บทที่1.3

1104 Words
ครั้นแหงนหน้าขึ้น...ยังพบอีกว่าเหล่าก้อนเมฆที่ยังพอมองเห็นราง ๆ เมื่อครู่นี้กลายเป็นสีเข้มกลมกลืนไปกับผืนฟ้าดำทะมึน หากมีคนบอกว่าฉันถูกดูดเข้ามาในโลกที่ไร้แสงสว่างก็คงเชื่อสนิทใจ... วูบหนึ่งฉันตั้งคำถามอย่างตื่นเต้นปนประหลาดใจ ทว่าความรู้สึกของการถูกบางสิ่งจับจ้องพลันกระชากฉันออกจากภวังค์แห่งความเคลือบแคลง ลากสายตากลับมาถึงพบว่าเจ้าอีกาใกล้ตายยังจ้องมองกันจากตรงนั้นอย่างไม่ลดราวาศอก “เลือดแกเริ่มหยุดไหลแล้วนี่” ฉันพูดคุยกับมันพลางดึงเป้มาวางไว้ข้างตัว รูดซิปหยิบอุปกรณ์ทำแผลที่มักพกติดตัวเสมอเวลาไปไหนมาไหนออกมา แต่แล้ว... “อ้าว” จำต้องอุทานอย่างมึนงงเมื่อพบว่าแอลกอฮอล์ล้างแผลดันหมดเกลี้ยง ไม่เหลือติดก้นขวดแม้สักหยด! คิดว่าตัวเองละเอียดพอแล้วนะตอนเช็กสิ่งจำเป็นในกระเป๋าก่อนมาที่นี่... แต่อย่างว่า นี่เป็นหนึ่งในสามสิ่งที่ฉันไม่เคยเอาออกจากเป้เลย มันอาจหมดตั้งแต่สองทริปก่อนแล้วแต่ฉันไม่ทันสังเกตก็เป็นได้ แบบนี้...จะโทษใครได้ถ้าไม่ใช่ความสะเพร่าของตัวเอง “งั้นใช้น้ำเกลือล้างไปก่อนนะ สะอาดเหมือนกัน เคยถามหมอแล้ว หมอบอกว่าใช้ได้แหละ” เมื่อค้นพบว่าเป็นความผิดพลาดของตัวเองล้วน ๆ จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเปลี่ยนไปหยิบขวดน้ำเกลือขึ้นมาแทน จัดการนำสำลีมาชุบแล้วค่อย ๆ เช็ดไปตามรอยแผลของเพื่อนใหม่อย่างเบามือ “ดูจากแผลแล้ว แกโดนมนุษย์ใจร้ายทำร้ายมาสินะ แสดงว่าก่อนหน้านี้แกบินไปยังเขตที่คนอาศัยอยู่เหรอ” ระหว่างนั้น ฉันที่ทั้งชีวิตมีเพื่อนเป็นสัตว์มากกว่าคนก็ไม่วายชวนมันคุย หากบอกว่ามีเจตนาผูกมิตรก็คงไม่ผิดนัก เพราะฉันถือคติว่าสัตว์พูดไม่ได้ แต่มีชีวิต มีจิตใจ มีความรู้สึก หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะรับรู้ได้ผ่านสัมผัสอันแผ่วเบานี้ว่าฉันห่วงใยมันแค่ไหนในฐานะเพื่อนร่วมโลก “เก่งมากเลยเจ้านก ไม่ร้องสักแอะ ไม่ดิ้นด้วย” ฉันหัวเราะคิกคักเมื่อพบว่ามันนอนนิ่งให้มนุษย์ประหลาดคนนี้จัดการกับบาดแผลตรงปีกซ้าย ระหว่างนั้น ฉันพลันเห็นว่านัยน์ตาดำขลับของมันเคลื่อนไหวเล็กน้อย คล้ายกำลังสำรวจอย่างอื่นนอกจากใบหน้าของฉัน “พี่อยู่ที่นี่ได้อีกราว ๆ สองชั่วโมงกว่านะ หวังว่าหลังจากที่พี่จากไปแล้ว แกจะหายดีแล้วสามารถบินได้สูงเท่าที่ต้องการ” ประโยคนั้นจบลงพร้อมกับบาดแผลที่ถูกปฐมพยาบาลเบื้องต้นเรียบร้อย เพราะไม่มีอุปกรณ์เย็บปากแผลที่ปริจากอาวุธของมนุษย์ ฉันจึงทำได้แค่ล้างทำความสะอาดและใช้ผ้าก๊อชติดทับสำลีเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคลอยมาปะปนกับแผลที่ยังสดใหม่ พอลดโอกาสการติดเชื้อได้บ้าง “อ่า หรือพี่จะพาแกออกไปด้วยดีนะ ถ้าพาไปหาหมอแล้วมาพาแกมาส่งที่นี่อีกครั้งจะเป็นไรไหม” สวบ ตึก... ขณะพูดเป็นต่อยหอย เสียงเคลื่อนไหวของบางอย่างพลันดังขึ้นจากด้านหลัง ลักษณะเสียงคล้ายฝีเท้าของสิ่งมีชีวิต ฉันหันขวับไปยังต้นเสียง รีบหยิบมีดพกขึ้นมาถือ แน่นอนว่ามืออีกข้างก็ไม่วายยกกล้องขึ้นกดบันทึกวิดีโอตามสัญชาตญาณยูทูบเบอร์ “เมื่อกี้เสี้ยวได้ยินเสียงบางอย่างอะ เสียงหนัก ๆ เหมือนเท้า เดาว่าน่าจะเป็นสัตว์นะ...” ด้วยสปิริตในอาชีพ มิหนำซ้ำยังมีนิสัยกล้าได้กล้าเสีย ทั้งที่รู้ว่าอันตรายก็ยังหยัดตัวขึ้น ก้าวเท้าตรงไปยังทิศทางของเสียงอย่างไม่รอช้า เข้ามาขนาดนี้แล้ว จะให้เสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด เป็นตายร้ายดีก็ต้องได้ฟุตเทจดี ๆ กลับไป ตั้งมั่นไว้แบบนั้นแล้วฉันก็ยิ่งสาวเท้าเข้าไปใกล้ แต่แล้วจำต้องชะงักค้างเหมือนโดนสาป...เมื่อพบว่าในความมืดที่มองแทบไม่เห็นสิ่งใดปรากฏแสงสีทองสะท้อนวาบคล้ายดวงตาของสัตว์คู่หนึ่ง มันแวววาวท่ามกลางความดำมืดของป่า แผ่รังสีน่ากลัวจากสิบเมตร เป็นแปดเมตร ห้าเมตร กระทั่งย่างกรายอย่างทรงอำนาจมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า...พร้อมกลิ่นคาวคลุ้งจากโลหิตสีแดงฉานที่เลอะริมฝีปากของมัน “...!” นัยน์ตาฉันเบิกขยายกับภาพที่เห็น ใจบอกให้หนี ทว่าร่างกายที่ชินกับการอยู่ใกล้สัตว์กลับไม่ทำตามคำสั่งของสมอง เอาแต่มองสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ยักษ์เบื้องหน้าในท่าเดิม และแน่นอนว่าจนถึงตอนนี้...กล้องยังคงบันทึกภาพมันไว้อย่างชัดเจน แกรบ... จนวูบหนึ่ง เหมือนร่างกายเริ่มกลับมาทำงาน ฉันจึงเผลอก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวัง เป็นจังหวะที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบแหมะเข้ากับกิ่งไม้แห้ง ๆ พอดิบพอดีจนเกิดเสียง วินาทีนั้น ฉันทันเห็นใบหูของเจ้าสัตว์ตัวใหญ่กระดิก ก่อนจะมีเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็งลอยมาตามลมว่า... “...หนี” แม้ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเสียงปริศนานั่นเป็นเสียงของใคร คน ผี หรือเป็นอีกตัวตนของตัวเอง ฉันก็ไม่รอช้า หมุนตัวแล้วสับเท้าหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทว่า... ฟุบ กึก! “โอ๊ย...!!!” เพราะเร่งรีบจนไม่ดูตาม้าตาเรือ ฉันจึงสะดุดก้อนหินและล้มลงอย่างอเนจอนาถ เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวที่สัตว์ตัวใหญ่กระโจนเข้ามาหา ก่อนใช้อุ้งปากชุ่มเลือดงับลงเต็มข้อเท้า ส่งผลให้คมเขี้ยวแหลมฝังลึกเข้าเนื้อทันที เสียงผิวเนื้อฉีกขาดจากการถูกทึ้งด้วยคมเขี้ยวของสัตว์ป่าและของเหลวสีแดงฉานที่พุ่งกระฉูดไม่ขาดสาย พลอยทำให้หัวใจดวงนี้แหว่งวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฉันเจ็บจนทนแทบไม่ไหว พยายามตะเกียกตะกายสุดแรงเกิด ทว่ากลับสู้แรงมหาศาลของมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว รู้อีกทีร่างกายก็เคลื่อนไหวจากการถูกลากผ่านความขรุขระของพื้นดินที่มีทั้งก้อนหิน เศษใบไม้ กิ่งไม้ ขวากหนาม...ฝากรอยขีดข่วนและความบอบช้ำทั่วทุกตารางของร่างกายที่ปราการบนล่างขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี บทเรียนของคนอวดดี คือเจอดีเข้าให้...ในที่สุดฉันก็เข้าใจคำพูดของป้าอย่างลึกซึ้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD