกไซ้ใบหน้ามาที่ซอกคอ พ่นลมหายใจอุ่นร้อนรดข้างแก้มสีระเรื่อเป็นระยะ
“เธอขาหิวข้าวแล้ว”
“พี่ทัพ..”
(ทัพหรอ..)
“วางสายได้แล้ว”
“อ้ะ..อื้อ” ฉันประท้วงในลำคอ เมื่อพี่ทัพทาบทามริมฝีปากลงมา ส่งผลให้ปลายทางได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจเหนื่อยหอบของฉันตอบกลับไป
“หิวข้าวแล้วครับเธอ” พี่ทัพกระซิบข้างหู ยกยิ้มมุมปากแล้วจับมือฉันที่ถือโทรศัพท์เอาไว้
ไม่นานเขาก็แย่งมือถือไปได้สำเร็จ ก่อนจะกดวางแล้วลุกออกจากตัวฉันทันที
“ลงไปข้างล่างสิ อาหารมาส่งแล้ว” เขาพูดขึ้นพร้อมกับเก็บมือถือฉันลงกระเป๋าตามเดิม
“พี่ทัพ..” ฉันเอ่ยชื่อของเขาที่เดินนำหน้าออกไปก่อน
เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ฉันกับความเงียบ และอารมณ์ข้างในที่ถูกตัดตอนจนทำให้รู้สึกขัดใจเล็กน้อย
ฉันยกมือขึ้นเสยผมแล้วยกขาลงจากเก้าอี้ รู้ตัวเองดีว่ากำลังมีอารมณ์ แต่ก็ปนอาการหัวเสียไม่น้อยเลยเช่นกัน
“อะไรของเขา..”