ตอนที่ 1
ลูกที่พ่อไม่รัก
"เหนื่อยเหมือนจะตายให้ได้"
เสียงของเฟยเฟยเอ่ยขึ้นมาลอยๆ เมื่อเจ้าตัวพาร่างสมส่วนของตนเดินมาตามทางเดินของมหาวิทยาลัยในส่วนที่เป็นโรงพยาบาลสำหรับให้นักศึกษาแพทย์เก็บเกี่ยวประสบการณ์โดยเฉพาะ
"เอาน่า ก็เราเลือกอาชีพนี้แล้วนี่"
คนที่เดินข้างกันมาตั้งแต่แรกเอ่ยขึ้นรอยยิ้มใจดีที่เรียกว่าเข้ากันอย่างลงตัวกับใบหน้าชวนมองภายใต้กรอบแว่นใส ยิ่งเวลานี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดนักศึกษาถูกสวมทับด้วยเสื้อกาวของนักศึกษาแพทย์สีประจำชั้นปี ก็ยิ่งชวนให้เจ้าตัวดูจริงจังเพราะว่าสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในตัว
"ก็รู้แต่มันอดบ่นไม่ได้นี่"
เฟยเฟยว่าออกมาพร้อมทำหน้ามู่แบบที่กวินทร์มองว่าน่ารักมากกว่าน่าหมั่นไส้เสียอีก เอาเข้าจริงการที่เจ้าตัวบ่นออกมาแบบนี้เพื่อนชายข้างกายไม่ได้มองว่ามันน่ารำคาญแต่อย่างใด เพราะตัวของชายหนุ่มเองก็รู้สึกอย่างที่หญิงสาวว่าไม่ต่างกัน
ด้วยว่าชีวิตของนักศึกษาแพทย์ที่ใกล้จะจบแบบพวกเขานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากแพทย์จริงๆ เท่าไหร่ พวกเขาต้องเรียนรู้และสัมผัสกับชีวิตที่เหมือนหมอคนหนึ่ง ในแต่ละวันที่นอกจากมีหน้าที่รักษาคนไข้แล้วนั้น ก็ต้องจัดการอารมณ์และสถานการณ์ตรงหน้ายามต้องรับมือกับคนไข้ที่ใช่ว่าจะพูดง่ายเสมอไป
นั้นมันจึงเป็นอะไรที่ท้าทายได้ดี ประหนึ่งว่าแต่ละวันนั้นเหมือนกับการจับฉลากในกล่องสุ่มก็ไม่ผิด โชคดีหน่อยก็ไม่เหนื่อยมาก โชคไม่ดีหน่อยก็ปวดหัวหนักกว่าเดิมเท่านั้นเอง
"แล้วนี่เธอจะกลับยังไง"
กวินทร์ยังคงเอ่ยถามขึ้นต่อ เพราะเจ้าตัวรู้ดีว่าอีกฝ่ายยอมสละรถเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองมาสายนั่นมันเลยทำให้เขาอดห่วงไม่ได้หากเจ้าตัวจะกลับเองคนเดียวเพียงลำพัง
"ถ้านายไม่มีธุระที่ไหน ไปส่งเราหน่อยได้ไหม"
น้ำเสียงออดอ้อนนั่นทำเอาคนฟังใจอ่อนยวบเหลวลงแทบจะเป็นน้ำก็ว่าได้ อันที่จริงแม้ว่าเฟยจะไม่ได้ออดอ้อนเหมือนแมวน้อยอย่างตอนนี้ ตัวของก็กวินทร์เองก็พร้อมจะตามใจอีกฝ่ายอยู่แล้ว
"ได้ดิ เดี๋ยวเราไปส่ง"
"ขอบคุณมากเลยนะ คิดไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีนายชีวิตเราจะลำบากขนาดไหน"
คำชมที่แสนธรรมดาในฐานะของเพื่อนสนิทกำลังทำเอาคนฟังอย่างกวินทร์ออกอาการขัดเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก็แน่สิ ในคำว่าเพื่อนของเขามันมีความรู้สึกบางอย่างที่เฟยไม่เคยได้รับรู้ซ่อนเอาไว้นี่น่า
ใช่แล้วล่ะ เขาคิดกับสาวข้างกายนี่มากกว่าเพื่อนมานานแล้ว หากนับเวลาเข้าให้ได้ก็เกือบปีเห็นจะได้แต่เพราะไม่อยากได้ความรู้สึกดีๆ มันพังลงสิ่งที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้มานานเลยยังเป็นแค่ตัวของเขาเท่านั้นที่รับรู้อยู่เพียงคนเดียวจนกระทั่งถึงตอนนี้
"กว่าจะได้เป็นหมอจริงๆ นี่ยากมากเลยนะ"
"ยากสิ แต่เราเชื่อว่าเฟยทำได้แน่"
"แน่สิ มาถึงขนาดนี้แล้วนี่เราไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ"
หญิงสาวว่าขึ้นพร้อมกับพาตัวเองก้าวเข้านั่งบนรถของคนเพื่อนด้วยความคุ้นชิน ในใจก็อดนึกถึงสายตาของใครคนหนึ่งที่มองมายังตนทุกครั้งเวลาเจอหน้าไม่ได้ เพราะสายตาของผู้เป็นพ่อ ที่ไม่ว่าจะพยายามมองให้ลึกมากขึ้นขนาดไหน ก็หาคำว่ารักในนั้นแทบจะไม่มีเลยสักครั้ง
"สักวันเฟยจะทำให้ป๊ายอมรับในตัวเฟยให้ได้"
หญิงสาวประกาศกร้าวในใจแบบนั้นหวังจะกลบลบความเหนื่อยในใจที่ตนเองกำลังมีให้หมดสิ้นไป เพราะในเมื่อตั้งใจแล้วหากยังไม่บรรลุเป้าหมายหญิงไม่มีวันจะยอมแพ้เด็ดขาด อย่างน้อยให้ได้ลบคำสบประมาทที่ถูกตราหน้ามาตั้งแต่เกิดก็ยังดี
เฟย เป็นลูกคนเดียวของตระกูล ซึ่งถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วเธอคือลูกสาวที่พ่อไม่ต้องการให้มีก็ว่าได้
ด้วยว่าตามความคิดของพ่อนั้นการมีลูกชายคนแรกให้ตระกูลคือสิ่งที่ถูกต้อง และเหมาะสมที่สุด ดูได้จากชื่อที่เจ้าตัวอุตส่าห์ตั้งเอาไว้นั่นสิ ก็เพราะมั่นใจว่าต้องได้ลูกชายแน่ๆ ไม่ใช่หรือ พอเธอโผล่มาเป็นผู้หญิงแบบนี้มันเลยทำให้ท่านไม่พอใจเอามากๆ และก็เหมือนจะยิ่งคูณสองเข้าไปอีกเมื่อรู้ว่าคุณแม่ของเธอไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้ว เพราะตอนที่ให้กำเนิดเฟยออกมานั้น ก็เรียกได้ว่าใช้โชคช่วยมากพอตัวอยู่เหมือนกัน ตามสภาพร่างกายแต่เดิมที่ไม่ได้แข็งแรงสมบูรณ์อะไรของคนเป็นแม่ ดังนั้นโครงการจะมีลูกคนที่สองของบ้านก็ถูกพับลงไปโดยปริยาย
"ผู้หญิงมันจะมีประโยชน์อะไร ดีแต่หาเรื่องปวดหัวมาให้ มีแต่หาเรื่องงานหน้ามาให้สิไม่ว่า"
"ผู้หญิงแบบนี้จะมาสืบทอด จะมาเป็นความหวังของตระกูลได้ยังไง"
"น่าสงสารตระกูลฉันจริงๆ ที่คงไม่มีใครมาสืบทอดต่อ"
คำพูดทำนองนี้ดังกล่าวหูของเฟยแทบจะทุกวันตั้งแต่ที่หญิงสาวยังเป็นเด็กตัวน้อยด้วยซ้ำ โดยที่ตัวของเฟยในตอนนั้นมีหน้าที่แค่รับฟังแต่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อพูดเท่าไหร่ เธอรู้เพียงแค่ว่าในสายตาของเธอนั้นคือพ่อมักจะออกปากดุด่าเป็นประจำอยู่เสมอ ไม่ว่าตนจะทำอะไรก็ดูจะผิดหูผิดตาไปหมด ซึ่งผู้เป็นแม่ก็รับรู้ทุกอย่างและต้องเป็นฝ่ายคนเจ็บช้ำแทนคนเป็นลูกทุกวันในท่าทีของผู้เป็นสามี
คำพูดของพ่อทำร้ายจิตใจของคนเป็นแม่และผ่านหูเฟยอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งเจ้าตัวได้เจ็ดขวบเริ่มจำความได้ เหตุการณ์ที่จำฝังใจก็ผ่านเข้ามาในความทรงจำ
วันนั้นหญิงจำได้ขึ้นใจ เพราะเธอร้องไห้หนักมากสุดแล้วตั้งแต่จำความได้ พร้อมกับนำพาร่างอ้อนป้อมของตนเองไปกอดรัดคนเป็นแม่เอาไว้แน่นด้วยความตื่นกลัวที่มีในใจ เหตุเพราะวันนั้นพ่อกับแม่ของเธอทะเลาะกันอย่างรุนแรงชนิดที่ว่าพ่อกล้าทิ้งแม่ของเธอให้นั่งร้องไห้อยู่กลางบ้านลำพัง ในขณะที่ตัวของเขานั้นเลือกที่จะขับรถออกไปข้างนอกโยนไม่มีคำปลอบประโลมหรือความแสดงความห่วงใยเหมือนอย่างเคย
จนกระทั่งช่างอายุของเฟยได้สิบขวบ และโตพอที่จะรับรู้และเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างในความการกระทำของผู้ใหญ่นั่นแหละ เธอถึงได้คำตอบด้วยในวันนั้นที่พ่อแม่ทะเลาะกันวันนั้นก็เพราะพ่อของเธอมีครอบครัวใหม่อีกครอบครัวหนึ่งซุกซ่อนเอาไว้อยู่ แถมฝั่งนั้นยังมีลูกชายให้พ่อได้สมใจ นั่นจึงไม่แปลกที่ว่าน้องชายที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนจะกลายเป็นลูกรักของพ่อ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอผู้เป็นลูกชังถูกทิ้งเอาไว้กับแม่เพียงลำพังเรื่อยมาแบบนี้
กริ่ง...กริ่ง
เสียงมือถือที่ดังขึ้นทำเอาเฟยที่เผลอตัวไปกับความคิดในอดีตของตนสะดุ้งออกมาเบาๆ พร้อมกับยกมือปาดหยดน้ำตาที่มันเอ่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงปมใหญ่ที่มันฝังใจตัวเองมานาน
"เอามือเช็ดอย่างนั้นได้ตาอักเสบพอดี ทิชชูอยู่ตรงนั้นไง"
กวินทร์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่ตายังคงจับจ้องมองไปยังท้องถนนตรงหน้าเหมือนเคยด้วยว่าเขาชินเสียแล้วกับมุมนี้ของเพื่อน
เพราะสนิทกันมานานทำให้กวินทร์รู้ดีถึงปมที่อยู่ในใจของเพื่อน ที่เจ้าตัวโทษตัวเองมาตลอดว่าเพราะเกิดมาเป็นหญิงเลยทำให้แม่ต้องถูกทิ้งอย่างนี้
มันจึงไม่แปลกที่เฟยจะทุ่มเททุกอย่างให้กับการเรียน เพื่อจะได้คว้าคำนำหน้าว่าแพทย์หญิงมาประดับชื่อ อย่างที่พ่อของเธอเคยคาดหวังเอาไว้ เผื่อว่าสักวันพ่อจะภูมิใจเธอในฐานะที่เป็นลูกคนเดียวของตระกูลและเลิกหมางเมินกับแม่ของเธอเสียที
"ดังถี่ขนาดนี้ ไม่ต้องดูก็รู้สินะว่าใครโทรมา"
ชายหนุ่มอดจะเอ่ยออกมาน้ำเสียงติดประชดเล็กๆ พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ อย่างอดไม่ได้ เมื่อหูได้ยินเสียงมือถือของเพื่อนสาวที่มันดังติดกันถึงสามครั้ง ราวกับมีใครเกิดเหตุฉุกเฉินแม้ว่าความจริงมันจะไม่ใช่ก็ตาม
"ว่าไง เมื่อกี้พี่ไม่ได้ยินเสียงน่ะ"
ริมฝีปากของว่าที่คุณหมอบิดยกขึ้นมาอย่างเล็กน้อย เพราะเมื่อเห็นชัดแล้วว่าความคิดของตนกับสิ่งที่ได้ยินแล้วมันสัมพันธ์กันดีเหลือเกิน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขัดออกไปนอกจากทำหน้าที่ขับรถไปเงียบๆ แม้ว่าปากจะคันยิบอยากบ่นคนเป็นเพื่อนก็ตาม จนกระทั่งปลายสายวางหูลงนั่นล่ะ กวินทร์จึงเริ่มเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
"อย่าบอกแล้วว่าโทรมาขอเงินอีกแล้ว" แม้ปากจะถามขึ้นแต่ในใจก็พอจะรู้คำตอบได้ชัดจากการกดมือถือของคนเพื่อนตอนเข้าแอปพลิเคชันของธนาคารเพื่อโอนเงิน จะเป็นคำตอบได้อย่างดีก็ตาม
"อื้ม น้องมันจำเป็นต้องใช้น่ะ"
"จำเป็นตลอด หมอนั่นโตขนาดนั้นแล้วนะ หาเงินเองได้แล้วมั้ง ตามใจกันแบบนี้เดี๋ยวได้เสียคนหมด"
"อืม น้องต้องใช้เรียน"
"เมื่อวานเธอพึ่งบ่นเรื่องหมอนั่นโดดเรียนอยู่เลยนี่ ไหนจะเรื่องที่ชอบหนีเที่ยวเป็นประจำ เรื่องยาอีก จริงๆ เราก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะเฟยเพราะมันเป็นเรื่องในครอบครัว แต่เธอก็ไม่ควรตามใจแบบนี้ทุกครั้งเพราะจะเป็นเธอเองที่เดือดร้อน"
"อุ๊ย นั่นไงรถเราอยู่ตรงนั้น แหมโดนลากเอาไปจอดไว้ตรงนั้นนี่เอง มิน่ามองหาตั้งนาน"
เป็นอีกครั้งที่กวินทร์ได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเป็นการระบายอารมณ์ เมื่อเพื่อนของตนเลือกตัดบทสนทนาลงเหมือนทุกทียามพูดเรื่องนี้ขึ้นมา กวินทร์เองที่ไม่อยากก้าวก่ายมากเกินขอบเขตแม้จะห่วงหญิงสาวที่ถูกน้องชายต่างแม่เอาเปรียบทุกครั้ง
เขาเลือกจะทำปล่อยผ่านอีกหน แล้วทำหน้าที่ไปส่งเพื่อนให้ถึงยังตัวรถของตัวเองอย่างที่ตั้งใจ
***