Stay Hug ที่พบรัก 22

1364 Words
Stay Hug ที่พบรัก 22 วันที่ต้องเดินทางกลับมาที่โรงแรม พี่ชายและพ่อแม่เตรียมของมาให้เยอะมาก ส่วนใหญ่มักจะเป็นของกินที่ฉันชื่นชอบ หลังจากที่กอดลาทุกคนเสร็จฉันก็เริ่มออกเดินทางในเส้นทางที่คุ้นเคย และยังคงใช้ความเร็วในการขับไม่เร่งรีบสักเท่าไหร่ ปกติใช้ความเร็วคงที่เวลาก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่วันนี้ยังไม่ได้กลับโรงแรมในทันทีเพราะฉันจะต้องเอาของฝากไปกระจายให้ครบทุกคนเสียก่อน “หือ? ใครกัน” ระหว่างที่กำลังขับรถอยู่นั้นโทรศัพท์ฉันก็มีสายเรียกเข้า จังหวะที่เหลือบสายตามองหน้าจอแวบหนึ่งก็เห็นชื่อของคนปลายสาย ฉันยังไม่ได้รับในทันที แต่ชะลอและหยุดรถที่ข้างทางเสียก่อน จากนั้นก็เชื่อมหูฟังไร้สายเข้ากับโทรศัพท์ก่อนกดโทร. กลับ และค่อย ๆ เคลื่อนรถไปข้างหน้าเพื่อเดินทางต่อ ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูฝน ฉันกลัวว่าหากยังลีลาแล้วฝนจะเทกระหน่ำลงมาเสียก่อน แต่ฉันก็ไม่อยากประมาทรับโทรศัพท์ขณะขับรถน่ะสิ “ฮัลโหล ๆ” ฉันส่งเสียงทักทายเมื่อได้ยินเสียงกุกกักดังจากปลายสาย รู้สึกสบายใจและกล้าที่จะคุยกับเขาเหมือนกัน ไม่ได้กลัวเหมือนช่วงแรก ๆ ที่เจอกันแล้ว (ถึงไหนแล้ว) พี่แทนคุณเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ “อืม...อีกสักชั่วโมงก็ถึงค่ะ แบบเหยียบแค่แปดสิบอะนะ” ฉันบอกปลายสายและยังคงขับรถอย่างไม่เร่งรีบดังเดิม (ไม่ต้องรีบ นี่ใช้หูฟังอยู่ไหม?) “ใช้อยู่ค่ะ ทำไมเหรอ?” (ค้างสายเอาไว้ไม่ต้องวาง) “อ้อ โอเคค่ะ อยากอยู่เป็นเพื่อนเราขับรถเหรอ?” ฉันยอมอย่างว่าง่าย เพราะเถียงไปก็ปวดหัว ฉันเถียงเขาไม่เคยชนะหรอก ดังนั้นจึงทำแค่เปิดเพลงคลอในรถขณะถือสายคุยกับเขาไปด้วย (กลับมาคงถึงช่วงบ่าย อยากกินอะไรไหมล่ะ? จะให้คนงานที่บ้านทำไว้ให้) “ยังคิดไม่ออกค่ะ แต่เดี๋ยวกินกับเพื่อนก็ได้ เราไม่รบกวนดีกว่า” ฉันบอกปฏิเสธ สายตายังมองที่ถนนข้างหน้าสลับกับมองกระจกข้างและกระจกหลังเป็นระยะ (ไม่มากินด้วยกันเหรอ?) แต่ไม่คิดว่าคุณพี่แทนคุณจะเอ่ยถามกลับมาแบบนั้น “คิดถึงเพื่อนอะ” ฉันตอบตามที่ตัวเองรู้สึก ทั้งยังทำเสียงอ้อน ๆ ปลายสายทั้งที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กล้าทำเสียงแบบนั้นใส่เขา (อ่า โอเค ถ้ากินข้าวกับเพื่อนเสร็จแวะมาที่ไร่หน่อยนะ) “ได้ค่ะ” (ค่อย ๆ ขับนะ ถ้าเหงาก็เรียกจะคุยด้วย) และไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินแบบนั้นถึงได้พยักหน้าเข้าใจแทนการเอ่ยตอบ มันเป็นปฏิกิริยาที่เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ฉันไม่ได้ตอบเขาอีก ทำเพียงขับรถต่อไปเรื่อย ๆ ส่วนคนปลายสายคล้ายกับกำลังทำอะไรบางอย่างเพราะยังมีเสียงกุกกักดังแทรกเข้ามา มีบ้างที่ได้ยินเขาพูดคุยกับคนอื่นที่อยู่กับเขา ซึ่งฉันน่ะเอาเข้าจริงก็ไม่เข้าใจนักหรอกนะว่าเขาพูดอะไรบ้าง สักพักใหญ่ ๆ ก็ยังได้ยินเสียงจากทางสวนลำไย ไม่รู้เหมือนกันว่าสายจะตัดไปตอนไหน “โอ๊ะ” (เป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น) เพียงแค่อุทานขึ้นมาเบา ๆ คนที่ยังอยู่ในสายก็รีบถามกลับทันที “มะ ไม่มีอะไรค่ะ” ฉันแค่อุทานตกใจ เมื่อเผลอข่วนหน้าตัวเองตอนขยับแว่นสายตาที่สวมอยู่ มันรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะมีแผลไหมและที่อุทานเป็นเพราะตกใจเจ็บนั่นแหละ (แน่นะ?) แต่เหมือนพี่แทนคุณจะยังไม่เชื่อเลยถามย้ำอีกครั้ง “แน่ค่ะ อ้อ พี่อชิบอกหรือยังคะว่าฝากไส้อั่วมาให้” เมื่ออีกฝ่ายถามย้ำฉันก็เปลี่ยนเรื่องชวนเขาคุยแทน ไม่ไหวเลยเวลาที่เขาทำเสียงเข้ม ๆ แบบนี้ฉันไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่เลย แม้จะไม่ได้กลัวแต่มันก็ไม่ได้ชินเสียทีเดียว (บอกแล้ว เมื่อวานแม่มาที่บ้าน มีหมูกรอบด้วยนะ ให้คนงานเตรียมไว้ให้แล้ว เผื่อเอาไปกินที่ห้อง) “ที่ห้องไม่มีห้องครัวค่ะ มีแต่ห้องครัวโรงแรม” ฉันบอกอย่างเกรงใจ (งั้นเดี๋ยวให้คนงานเตรียมเป็นมื้อเย็นให้ จะได้เอากลับไปกินที่ห้องได้ อยากได้น้ำจิ้มหมูกรอบไหม) “ก็ดีนะคะ แล้วคุณทำเป็นเหรอ?” (ไม่เป็นหรอก เดี๋ยวให้แม่บ้านทำไว้ให้) “ขอบคุณค่ะ” ตลอดระยะเวลาที่ขับรถในครั้งนี้ เป็นเพราะมีคนอยู่เป็นเพื่อนจึงทำให้ไม่ได้รู้สึกเหงาอะไรมากนัก กระทั่งใกล้ถึงคาเฟ่ของแนนนี่ ฉันถึงได้เอ่ยบอกเพื่อนพี่ชายให้วางสาย ตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้ว หวังว่าเพื่อนจะยังไม่ได้กินข้าวนะ ระหว่างที่คิดก็หยิบถุงไส้อั่วที่พี่ ๆ ฝากมาให้แนนนี่และธิชาติดมือมาด้วย เพราะเห็นรถของธิชาจอดอยู่ฉันถึงได้หยิบมาหมดสองชุด “อ้าว มาถึงแล้วเหรอ?” ธิชาที่หันหน้าออกมายังประตูทางเข้าส่งเสียงทักทาย พร้อมกับรีบกวักมือเรียกให้ฉันเดินเข้าไปนั่งกับเจ้าตัว “กลับมาแล้ว พี่ ๆ ทำไส้อั่วแล้วก็ฝากมาให้ด้วยนะ คนละชุด” ฉันรีบบอก พลางวางถุงกระดาษสีน้ำตาลที่ภายในนั้นมีกล่องพลาสติกบรรจุไส้อั่วไว้อย่างแน่นหนา “โอ๊ย อาหารจากเชฟดัง ฝากขอบคุณพี่ ๆ ด้วยนะ” ธิชาทำหน้าปลื้มตาวาว ฉันพยักหน้าส่งให้เพื่อนก่อนจะมองรอบข้าง วันนี้ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่แต่เหมือนจะมีออเดอร์เข้ารัว ๆ เพราะเห็นทุกคนกำลังยุ่งอยู่ “ลูกค้าเยอะเหรอวันนี้” ฉันถามธิชาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนแนนนี่ยังไม่เจอ “เยอะมาก แต่สั่งออนไลน์นะ อากาศมันครึ้มฝนอะ นี่ก็คิดอยู่ว่าเอารถอะไรไปส่งดี” “นั่นสิ เหมือนฝนจะตกอีกแล้ว” เหม่อมองออกไปนอกร้านก็พบว่าท้องฟ้าครึ้มฝนอย่างชัดเจน “ลืมถามเลย แกกินข้าวหรือยังเนี่ย จะบ่ายโมงแล้วนะ” “ยังน่ะสิ พวกแกกินหรือยัง” “กินแล้ว ให้สั่งอะไรให้ไหม?” ธิชาถามอย่างเป็นห่วง ฉันส่งยิ้มให้เพื่อนพลันส่ายหน้าไปมา “ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวเอาของฝากไปให้เพื่อนพี่อชิเสร็จจะกลับไปกินที่โรงแรม” บอกเพื่อนที่ยังคงมองมาอย่างรู้สึกผิด ฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยแซวอย่างไม่คิดอะไรมาก “ทำหน้าอะไรแบบนั้นล่ะ” “ก็ไม่รู้ว่าแกจะถึงตอนไหนเลยไม่ได้สั่งข้าวไว้ให้” ธิชายังทำหน้าเศร้า จนฉันต้องบอกเสียงจริงจัง “อะไรกัน อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้น ฉันไม่ได้โกรธพวกแกเลยเนี่ย” “ก็รู้แต่ก็รู้สึกไม่ดี” “เอาน่า อย่ากังวลเลย เรื่องเล็กน้อยมาก เดี๋ยวไปสั่งกาแฟแป๊บ” ฉันว่าแล้วขยับไปยังหน้าเคาน์เตอร์ร้านเพื่อสั่งเครื่องดื่ม เป็นจังหวะเดียวกับที่แนนนี่เดินออกมาจากห้องทำขนมหลังร้าน “อ้าว มาถึงนานยัง” “เพิ่งถึง พี่ ๆ ฝากไส้อั่วมาให้ด้วยนะ” “ดีจังเลย กำลังอยากกินพอดี ขอบใจมากนะ แล้วนี่จะอยู่นานไหม?” แนนนี่เอ่ยถามหลังจากที่ฉันจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มเสร็จเรียบร้อย “ก็กะว่าได้เครื่องดื่มแล้วจะกลับเลย ทำไมอะ?” ทวนถามเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ “มีออเดอร์ส่งที่ไร่สกุลจ้าวรักน่ะสิ ฝากแกส่งได้ไหม เด็ก ๆ ไปส่งกันไม่ทัน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD