“วางกระเป๋าไว้ตรงนี้แล้วไปนั่งบนเก้าอี้” ช่างภาพกำลังตรวจกล้องอยู่ฉันก็เอากระเป๋าไปวางที่โต๊ะตรงทางลงบันไดก่อนจะมานั่งที่เก้าอี้ ตัวตรงคลี่ยิ้มนิดหน่อย “ซ้ายนิด เชิดหน้าขึ้นหน่อย...”
เขาสั่งและฉันก็ทำตามแต่ทว่าดูเหมือนช่างภาพจะไม่พอใจจึงเดินเข้ามาใกล้และโน้มตัวลงมาเชิดปลายคางฉันขึ้น จับปลายผมมาข้างหน้า และเลื่อนฝ่ามือมายังคอปกขยับเสื้อนักเรียนไปมาพร้อมกับใบหน้าที่ขยับมาใกล้จนฉันเอนตัวหนี มองต่ำมายังมือหนาที่เลื่อนมาถึงกระดุมนักเรียน “หนูน่ารักดีนะ ตัวก็หอม”
พรึบ!
“ขะ ขอเวลาแปบหนึ่งนะคะ” ฉันลุกจากเก้าอี้และวิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว จนคุณพายเงยหน้าจากมือถือมามองฉัน
“เสร็จแล้วเหรอ?”
“เพ้นท์ขอเปลี่ยนร้านได้ไหมคะ” คุณพายถึงกับขมวดคิ้วทันทีที่ฉันบอกออกไปแบบนั้น
“อ้าวหนูทำแบบนี้ได้ยังไงล่ะ จะมาเปลี่ยนร้านถ่ายแบบนี้เสียเวลาช่างเขาหมดนะ” ปกติฉันจะไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยสักนิด ไม่ว่าจะเจออะไรฉันสามารถก้าวผ่านมันได้เสมอ แต่เหตุการณ์เมื่อกี้ฉันไม่อยากเจออีกแล้ว เหตุการณ์ชวนให้น่าหวาดกลัวแบบนั้น “งั้นต้องจ่ายค่าเสียเวลานะ”
ป้าเจ้าของร้านทำหน้าไม่พอใจ ซึ่งฉันเองก็ยอมรับที่จะไม่ทำให้คุณพายต้องเดือดร้อนด้วยการเสียเงินสองต่อแบบนี้ จึงยิ้มให้กับคุณพายที่นั่งเงียบอยู่ “ขอโทษค่ะ เพ้นท์จะขึ้นไปถ่ายค่ะ”
ฉันพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสอง ช่างภาพยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอียงคอให้ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม “ไม่น่ารักเลยนะหนู อยู่เฉยๆ ให้ลุงจัดการเถอะ รูปจะได้ออกมาสวยๆ ไง”
ลุงช่างภาพยิ้มกริ่มก่อนจะเดินมาใกล้ฉันอีกครั้งและคราวนี้เขาวาดฝ่ามือราวกับโอบไหล่ฉันให้ยืดตัวตรง แม้จะพยายามบิดตัวหนีแต่ก็อยากจะให้ภาพออกมาเสร็จโดยเร็วที่สุด “ยืดอกหน่อย...”
สายตาของเขามองมาที่หน้าอกของฉันพลางกัดปากตัวเองและบีบไหล่ฉันแรงขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นช่างภาพก็ควรกดชัตเตอร์ ไม่ใช่ออกมาจัดระเบียบให้ลูกค้านะครับ”
ฉันเบิกตากว้าง ลุงช่างภาพก็รีบกระเด้งตัวออกไปจากตัวฉันทันทีเมื่อคุณพายยืนกอดอกพิงประตูทางเข้าอยู่ สายตาของเขาที่มองลุงช่างภาพมันว่างเปล่าจนฉันกลืนน้ำลายลงคอ ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉันและมองลุงช่างภาพที่ยืนประจำที่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ว่าไงครับ จะให้ปรับท่าทางยังไงอีก”
คุณพายจับปลายผมฉันและจัดแจงเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อยและดันแผ่นหลังฉันให้นั่งหลังตรง “ใช้ได้ไหมครับ?”
“เอียงไปทางซ้ายนิด” ฉันหันไปตามฝ่ามือของคุณพายที่จับปลายคางไว้ “เชิดหน้าอีกหน่อย แล้วก็ถอยออกไปด้วย ผมจะลั่นชัตเตอร์”
แค่คุณพายถอยหลังออกไปแสงแฟลชก็ลั่นออกมาสามสี่ครั้ง เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อยลุงช่างภาพถอดเอาเมมโมรี่ออกมาเพื่อจะยื่นให้ฉันแต่คุณพายกลับรับไปแทน “เอาไปให้ป้าด้านล่าง รอห้านาที”
“ขอบคุณครับ” คุณพายพูดขอบคุณและส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ถ้าอยากแก่ตายดีๆ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ”
“!”
“อายุขนาดนี้แล้วมองเด็กรุ่นนี้ให้เหมือนลูกหลานนะครับ แล้วก็ว่างๆ ทำจิตใจให้สงบหัดถือศีลละเว้นข้อกามาด้วย”
ฉันมองคุณพายที่ตอกกลับลุงช่างภาพอย่างกับมีดคมๆ ที่กรีดลงบนเนื้อทีไรจะเจ็บปวดมาก คุณพายยังคงไม่ลงไปด้านล่างแต่กลับมองไปรอบห้องและมาหยุดที่ลุงช่างภาพคนนี้ “หรือถ้าคุณไม่อยากแก่ตาย อยากโดนอะไรมากกว่านั้น ติดต่อผมได้นะครับ ผมยินดีช่วยคนแก่ๆ อย่างคุณ”
“...”
“ให้ไปสู่นรกภูมิเร็วขึ้น”
คุณพายยิ้มอ่อนและยื่นนามบัตรของตัวเองให้แต่ทว่าลุงช่างภาพกลับถอยหลังใบหน้าของเขาซีดเผือดก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง ฉันกัดริมฝีปากตัวเองยามมองใบหน้าหล่อเหลาที่หันมามองอย่างไม่พอใจสักเท่าไหร่
“มันทำอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะ เพ้นท์ไหวตัวทัน ขอบคุณคุณพายนะคะ” ยกมือไหว้แต่เขากลับเดินลงไปด้านล่างฉันจึงเดินตามลงไปเพื่อรอรูป ไม่ถึงห้านาทีก็ได้ภาพตามที่ต้องการ
“ช่างภาพร้านของคุณ” ก่อนจะออกจากร้านคุณพายก็ถามป้าเจ้าของร้านด้วยน้ำเสียงสุภาพ “เขาดูเป็นวัวแก่นะครับ ผมรู้แล้วว่าทำไมคนถึงไม่เข้าร้านคุณ และครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะพาคนของผมมาที่นี่”
“คะ?”
“ตรวจสอบการกระทำของเขาดีๆ นะครับ ถ้าได้เรื่องแล้วผมคิดว่าร้านคุณน่าจะมีคนเข้าเยอะกว่านี้แน่ๆ ขอบคุณสำหรับภาพครับ”
คุณพายตอบอย่างนุ่มนวลที่สุด ก่อนจะเดินออกมาจากร้านและขับรถเพื่อตรงกลับบ้านเนื่องจากภารกิจในวันนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณพายเป็นผู้ชายที่มีเหตุผลที่สุดเขาจะไม่ทำอะไรโดยวู่วามหรือทำในแบบที่ฉบับคนใจร้อนทำกัน แต่คุณพายจะกระทำสิ่งที่ตัวเองสงสัยให้คนอื่นได้โอนอ่อนตามต่างหาก อย่างเช่นเรื่องที่ประสบพบเจอมา คุณพายไม่ได้บอกว่าลุงคนนั้นลวนลามอะไรฉันเพราะไม่มีหลักฐาน แต่คุณพายกลับเสนอช่องทางให้เจ้าของร้านรู้สึกไขว่เขวและตรวจสอบคนในร้านของตัวเองโดยไม่ต้องลงมือให้เปลืองแรง
คุณพายเป็นผู้ชายที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า ขยันทำงานที่ได้รับมอบหมายและเป็นประธานบริษัทโชว์รูมรถชื่อดัง เขาเป็นผู้ชายที่ฉลาดพูดและฉลาดคิดด้วยซ้ำไป ถ้าเรื่องความมีเหตุผลส่วนหนึ่งคุณพายเป็นผู้ชายที่ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาหรือหาหลักฐานที่ตัวเองคิดว่ามันใช่ในทันทีเพื่อทำให้ทุกคนได้รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดมันถูก รอบคอบและร้ายด้วย... ใช่ คุณพายน่ะร้ายลึกนะ คุณธนินเคยบอกฉันไว้
“ว่าไงธนิน” หลังจากที่มัวแต่คิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับนิสัยของคุณพาย เขาก็รับสายจากคุณธนินที่โทรเข้ามา “อ่า ได้ครับ ผมจะแวะไปที่โชว์รูมเดี๋ยวนี้เลย โอเคครับแฟ้มที่วางบนโต๊ะนะครับ...”
คุณพายคุยอะไรต่อกับคุณธนินสักพักก็หักเลี้ยวไปอีกทางที่จะถึงบ้าน “ไปโชว์รูมก่อนแล้วกัน ฉันมีงานต้องเคลียร์ด่วน”
“ได้ค่ะ” ฉันยิ้มให้กับคุณพายที่ขับรถเร่งความเร็วไม่ช้าก็มาถึงโชว์รูมรถที่ทำงานของคุณพาย ความจริงฉันเคยเดินผ่านที่นี่มาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเข้าไปข้างในเลยเพราะไม่กล้า และนี่คือครั้งแรกที่ฉันได้เข้าไปในโชว์รูมที่ใหญ่กว้าง มีรถหรูหลายคันจอดอยู่ และมีเคาน์เตอร์สำหรับพนักงานผู้หญิงประจำตำแหน่ง พวกเธอเห็นคุณพายก็ลุกขึ้นยิ้มแย้มยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม แต่พอเห็นฉันก็ทำหน้านิ่งในทันทีราวกับฉันไร้ตัวตนมากเมื่อเทียบกับพวกเธอ
“ธนินเอาเอกสารมาไว้ในห้องแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะคุณพาย” ร่างสูงตรงหน้าเดินตรงเข้าไปยังห้องทำงานของตัวเองและแน่นอนว่าฉันเดินตามเข้าไป จึงได้เห็นที่หน้าห้องของเขามีโต๊ะทำงานของเลขาสาวสวยหุ่นดีแต่งตัวได้เซ็กซี่มากๆ ลุกขึ้นยืนเปิดประตูให้เขา
“เอกสารที่ต้องเซ็นกับอนุมัติเรื่องรถนำเข้าอยู่บนกองนี้เลยค่ะ”
ฉันเบิกตากว้างกับเอกสารตรงหน้าที่หนาพอดูแม้จะมีไม่กี่แฟ้มก็ตามที คุณพายเดินไปนั่งประจำที่ก่อนจะหยิบปากกาออกมาเปิดแฟ้มเอกสารอ่านรายละเอียด “คุณพายจะรับกาแฟไหมคะ?”
“อืม ถามเพ้นท์ด้วยว่าจะเอาอะไร” พูดโดยไม่มองแต่ชี้นิ้วมาหาฉันที่ยืนอยู่อย่างมึนงง
“เออ เพ้นท์ขอน้ำเปล่าก็พอค่ะ” ตอบออกไปอย่างยิ้มแย้ม แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากเลขาสาวคือใบหน้าบึ้งตึงและรอยยิ้มเบะปากของเธอที่เดินสวนฉันไป เพราะคุณพายทำงานอยู่จึงยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องจนเลขาสาวเอากาแฟมาให้คุณพายอีกครั้ง ก่อนจะวางแก้วน้ำเปล่าลงบนโต๊ะเล็กๆ มุมโซฟา
“แล้วจะไม่นั่งเหรอคะ?” เธอทักด้วยน้ำเสียงปนไม่พอใจ จนฉันโค้งลำตัวเดินผ่านเธอไปนั่งที่โซฟา
“ขอบคุณสำหรับนะ...” ยังไม่ทันได้ขอบคุณเธอก็เดินออกจากห้องไป ส่วนฉันก็นั่งตัวลีบอยู่ในห้องทำงานคุณพายและหันไปมองประตูห้องที่ถูกปิดอยู่ อยากรู้นะว่าคือห้องอะไรแต่ก็ไม่กล้าที่จะถาม
และเพราะว่าคุณพายกำลังยุ่งอยู่กับงาน ส่วนฉันก็ไม่รู้จะทำอะไรเลย แอร์เย็นๆ บวกกับโซฟาที่นั่งมันนุ่มนิ่ม จึงค่อยๆ เอนตัวนอนลงบนหมอนอิงที่เอามาซ้อนทับกันสองใบ แม้ว่าสายตาจะเริ่มเคลิ้มหลับลงแต่ก็ยังคงมองคนที่นั่งทำงานอยู่จนกระทั่งความมืดดำเข้าปกคลุมฉันให้เข้าสู่ห้วงนิทรา