ชายหนุ่มในชุดสีดำทะมึน สวมฮู้ดคลุมศีรษะ เส้นผมปรกหน้าปรกตา เดินโซซัดโซเซอย่างอ่อนแรงตามเส้นทางขรุขระในผืนป่ากว้างใหญ่ ใบไม้แห้งกรอบถูกย่ำเหยียบจนเกิดเสียงสวบสาบ หยาดเลือดสีแดงฉานปริ่มทะลักบาดแผลบริเวณต้นแขนข้างซ้าย ไหลอาบเป็นทางยาวสู่ปลายนิ้วดูน่าสงสาร ทว่าสยดสยองในคราวเดียว
ทุกการเคลื่อนไหวของชายผู้นี้ ส่งผลให้ของเหลวคาวข้นหยดกระทบใบไม้และพื้นดินตลอดการทอดยาวของเส้นทางที่สองเท้าก้าวผ่าน
“อีกนิดเดียว...” เสียงแหบเข้มเปล่งอย่างกระท่อนกระแท่น กล่อมให้ตนเองดึงพละกำลังเฮือกสุดท้ายออกมา ทว่าเพียงครึ่งนาทีให้หลัง สมดุลทางกายพลันสั่นคลอน ท้ายที่สุดความเหนื่อยล้าผสานพิษบาดแผลจากลูกธนูก็ออกฤทธิ์ ส่งผลให้ชายหนุ่มทรุดตัวลงพื้นอย่างไม่อาจฝืน
น้ำหนักตัวของคนที่สูงกว่าร้อยแปดสิบส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนเหล่าใบไม้น้อยใหญ่ลอยหวือกลางอากาศ
โลหิตข้นทะลักทลายหยดแล้วหยดเล่า ส่งกลิ่นคละคลุ้งชวนให้เหล่านักล่าหลากสายพันธุ์น้ำลายสอ ทว่าเมื่อตามกลิ่นอันหอมหวนนั้นมา กลับพบมนุษย์เพศชายซึ่งนอนขดตัวอยู่บนพื้นในสภาพใกล้ตาย ก่อนร่างกายขาวซีดสุดบอบช้ำจะปรากฏริ้วสีดำคล้ายรากไม้ผุดขึ้นกลางหน้าผาก เคลื่อนไหวใต้ชั้นผิวดุจเถาวัลย์พันเกี่ยวจากที่สูงลงที่ต่ำ กระทั่งแผ่ลามทั่วร่าง พริบตาเดียวเท่านั้น ส่วนสูงกว่าร้อยแปดสิบพลันหดเล็ก เปลี่ยนลักษณะทางกายภาพจากมนุษย์สู่สัตว์ปีกสีดำขลับ
ภาพดังกล่าวมีผลต่อการตัดสินใจของเหล่าสัตว์ป่ากระหายเลือด ต่างถอยทัพอย่างว่าง่าย
แต่ถึงแม้ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยน บาดแผลจากลูกธนูตรงปีกซ้ายกลับยังเด่นหรา
อีกาปริศนาตัวนั้น...แน่นิ่งใต้ชุดสีดำที่แฟบแบนทับร่าง ก่อนค่อยตะกายขึ้นมาด้านบนอย่างอ่อนแรง ปล่อยให้เนื้อผ้าซับหยาดเลือดที่ปริ่มจากรูแผล รอเวลาฟื้นฟูจนกว่าจะกลับสู่สภาพเดิม
สวบ...
ในขณะที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี อุณหภูมิลดต่ำ เจ้าอีกาตัวใหญ่ยักษ์พลันรับรู้ถึงฝีเท้าคู่หนึ่งที่ใกล้เข้ามาทุกชั่วขณะ พร้อมกลิ่นหอมหวานพิลึกชวนเคลือบแคลง
เป็นเวลานานหลายนาทีกับคำถามที่ชอนไชไม่รู้จบ เจ้าตัวมืดมนเพ่งดวงตาสีดำสนิทไปเบื้องหน้าด้วยใจอันจดจ่อ ครู่ต่อมาร่างบางของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดสุดทะมัดทะแมงพลันปรากฏสู่สายตา ก่อนค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นทีละนิด ทีละนิด กระทั่งหยุดนิ่งและย่อตัวลงใกล้กับร่างกายอันแสนบอบช้ำของสัตว์ปีกอย่างอีกา...ที่ใครต่อใครต่างกล่าวขานว่าเป็นตัวแทนของความตาย เป็นเครื่องหมายของความอัปยศ
แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้แล้ว...มันไม่ใช่
“ทำไมสภาพแกเป็นงี้ล่ะ เจ้านกน้อย?”
ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับเป็นน้ำเสียงอ่อนโยนดุจปุยนุ่น ชายหนุ่มในคราบเดรัจฉานหูอื้อ ดวงตามืดบอดไปชั่วขณะ รู้สึกปลอดภัยจนเผลอลดการระวังตัวเมื่อหญิงสาวผู้เด็ดเดี่ยวที่บุกเข้าเขตอันตรายเพียงลำพังกำลังโอบตัวเขาขึ้นอย่างระมัดระวัง ตระกองกอดไร้ช่องว่างจนเสื้อสีน้ำตาลอ่อนพลอยเปรอะเปื้อนคราบเลือดจากปีกซ้ายที่ยังไม่หยุดไหล
เจ้านกน้อยสุดมืดมนที่แท้จริงแล้วตัวใหญ่พอ ๆ กับเหยี่ยว...ขดตัวในอ้อมแขนของหญิงสาวเหมือนได้รับความคุ้นเคยกลับคืนมา ก่อนหลับตาลงอย่างอ่อนล้า...
นี่เป็นอ้อมกอดแรกในรอบสองร้อยปี
กว่าสองร้อยปีที่ถูกจองจำอยู่ในวังวนของคำสาป
คำสาปดำมืดสุดแสนยาวนานที่เขารอวันหลุดพ้น
และดูเหมือนว่า ‘ผู้หญิงผู้โชคร้ายคนนี้’ จะสามารถช่วยเขาได้