ตอนที่เก้า

3460 Words
"สีฟ้าคือจอภาพยนตร์ เชิญเลือกที่นั่งได้เลยค่ะ" พอใจหันมองหน้าหมอมะนาว เพื่อถามความเห็น "เอาตรงนี้ก็ได้ค่ะ" กำลังจะยื่นมือไปที่จอแสดงที่นั่ง แต่สักพักก็ต้องเปลี่ยนเป็นล้วงกระเป๋าสะพายแทน เพราะเสียงจากสายเรียกเข้า แต่ไม่วายหันบอกเด็กสาว "พอใจเลือกที่นั่งไปก่อนนะคะ หมอต้องรับสายสำคัญ" พร้อมกับวางธนบัตรสีเทาให้ ก่อนจะเดินห่างออกไป พอใจได้แต่มองตามตาละห้อย แต่ก็ต้องหันกลับไปสนใจกับการซื้อตั๋วภาพยนตร์ เพราะลูกค้าเริ่มหนาแน่นราวกับแห่กันมากดดันมือใหม่หัดซื้อตั๋ว "แน่ใจนะคะ ว่าจะเลือกตรงนี้" พนักงานถามย้ำ "ค่ะ แน่ใจ" เด็กสาวเริ่มหงุดหงิด เพราะพนักงานเพียรถามซ้ำคำถามเดิมอยู่นั่น ตั๋วภาพยนตร์สองใบอยู่ในมือพอใจ นั่งรอคุณหมอด้วยความเซ็ง มองออกไปก็เห็นหล่อนยังคงคุยโทรศัพท์อย่างจริงจัง "ได้แล้วเหรอคะ" "อืม" ตอบออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ ก็คุยนานขนาดนั้น จะยังไม่ได้ได้อย่างไร ใช้สายตาตำหนิคุณหมออย่างต่อเนื่อง "ไปค่ะ ซื้อป๊อบคอร์นกัน" เพราะเริ่มสนใจคำพูดของหล่อน จึงรีบยืนขึ้น เกาะเกี่ยวแขนคุณหมออย่างประจบ ประแจง "บอกก่อนนะคะ ว่าเข้าโรงภาพยนตร์หมอจะหลับ" "อ้าว" "เอาเสื้อหมอไปนะคะ ข้างในน่ะ หนาว" พาดเสื้อกันหนาวไว้ที่แขนพอใจ โดยไม่รอให้คิดก่อน สำหรับภาพยนตร์ที่พอใจเลือกในวันนี้ ครบรสทั้ง แสง สี เสียง ปืน ระเบิด ไซไฟ จนน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ที่ทำให้ทั้งคู่ลืมไม่ลงคือ ที่นั่งที่พอใจเป็นคนเลือกเอง สองชั่วโมงก่อนหน้า "เอ่อ ตรงนี้เหรอคะ" ต้องถามเพราะเด็กสาวเดินนำไปแถวหน้า ก้มมองตำแหน่งที่นั่งในตั๋วภาพยนตร์ ถึงกับเหงื่อตก ยิ่งการเข้าโรงภาพยนตร์ทันทีที่ประตูเปิดก่อนใครเพื่อนอีก "ใช่ เร็วสิหมอ" ดูพอใจจะมีความสุขกับการดูภาพยนตร์ครั้งแรก ก่อนหน้า พวกเธอนัดแนะกันจะมาดูภาพยนตร์ด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็มีเรื่องให้พลาดทุกครั้งไป ซึ่งตอนนี้ วันที่พอใจรอคอยก็มาถึง ก็เพราะที่นั่งของพอใจอยู่หน้าสุด หน้าสุดในที่นี้คือติดจอภาพยนตร์ใหญ่ยักษ์ "อยู่ใกล้จะได้เห็นชัด" ยิ่งตอกย้ำคำถามในหัวของคุณหมอ "ค่ะ" ตอบได้แค่นี้ ที่บอกพอใจในทีแรกว่าอาจจะหลับขณะดูหนัง ต้องเปลี่ยนคำพูด เพราะหล่อนไม่อาจข่มตาหลับได้เลย ความใกล้ชิดจอภาพยนตร์ทำให้ตาพร่ามัวไปหมด ยิ่งฉากยิงปืนหรือระเบิดภูเขา เผากระท้อม ทำให้สะดุ้งตัวโยน ตั้งแต่เกิดมาก็เข้าโรงภาพยนตร์จนนับครั้งได้ และครั้งนี้คงลืมไม่ลง สำหรับพอใจ ความรู้สึกก็ไม่ต่างกัน การดูหนังครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ช่างไม่น่าประทับใจ ทุกโสตน์ประสาทของเด็กสาวเบิกกว้างทุกช่องทาง ตลอดเวลาที่นั่งดูหนังหูอื้อตาลายไปหมด เอาเป็นว่าความผิดนี้ขอโยนให้คุณหมอ เพราะหล่อนที่ทิ้งให้เธอเลือกซื้อตั๋วคนเดียว และสิ่งที่ทั้งคู่ต้องเผชิญเหมือนกันหลังออกจากโรงภาพยนตร์คือ อาการปวดคอ "ทานข้าวมั้ยคะ" เมื่อออกจากโรงภาพยนตร์ คุณหมอก็เอ่ยถามเด็กสาว เพราะตัวเองก็เริ่มหิว โดยที่มือก็จับท้ายทอยตัวเองไปด้วย อย่างต้องการบีบนวดเพื่อคลายความเมื่อยล้า หลังจากการแหงนดูภาพยนตร์ "อืม แต่หนูขอซื้อของด้วยได้มั้ย" บอกออกไปโดยที่อาการก็ไม่ต่างกัน "ได้สิ" หลังจากกลับมาถึงที่พัก ทั้งคู่ก็ช่วยกันหายาทาท้ายทอยตัวเองอย่างสามัคคี แต่ไม่มีใครเริ่มพูดเรื่องภาพยนตร์สักคำ "ให้สับคอให้มั้ย" พอใจเสนอ "ไม่เอาค่ะ น่ากลัว" "เหอะน่า ไม่เจ็บหรอก" ไม่วายตื๊ออีก ดึงแขนคุณหมอออกจากต้นคอหล่อน "ไม่เอาค่ะ" เริ่มสนุกกับการยื้อยุดกันไปมา "งั้นหมอสับให้หนูนะ" หันหลังให้ และกระถดตัวไปหน้าคุณหมอ วางมือหล่อนไว้ที่คอตัวเองแทน "ไม่เอาค่ะ ทำไม่เป็น" "งั้นแค่นวดให้ก็พอ" ได้ทีบังคับใช้คุณหมอโดยการไม่ปล่อยมือหล่อน "ค่ะ คุณพอใจ" เริ่มเข้าใจเด็กสาว และช่วยบีบนวดอย่างเบามือ "หมอ นวด" เอ่ยออกมาพร้อมหัวเราะคิกคักชอบใจ คุณหมอได้แต่ส่ายหัว "หมอเก่งภาษาอังกฤษหรือเปล่า" "ก็พอตัวค่ะ" ตอบออกมาแต่มือก็ไม่หยุดบีบนวดให้ "จริงเหรอ" พร้อมกับหันมาเผชิญหน้าโดยไม่ทันให้คุณหมอตั้งตัว "ค่ะ" จึงวางมือลงข้างตัว หยุดนวด แต่พอใจดันจับมือหล่อนขึ้นมาแทน "ติวภาษาอังกฤษให้หนูหน่อยได้มั้ยคะ" พูดพลางบีบนวดมือและแขนคุณหมอไปด้วย "ได้สิคะ" "เย่ เอาให้ได้เอเลยนะ" "ค่ะ" อยากจะบอกเหลือเกินว่าของแบบนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้เรียน หมอมะนาวกลับไปทำงานเป็นปกติหลังจากครบหนึ่งอาทิตย์ ส่วนพอใจก็เริ่มเรียนอย่างจริงจัง จนหนื่อยกับเนื้อหาเน้นๆ สำหรับนักศึกษาปีหนึ่ง แต่โชคดีหน่อยที่เป็นวิชาเบื้องต้น ไม่ใช่วิชาเอก แถมอาจารย์แต่ละวิชาก็พากันสั่งงานพร้อมๆ กัน จนหัวหมุน "พอใจ แกอยากจะไปทำงานกับฉันมั้ย ที่ถามครั้งก่อนน่ะ" "เราต้องกลับไปดูตารางงานของหมอก่อนน่ะ ต้องแอบออกมา เดี๋ยวจะบอกอีกทีนะว่าวันไหน" "อืมๆ ฉันห่วงว่าแกจะไม่มีเงินคืนอาจารย์จูนน่ะ" "จะครบเดือนแล้วนี่" นุชบอกเหมือนนึกขึ้นได้ "ใช่ แต่ยังดีนะที่อาจารย์ยังให้เราผ่อน แถมยังลดให้อีก" "อาจารย์ใจดีจัง พวกเราโชคดีเนอะ ที่มีอาจารย์จูนเป็นที่ปรึกษา" แก้มบอกอย่างซาบซึ้ง ซึ่งทั้งพอใจและนุชเห็นด้วย "อาจารย์คะ" "ว่าไง" เอ่ยออกมาโดยที่ไม่หันมองคนมาใหม่สักนิดเพราะกำลังตั้งใจกับงานปั้นในมือ "หนูเอาเงินมาให้ค่ะ" เป็นเงินที่เด็กสาวยอมตัดใจแบ่งจากเงินเดือนที่ได้จากเจ้านายมาให้หล่อน "ได้ครบแล้วเหรอ" "ยังค่ะ แต่หนูเกรงใจ ขอให้อาจารย์เท่านี้ก่อนได้มั้ยคะ" หล่อนจึงยอมละสายตามา หันมองธนบัตรสีเทาจำนวนห้าใบในมือเด็กสาวที่ยื่นมาทางเธอ "เห้อ... ไม่ต้องใช้หนี้ฉันแล้วล่ะ" เอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ "ทำไมล่ะคะ" "ฉันมาลองคิดๆ ดูแล้ว เด็กอย่างเธอคงไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก ดังนั้น ลืมเรื่องเงินไปซะ แล้วก็ตั้งใจเรียน" "อาจารย์พูดจริงเหรอคะ" "เห็นฉันเป็นคนชอบพูดจาล้อเล่นเหรอ" "ไม่ค่ะ หนูไม่ได้หมายความแบบนั้น ขอบคุณนะคะ" เอ่ยบอกออกมาอย่างตื้นตัน "อืม...แล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก ป่านนี้มะนาวไม่ห่วงแย่แล้วเหรอ" "อ๋อ วันนี้หมอเวรบ่ายค่ะ กว่าจะกลับก็เที่ยงคืน" "หึ ยังบ้างานเหมือนเดิม" เอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มมุมปาก "เธอกลับพร้อมฉันก็ได้นะ ยังไงก็ทางเดียวกัน จะได้ไม่ไปเถลไถลที่ไหน" หลังจากที่หล่อนพูดจบก็ลุกขึ้นยืน พอใจมองการกระทำของอาจารย์จรินพรไม่วางตา หล่อยขยับกายไปยังก๊อกน้ำใกล้ๆ เพื่อทำความสะอาดมือจากเศษดินเหนียว เช็ดมือจนแห้ง ถอดผ้ากันเปื้อนออก แขวนไว้ที่ราวตาก และหยิบสูทสีขาวสวมทับเสื้อกล้าม ติดกระดุม ยืนสำรวจความเรียบร้อยหน้ากระจก ก่อนจะคว้ากระเป๋าและเดินกลับมายังเด็กสาว ก็เพราะเธอเป็นถึงคณบดี ดังนั้นเวลาอยู่ในที่รโหฐานจึงต้องเรียบร้อย ดูดี และสง่างามเสมอ "มะนาวไม่อยู่ เธอจะมากินข้าวที่ห้องฉันก็ได้นะ" เอ่ยเชื้อเชิญเด็กสาวขณะเข้ามาหยุดยืนอยู่ในลิฟท์ด้วยกัน "ว่าไง สนใจมั้ย ฉันทำอาหารอร่อยนะ" "ค่ะ" หมอมะนาวคงไม่รู้หรอกว่าเธอแอบสุงสิงกับอาจารย์จรินพร แถมกินไข่พะโล้ของหมอทุกวันก็เบื่อจะแย่ หน้ากลมจะเป็นไข่แล้ว พอใจเดินเข้ามาในห้องอาจารย์จรินพรอีกครั้ง พร้อมเดินดูผลงานของเจ้าของห้องอย่างเพลิดเพลิน ระหว่างที่หล่อนกำลังเตรียมอาหาร แต่รอไม่นาน อาหารเย็นก็พร้อมเสิร์ฟ "ไข่พะโล้! " เหมือนเวรกรรมตามสนอง หนีจากไข่หมอมาเจอไข่อาจารย์ แถมยังเป็นข้าวกล้องแทนข้าวหอมมะลิอีก มื้อนั้นก็ไม่พ้นไข่เลยจริงๆ แถมหล่อนยังมีน้ำใจ จะใส่ถ้วยแบ่งให้เด็กสาวเอากลับไปทานที่ห้องอีก ดีที่ความหัวไว แสร้งทำเป็นลืมและเดินตัวปลิวกลับห้องโดยไม่สนใจเสียงเตือน "พี่หมอของแกใจดี๊ใจดี" แก้มเอ่ยชมหมอมะนาวไม่ขาดปาก นุชก็เห็นดีเห็นงามด้วย พยักหน้าหงึกหงัก จิ้มผลไม้เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ "ก็งั้นๆ แหละ" พอใจบอก รู้สึกหมั่นไส้เพื่อนทั้งสอง วันนี้มีแขกมาบ้าน นั่นคือแก้มและนุชสหายของพอใจ โดยมีหมอมะนาวต้อนรับขับสู้และดูแลอย่างดี "เคยเห็นผ่านๆ ว่าสวยแล้ว ตัวจริงสวยกว่าอีก" "แกก็พูดเว่อ" วันนี้คือวันหยุด พอใจจึงนัดเพื่อนๆ มาที่บ้านเพื่อให้หมอมะนาวช่วยติวภาษาอังกฤษ การสอบปลายภาคใกล้เข้ามาทุกที เพราะการสอบครั้งก่อน ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเด็กจิตรกรรมอย่างพวกเธอไม่มีหัวทางด้านภาษาต่างประเทศ คุณหมอมะนาวจึงเต็มใจช่วย "เริ่มกันเลยมั้ยคะ" เสียงหมอมะนาวที่เพิ่งจะเข้ามานั่งร่วมวงกับพวกเธอเอ่ยถาม "เริ่มเลยก็ได้ค่ะ ถ้าช้ากว่านี้พวกเราต้องหลับแน่ หนังท้องตึงหนังตาหย่อนน่ะค่ะ" แก้มบอกออกมาอย่างร่าเริง ก็เพราะของว่างมากมายวางเรียงรายเต็มโต๊ะ นักเรียนทั้งสามคือผู้ฟังที่ดี ตั้งใจเชื่อฟังคุณครูอย่างหมอมะนาวเสมอต้นเสมอปลาย แม้จะเป็นแค่พื้นฐานภาษาอังกฤษง่ายๆ แต่คนที่ไม่คิดอยากจะเรียนรู้มาก่อนจึงถือว่ายาก "เดี๋ยวลองเอาคำศัพท์พวกนี้ไปเติมในช่องว่างให้สมบูรณ์ และความหมายต้องสอดคล้องกันด้วยนะคะ" "ค่ะ" ทั้งสามตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง "และ! ห้ามลอกกันค่ะ" คุณหมอสั่งอย่างรู้ทัน เพราะเห็นแก้มและนุชกำลังชะโงกมองสมุดของพอใจ เนื่องด้วย ก่อนหน้านี้พอใจมีคุณหมอคอยติวให้บ้างแล้วจึงดูจะเก่งกว่าเพื่อน ให้เวลาเด็กๆ ได้ทดลองทำแบบฝึกหัดไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คุณครูจำเป็นจึงต้องตรวจความถูกต้อง โดยให้แต่ละคนอ่านกันทีละข้อ เพื่อเป็นการเฉลย จนถึงของพอใจ "I buy a pencil from sanitary napkin." จบประโยคที่อ่านออกมาด้วยน้ำเสียงแสนจะภูมิใจของพอใจ ก็พาให้คนที่เหลือทั้งสาม มองหน้ากันเลิ่กลั่ก "แน่ใจเหรอคะ ลองเลือกใหม่มั้ย" รู้สึกโทษตัวเองที่เอาคำศัพท์ยากเกินไปมาให้คนตรงหน้าได้ทดลองทำโจทย์ พอใจจึงก้มลงตรวจเช็คของตัวเองอีกครั้ง "แน่ใจค่ะ เพราะเหลือคำนี้แค่คำเดียว" "แล้วรู้มั้ยคะ ว่าความหมายของประโยคนี้คืออะไร" คุณหมอถาม "รู้สิ ฉันซื้อดินสอจากร้านเครื่องเขียน" ทั้งแก้มและนุชต่างปิดปากหัวเราะกับคำตอบของเพื่อน แต่ไม่กล้าให้เสียงหลุดรอดออกไป กลัวเพื่อนจะอาย "หมอว่าพอใจน่าจะจำผิดคำนะคะ ต้องเลือกคำว่า stationary ค่ะ ส่วนคำที่พอใจเลือกน่ะ sanitary napkin คำนี้แปลว่าผ้าอนามัย" พอใจตาโตด้วยความอายยิ่งหันไปเห็นเพื่อนๆ ยิ่งอายเข้าไปใหญ่ ตั้งใจจะโชว์เหนือเสียหน่อยแต่ดันหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ "บอกแล้วไงคะ ว่าถ้าไม่ชัวร์ ต้องเปิดดิกชันนารี่ ไม่งั้นความหมายก็จะเพี้ยนแบบนี้" "ฉันซื้อดินสอจากผ้าอนามัย ฮ่า ฮ่า" แก้มช่วยย้ำความผิดพลาดของพอใจ "พอเลยค่ะ ห้ามหัวเราะเพื่อนนะ" "ก็ใครให้เอาคำนี้มาใส่ในแบบฝึกหัดกันเล่า" ดันตีโพยตีพาย ใบหน้างออีก จนเพื่อนอย่างแก้มต้องเข้ากอดคอกอดอย่างปลอบใจ นั่นทำให้พอใจคลายความอายขึ้นมาบ้าง หลังจากแบบฝึกหัด ก็มีการย้ำบทเรียนที่คาดว่าจะออกสอบอีกครั้งอย่างกระชับและสอนทริคให้ "ปากกาไฮไลท์ก็ช่วยได้มากนะคะ เอาไว้ขีดสิ่งที่สำคัญของแต่ละคน จะได้ไม่ลืม" คุณหมอบอกในสิ่งที่ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว "จริงเหรอ" พอใจตาโตบอก ก่อนจะเปิดฝาปากกาไฮไลท์สีชมพูสด และขีดไปที่แขนคุณหมอจนหล่อนสะดุ้ง "มาขีดกันทำไมคะเนี่ย" เข้าใจว่าเด็กสาวตั้งใจจะแกล้ง "ก็หมอบอกว่า ให้ขีดทับสิ่งที่สำคัญ" บอกออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง แถมยังกระพริบตาปริบๆ ใส่หล่อน แก้มและนุชต่างหันมองกันควับเพราะท่าทีของเพื่อนสาว โดยไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา "ฮะฮึ่ม" ทั้งหมอและพอใจต่างเงียบใส่กัน จนแก้มต้องดึงสติของคนทั้งคู่ "เอ่อ... มันเลอะนะคะ หมอไปล้างก่อน" พูดจบก็ลุกขึ้นยืน และเดินห่างออกจากตรงนั้นอย่างมีพิรุธเพราะไม่ใช่แค่พอใจที่กำลังส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาให้ ยังมีแก้มและนุชที่จ้องมองเธออย่างจับผิดอีก "แก! ไอ้พอใจ พูดแบบนั้นหมายความว่าไง" เมื่อหมอไม่อยู่แก้มจึงร่าเริง รีบถามเพื่อนทันที "ก็หมายความแบบที่พูด หมอเป็นคนสำคัญของเราตอนนี้จริงๆ " "ไอ้ที่แกพูดแบบนั้นน่ะ มันเหมือนแกกำลังจีบพี่หมออยู่เลยนะเว่ย" "บ้า! เราไม่ได้จีบ" "แต่คำพูดแก จะทำให้พี่หมอคิดนะ" "นั่นยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย ไม่มีทางเด็ดขาด หมอน่ะ แต่งงานแล้ว" "แล้วไหนแฟนพี่หมอล่ะ ฉันไม่เห็นมีรูปสักใบ รูปแต่งงานในห้องนี้ก็ไม่มี แถมตอนที่แกพูดออกไป พี่หมอยังหน้าแดง เดินเขินตูดบิดหนีไปอีก" "แถมยังเอาใจพอใจตลอด" นุชแสดงความคิดเห็นบ้าง "นี่แกก็คิดเหมือนแก้มเหรอ" "อืม" "คนแต่งงานแล้ว ถ้าไม่คิดอะไรกับคนอื่น จะเขินทำไมวะ" แก้มบอกอีก "พวกแกน่ะคิดมาก" รอบนี้พอใจเริ่มเข้าสู่โหมดหนักใจ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครๆ คิดว่าเธอกำลังจีบคุณหมอ และถ้าหมอก็เข้าใจแบบนั้นไปด้วย ก็คงไม่ดีนัก พวกเธอยังต้องอยู่ด้วยกัน และไม่อยากจะกลายเป็นมือที่สาม "ทานข้าวสิคะ เห็นมองข้าวในจานนานแล้วนะ" คุณหมอเอ่ยทักคนที่นั่งตรงข้าม หลังจากเพื่อนๆ กลับไป พอใจก็ดูเงียบกว่าปกติ "หมอก็กินเถอะ ไม่ต้องสนใจหนูหรอก" เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ "เป็นอะไรไปคะ" พร้อมยื่นมือมาจับพอใจด้วยความเป็นห่วง แต่เด็กสาวดันชักมือกลับ จนคุณหมอหน้าเสีย "มีอะไรหรือเปล่าคะ" เอ่ยถามอีก "ทำไมหมอถึงไม่อยู่กับแฟนล่ะ ทั้งที่แต่งงานกันแล้ว คนแต่งงานกันต้องอยู่ด้วยกันสิ" "หมอว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องที่พอใจจะต้องรู้ค่ะ" "ทำไมล่ะ ทำไมหนูจะรู้ไม่ได้ เราอยู่ด้วยกันนะ สำหรับเราไม่ต้องมีความลับต่อกันก็ได้" เพราะ ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายเดือน พอใจจึงคิดเองเออเอง "หมอว่า เราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้นนะคะ" ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารไปทันทีที่พูดจบ ในหัวพอใจมีแต่คำถาม ก็เพียงแค่อยากจะรู้ ว่าสถานะคุณหมอและแฟนหนุ่มเป็นไปในทางไหนกันแน่ มันทำใหเธอสงสัยในความสัมพันธ์ ราวกับคู่บ่าวสาวแต่งงานเพื่อบังหน้า เพราะหมอมะนาวไม่เคยพูดถึงแฟนสักครั้ง ดังนั้น จึงต้องถาม และถ้าเป็นจริงแบบที่คิด การจีบคุณหมอคงไม่ใช่เรื่องผิด "ขึ้นมา! " อาจารย์จรินพรเปิดกระจกเรียกพอใจให้ขึ้นรถมาด้วยกัน เด็กสาวก็ทำตามอย่างว่าง่าย "ไม่คิดจะสวัสดีฉันหน่อยเหรอ ลืมปากกับมือไว้ที่บ้านหรือไง" เพราะปกติพอใจจะพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด แต่วันนี้เด็กสาวหน้าตาดูอมทุกข์ ไม่พูดไม่จา "ขอโทษค่ะ" บอกออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ จนคนขับจับอาการได้ "ห้ามมาร้องไห้ในรถฉันนะ! " อาจารย์จรินพรดุเสียงดังจนพอใจสะดุ้ง "เปล่าค่ะ หนูไม่ได้จะร้องไห้ซะหน่อย" เริ่มปากจู๋ใส่อาจารย์จรินพรเหมือนอย่างที่เคยทำราวกับความเคยชิน "นั่นหน้าหรือตูดน่ะ" หล่อนแซว "อาจารย์อ่า" พอใจเริ่มโวยวายเป็นเด็ก ทำให้อาจารย์จรินพรยิ้มออกมา นี่แหละเด็กร่าเริงกลับมาแล้ว "ลงไปซื้อกาแฟให้ทีสิ" จอดสนิทอยู่หน้าร้านกาแฟเจ้าประจำก่อนถึงมหาวิทยาลัย และได้ทีใช้ "เงินล่ะคะ" จะปฏิเสธก็ทำไม่ได้ แบมือขอเงินคนตรงหน้าแทน "ไปกลับพร้อมฉันตั้งหลายรอบ แค่เลี้ยงกาแฟฉันแก้วเดียว เธอไม่จนหรอก" "แล้วเอาอะไรล่ะคะ" เป็นข้ออ้างที่เถียงไม่ได้เลย นอกจากทำตามความต้องการของหล่อน "ช็อกโกแลตเย็นหนึ่งแก้ว และอีกแก้ว บอกพนักงานว่าของอาจารย์จูน" "นี่มันสองแก้วเลยนะคะ ไหนบอกว่าแก้วเดียวไง" "เร็วๆ เข้า อย่าลีลา แค่เพิ่มมาแก้วเดียว จะตายหรือไง ลงไป! " นั่นทำให้พอใจวิ่งหางจุกตูดลงรถไปทันที ระหว่างที่รอพอใจลงไปทำภารกิจให้ ก็คว้าลิปสติกสีชมพูในกระเป๋ามาเติมปาก รู้สึกว่าวันนี้ใบหน้าตัวเองดูซีดเกินไป "ทำไมต้องแต่งหน้าด้วย เอาซะเข้มเลย" เปิดประตูขึ้นรถมาก็เจออาจารย์จรินพรกำลังทาปากแต่งหน้าจนอดแซวไม่ได้ "ปากดี เตี๋ยวตีตายเลย" บอกแบบนั้นพร้อมมองค้อนคนข้างๆ ที่กำลังขำคิกคัก ที่ได้แกล้งแหย่ให้หล่อนหงุดหงิด "ส่งกาแฟมาสิ" วางกระเป๋าเครื่องสำอางลง และยื่นมือไปรับแก้วกาแฟจากพอใจ "ส่วนช็อกโกแลตเย็นแก้วนั้น ฉันซื้อให้เธอ" "ขอบคุณนะคะ แต่สองแก้วนี้ หนูจ่ายเงินเอง" บอกแบบนั้นแต่ปากก็ดูดน้ำในแก้วอย่างเอร็ดอร่อย ก็แก้วนี้กลายเป็นของเธอแล้วนี่ "ขนลุกว่ะ" แก้มก้มลงกระซิบข้างหูพอใจ เพราะรายวิชานี้ทำให้ทั้งขนลุก และใจเต้นไม่เป็นจังหวะ "พวกเราเรียนไวไปหรือเปล่านะ" เริ่มบ่นอุบ "เอาล่ะค่ะ ขอให้มองผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงงานศิลปะ อย่าสนใจกับรูปลักษณ์ และเรือนร่างที่พวกคุณเห็น" วิชาอาจารย์จรินพร ทำให้นักศึกษาทั้งสิบคนกำลังตาโต น้ำลายหกกันเป็นแถบๆ เพราะผู้หญิงที่นั่งอยู่กลางห้องนั้นเปลือยกายท่อนบนจนเห็นทรวดทรงอย่างชัดเจน หน้าตาว่าสะสวยแล้วนั้น ไม่เท่าส่วนเว้าส่วนโค้งของหล่อน "อาจารย์แค่อยากเห็นลายเส้นของพวกคุณ ไม่ต้องจริงจังมาก เอาเป็นว่า วาดออกมาในสิ่งที่ตนเองเห็นก็พอค่ะ" แค่อยากจะเห็นลายเส้นของนักศึกษา ถึงขนาดลงทุนเอาผู้หญิงสวยมาแก้ผ้าเป็นแบบให้ศึกษาเลยเหรอ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัวนัก รวมถึงพอใจที่เลือกที่นั่งได้พอดีเป๊ะ มุมนี้เห็นอะไรต่อมิอะไรจนเต็มตา ยิ่งหน้าอกที่ดูจะใหญ่เกินขนาดตัว ไม่อาจละความสนใจไปมองส่วนอื่นได้เลย อาจารย์จรินพรเดินตรวจงานของนักศึกษาอยู่ห่างๆ อย่างพึงพอใจ โดยในมือมีดินสอหนึ่งแท่งติดตัว คอยเข้าช่วยขีดเขียนสร้างผลงานให้นักศึกษาจนสมบูรณ์ "เน้นตรงนี้หน่อยสิ แววตาก็สำคัญ" คราวนี้เป็นคิวของพอใจบ้าง วงหน้าของอาจารย์จรินพรที่กำลังตั้งใจเพ่งมองปลายดินสอในมือ ที่กำลังจรดอยู่บนกระดาษ สลับกับนางแบบ หล่อนอยู่ใกล้พอใจแค่เอื้อม แอบสูดดมกลิ่นความหอมแบบขมๆ จากตัวอาจารย์จรินพร ไม่ได้ใจความสักนิดกับสิ่งที่หล่อนพูด "ถ้าทำให้ส่วนนี้เด่นขึ้นมา ภาพวาดของเธอก็จะน่ามองยิ่งขึ้น" พูดจบก็หันไปมองพอใจ ก่อนจะย้ำ "มองนางแบบให้ดีสิ หล่อนออกจะสวยขนาดนั้น เธอจะต้องหาจุดพึงใจในตัวหล่อน ไม่ใช่ตัวฉัน"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD