โต๊ะอาหารไม้สักทรงยาวที่ถูกสั่งทำเป็นพิเศษ เพราะเจ้าของบ้านชอบการตกแต่งที่เน้นเครื่องเรือนเป็นไม้ ถูกล้อมรอบไปด้วยสมาชิกในครอบครัวปรากรณ์ แม้คฤหาสน์หลังนี้จะค่อนข้างห่างไกลคำว่าบ้านอยู่มาก แต่เพราะเจ้าของให้ความสำคัญกับรายละเอียดต่างๆ อย่างมาก จึงทำให้มันดูโอ่โถงกว้างใหญ่แต่ก็น่าอยู่ จนใครๆ ที่ได้ผ่านไปมาหรือบังเอิญพบเห็นเข้าต่างเฝ้าฝันอยากเป็นเจ้าของ หรือแค่ลองเข้ามาเยือนสักครั้งก็ถือว่าเป็นบุญนักหนาแล้ว แต่ใครเล่าจะกล้าย่างกรายเข้ามาในเขตพื้นที่นี้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เพราะต่างรู้ดีว่าคฤหาสน์ปรากรณ์หลังนี้คือสิทธิ์ขาดอันชอบธรรมและพื้นที่พระราชทานตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาหลายชั่วอายุคนของตระกูลนี้ ตั้งแต่ในยุคเจ้าขุนมูลนายครั้งกระโน้น
ตอนนี้สมาชิกในครอบครัวต่างเพิ่งรับประทานของหวานเป็นการล้างปากจากอาหารมื้อเย็นเสร็จกัน ทุกๆ วันอาทิตย์ต้นเดือนและสิ้นเดือน พี่น้องปรากรณ์รุ่นปัจจุบันจะต้องมารับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ลูกหลานต่างรู้ดี เพราะประมุขของบ้านอย่างท่านกวินท์และคุณหญิงศิขริน ไม่อยากจะให้หลานรักสามคนที่ออกเรือนไปแล้ว ต้องแยกครอบครัวออกไปอย่างถาวร
“นี่ ไอ้น้องชาย แกลืมเอาปากมาจากบ้านหรือไงวะ เห็นนั่งหน้าตูมตั้งแต่เย็นแล้ว ไม่เมื่อยหน้าบ้างหรือไงฮึ”
ปราปต์เงยหน้าช้อนสายตาขึ้นมองนิ่งๆ ก่อนจะตอบพี่ชายกลับไป
“ผมให้พี่เลือกระหว่างให้ผมนั่งนิ่งๆ หรือว่าจะให้ผมพูดถึงเรื่องวันนั้น ตอนที่ผมไปคุมการตรวจจับผับที่เปิดเกินเวลา แล้วไปเจอพี่กับ... สาวๆ อย่างไหนจะดีกว่ากัน”
‘ปราณรภัทร ปรากรณ์’ สะดุ้งโหยงแต่ไม่ได้มองหน้าน้องชายกลับ เพราะถึงแม้ปากจะบอกให้เลือก แต่สิ่งที่ไอ้ตัวแสบมันพูด ก็คือการฟ้องดีๆ นี่เอง เขาค่อยๆ เหลียวมองที่ข้างตัว ด้วยอาการเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้ยๆ อย่ามั่วนะเจ้าปราปต์ เมียฉันเข้าใจผิดหมดแล้วเนี่ย”
“ก็ถ้าปราณจะโกหกหวาน เพื่อแอบหนีเที่ยวอย่างนั้น หวานก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากต่อไปหวานจะทำบ้าง ถ้าปราณแอบมีผู้หญิงอื่น หวานก็จะทำบ้าง” หญิงสาวพูดไปสะบัดหน้าไป ด้วยอาการแง่งอน
“โธ่ๆ ที่รักครับ อย่าไปเชื่อเจ้าปราปต์มันมาก หวานก็รู้ว่าผมรักคุณคนเดียว ที่ไปเมื่อคืนนั้นก็เรื่องงานที่บริษัทจริงๆ ไม่มีอย่างอื่นเลย เชื่อผมนะครับ”
ปราปต์ลอบมองอย่างขบขัน ที่ตนเองสามารถทำให้งานเข้าพี่ชายฝาแฝดได้แบบเต็มๆ เกิดมาหน้าตาเหมือนกันแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมพี่ชายเขาถึงได้ดูแหยขนาดนั้น นี่ถ้าเป็นเขาละก็ ไม่มีทางซะหรอกที่จะยอมเมียจนเข้าขั้นเป็นคนกลัวเมียอย่างที่ปราณรภัทรเป็น
“แกไม่ต้องมาหัวเราะเยาะฉันเลยไอ้น้องบ้า สร้างเรื่องแล้วยังมีหน้านะแก คอยดูเถอะฉันจะแช่งให้น้องอินงอนแกบ้าง อยากจะรู้จริงๆ ว่าแกจะทำปากเก่งไปได้สักกี่น้ำ”
ประโยคนี้เข้าสู่โสตรับรู้ของอุรัตน์นรินทร์อย่างจัง หญิงสาวหน้าเจื่อนลงทันตา เพราะไม่รู้จะมองหน้าทุกคนที่สนใจกับบทสนทนานี้ด้วยใบหน้าที่แสดงอารมณ์แบบไหนดี เพราะความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เธอโกรธหรือไม่พอใจอะไรปราปต์ขึ้นมา คนอย่างเขาคงไม่มีวันที่จะง้องอนเธอ อย่างที่พี่ชายเขาทำกับภรรยาของตนเป็นแน่ ดูได้จากพอปราปต์ฟังปราณรภัทรพูดจบ เขาก็ออกอาการเหยียดยิ้มมุมปากจนแทบจะเป็นเส้นตรง แล้วมองมาทางเธอ
เหมือน ‘ปริมประภา ปรากรณ์’ จะรับรู้ถึงความรู้สึกของน้องสะใภ้ได้ ต่อให้ภายนอกอุรัตน์นรินทร์จะทำตัวแจ่มใสร่าเริงเพียงใด แต่แววตาของหญิงสาวมันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าน้องสะใภ้ไม่ได้มีความสุขอย่างที่เห็น ปราปต์เป็นคนยังไง ทำไมคนเป็นพี่สาวอย่างเธอจะไม่รู้
“มันน่าสมน้ำหน้ามั้ยล่ะเจ้าปราณ อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปเขี่ยหางแมงป่องซะได้ โดนต่อยกลับแบบนี้ก็สมควร” ปริมประภาพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของอุรัตน์นรินทร์ และคนอื่นๆ ให้มองเรื่องนี้เป็นแค่การแกว่งปากหาเสี้ยนของปราณรภัทรเท่านั้น
คนแกว่างปากหาเสี้ยนไม่ได้สนใจจะแก้ต่างให้ตนเองเพราะมัวแต่สนใจอ้อนเมียอยู่ ส่วนคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแมงป่องกลับไม่ยอมให้ตนเองถูกกระทบกระเทียบอยู่ฝ่ายเดียว
“มันคงไม่มีวันนั้นหรอกพี่ปริม อินเขาเป็นคนว่าง่าย ใครบอกอะไรเขาก็เชื่อ ขนาดมีคนบอกให้เขาแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขายังยอมเลย คงไม่มีเรื่องอะไรที่อินเขาจะรับไม่ได้อีกแล้วละ”
“ตาปราปต์ ! ดูพูดเข้า”
คุณหญิง ‘ปานประดับ ปรากรณ์’ แทบจะลมจับเมื่อได้ยินลูกชายคนเล็กหักหน้าลูกสะใภ้กลางโต๊ะทานข้าวที่ห้อมล้อมไปด้วยสมาชิกในครอบครัวหลายคน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ พี่ปราปต์แค่ล้ออินเล่นเฉยๆ คุณแม่อย่าถือสาเอามาเป็นอารมณ์เลยนะคะ”
คุณหญิงปานประดับมองลูกสะใภ้คนเล็กอย่างซาบซึ้งใจในความน่ารักและแสนดี เธอไม่เคยเสียใจที่จับปราปต์แต่งงานกับอุรัตน์นรินทร์เลย แม้จะบอกเหตุผลและความจำเป็นกับลูกชายไป แต่ลึกๆ แล้วเธอยินดีที่อุรัตน์นรินทร์กับปราปต์ได้ลงเอยกัน และยังหวังอยู่เสมอว่าสักวันลูกสะใภ้คนนี้จะสามารถเปลี่ยนอุปนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างของลูกชายคนเล็กของเธอได้
“เห็นมั้ยล่ะ ผมบอกแล้วว่าอินเขาไม่รู้สึกอะไรหรอก เขาเป็นคนง่ายๆ ง่ายไปซะทุกเรื่อง !” เขากระแทกเสียงไปที่ประโยคสุดท้าย ยิ่งได้เห็นอีกคนสะดุ้งตาม ยิ่งสะใจ
“ปราปต์ ปู่เคยสอนให้แกดูถูกผู้หญิงหรือไง ยิ่งหนูอินยังเป็นเมียแกอีก หัดรักษาน้ำใจเขาไว้บ้าง อย่านึกว่าใครๆ เขาจะทนแกได้ เหมือนอย่างพวกฉัน ต่อให้หนูอินรักแกแค่ไหน แต่ถ้าวันหนึ่งเขาทนไม่ไหวขึ้นมา แกนั่นแหละที่จะเป็นคนเสียใจ”
ท่านกวินท์บุคคลที่เป็นเหมือนประมุขของบ้าน สั่งสอนอย่างอดรนทนไม่ไหวที่เห็นความงี่เง่าของหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของเมียตน ตามใจกันจนเสียคน
ประโยคนั้นของปราปต์มันยิ่งกว่าการฉีกหน้ากันซะอีก ตอนก่อนแต่งงานเขาเคยว่าเธอว่าเป็นคนใจง่ายยังไง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดอย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน
“อินขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะคะ” อุรัตน์นรินทร์ไม่รู้จะอยู่ตรงนี้ทำไมให้ตนเองต้องอับอายไปมากกว่านี้ จึงเอ่ยปากขอตัวตั้งใจจะหลบฉากออกไป
“จะแอบไปร้องไห้ แล้วกลับมาตาบวมให้ทุกคนเห็นหรือไง”
“ปราปต์ลูก พอเถอะ ย่าว่าเราชักจะก้าวร้าวมากไปแล้วรู้มั้ย ไม่น่ารักเลย” คุณหญิงศิขรินไม่อยากจะตำหนิหลานชายสุดที่รักของตนเลย เพราะถึงแม้หลานคนเล็กคนนี้ จะดื้อด้านเอาแต่ใจกับใครแค่ไหน แต่กับเธอปราปต์จะเป็นเด็กดีเสมอ
“อะไรกันครับย่า เจ้าตัวเขายังไม่เห็นว่าอะไรสักคำ คนอื่นๆ จะมาเดือดร้อนแทนทำไม”
“ที่เขาไม่พูด ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้สึก แต่เพราะการพูดกับคนพาลอย่างแกให้รู้เรื่อง ต่อให้ปากเปียกปากแฉะเสียน้ำลายไปเป็นลิตร ก็ใช่ว่าคนไร้สมองอย่างแกจะเข้าใจ สู้ไปพูดให้ไอ้ด่างมันฟังยังจะดีซะกว่า”
‘กบินทร์ ปรากรณ์’ พูดออกไปด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง จึงทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารพากันเงียบโดยอัตโนมัติ
“นี่พ่อถึงขนาดว่าผมเป็นหมา เพราะคนอื่นเนี่ยนะครับ” สายตาที่ปราปต์ใช้มองอุรัตน์นรินทร์ เสมือนกับว่าหญิงสาวคือตัวปัญหา ที่สร้างแต่เรื่องให้เขาต้องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น
คำว่า ‘คนอื่น’ แค่คำเดียว กลับทำให้ความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีล้มระเนระนาดแบบไม่เป็นท่า อุรัตน์นรินทร์นั่งน้ำตานองหน้าอยู่ตรงนั้น แม้จะไม่ได้สะอึกสะอื้นโวยวาย แต่หัวใจข้างในมันกลับบีบตัวอย่างแรงจนแทบหายใจไม่ออก
“เจ้าปราปต์ ! ฉันสั่งให้แกหยุด”
“ก็ได้ครับ ถ้าผมอยู่แล้วมันขวางหูขวางตาพ่อนัก ผมกับเมียก็ขอตัว” ปราปต์ลุกขึ้นทันที ก่อนที่จะใช้สายตาคมดุมองมาที่หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ “ไปกลับ !”
เมื่อเห็นว่าอุรัตน์นรินทร์ยังไม่มีแม้แต่อาการตอบสนองใดๆ เขาจึงจับข้อแขนเธอ ออกแรงดึงเบาๆ เพื่อบอกอีกทีว่าเขาและเธอจะต้องกลับแล้ว
ร่างบางยังคงขืนตัวน้อยๆ เหตุเพราะไม่อาจทำใจให้ยอมรับกับคำพูดของสามีได้ เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพราะอะไรปราปต์ถึงได้จงเกลียดจงชังกันนัก ยิ่งหลายเดือนให้หลังมานี้ดูเขาจะหนักข้อขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า อะไรที่ทำให้เธอเจ็บช้ำ หรือเสียความรู้สึกได้ เขาจะทำมันทันทีอย่างไม่รีรอ
“ทำไม ? จะไม่กลับหรือไง” ปราปต์ที่อารมณ์คุกรุ่นตั้งแต่เรื่องเมื่อตอนเย็นเริ่มขึ้นเสียง ทุกทีอุรัตน์นรินทร์จะยอมเขาโดยดีเสมอมา แต่ทำไมวันนี้ถึงต้องให้เขาสั่งซ้ำสอง
“หนูอิน ถ้ายังไม่อยากไป ก็ยังไม่ต้องไปนะลูก อยู่กับพ่อกับแม่ที่นี่ก่อน จะค้างเลยก็ได้ สบายใจเมื่อไรค่อยกลับ เดี๋ยวพ่อให้คนรถไปส่งเอง”
ท่านกบินทร์เห็นใจลูกสะใภ้คนนี้นัก รู้ดีว่าหญิงสาวต้องแบกรับอะไรบ้าง
เหมือนหญิงสาวจะเริ่มรู้สึกตัวว่าตนเองแสดงอารมณ์อ่อนแอมากเกินไป จนหลายคนเริ่มที่จะเป็นห่วง จึงรีบปาดน้ำตาแล้วพยายามฉีกยิ้มอ่อนๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพ่อ อินกลับพร้อมพี่ปราปต์เลยดีกว่า จะได้ไม่รบกวนคุณพ่อคุณแม่นานด้วย”
“ถ้าจะไปก็ลุกได้แล้ว อย่ามัวพิรี้พิไร” เขาปล่อยมือเธอลง พร้อมเดินนำออกไปที่หน้าบ้าน
อุรัตน์นรินทร์เอ่ยลาและยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม ด้วยดวงตาที่ยังฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำ ยิ่งเห็นทุกคนมองมาเหมือนให้กำลังใจ ยิ่งรู้สึกเศร้า ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถอยู่ในครอบครัวที่แสนอบอุ่นแบบนี้ไปได้อีกนานสักเท่าใด
“หนูอินลูก ถ้าว่างมาหาย่าอีกนะ มาทำขนมอร่อยๆ ให้ปู่กับย่าทานอีก เมื่อวันก่อนย่าได้หนังสือวรรณกรรมเรื่องอิเหนาฉบับร้อยกรองมา ย่ารอหนูมาอ่านให้ฟังอยู่นะจ๊ะ”
“ค่ะคุณย่า อินรับปากว่าจะมาหาคุณย่าบ่อยๆ แต่คงต้องสักระยะนะคะ ขออินจัดการอะไรๆ ให้มันเรียบร้อยก่อน”
“จ้ะ งั้นก็ไปเถอะลูก เดี๋ยวตาปราปต์รอนานแล้วจะพาลอารมณ์เสียขึ้นมาอีก” ยิ่งฟังน้ำเสียงท้ายประโยคนั้นของอุรัตน์นรินทร์ คุณหญิงศิขรินยิ่งรู้สึกใจหาย เพราะมันแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว มั่นคง แบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนในตัวเด็กผู้หญิงแสนบอบบางคนนี้