บทที่ 13
ไปบ้านเฉินสายหลัก
หลังจากนัดแนะเวลากับแม่สามีแล้วฉันก็ลงมือทำอาหาร ฉันจัดการแบ่งเอาข้าวผัดและผัดผักใส่กล่องข้าวแค่พอกินกับลูกๆ เท่านั้น ส่วนที่เหลือฉันแบ่งไว้ให้บ้านใหญ่
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็กินข้าวเช้าพร้อมหน้ากันกับลูกทั้งสอง ฉันทำการตัดผมให้ลูกสาวและลูกชาย และกินข้าวเที่ยงเสร็จก็จับเด็กน้อยทั้งสองนอนกลางวัน…
เวลาบ่ายสอง…
ฉันก็เดินมาปรับดินหลังบ้านเพื่อที่จะปลูกผักไว้กิน ที่จริงผักในมิติก็มี แต่ฉันอยากปลูกไว้กันคนถามเวลาฉันเอาผักออกมาจากมิติ และก็อยากจะมีอะไรทำด้วย
และเมื่อถึงเวลาตื่นนอนของเด็กๆ แล้ว ฉันก็เดินไปปลุกลูกๆ เพื่อที่จะพาเด็กน้อยทั้งสองไปบ้านใหญ่ ฉันตั้งใจจะไปทำอาหารให้เด็กๆ และไปช่วยบ้านใหญ่ทำอาหารด้วย…
บ้านเฉิน ในครัว…
ฉันฝากลูกทั้งสองให้หลานๆ ดูแลให้ แล้วฉันก็มาที่ห้องครัว เห็นว่าพี่สะใภ้ใหญ่กำลังลงมือทำอาหารอยู่ กลิ่นหอมของเนื้อที่น่าจะทำการตุ๋นอยู่ทำเอาเธอเกิดความสงสัยจึงถามว่า
“พี่สะใภ้ใหญ่ ทำอะไรกินเหรอวันนี้ กลิ่นหอมจัง”
“คุณแม่ให้ฉันไปขอซื้อกระต่ายจากบ้านโจวมาตุ๋นแล้วก็ผัดผักไปกินที่บ้านหลักนะจ้ะ” สะใภ้ใหญ่หันมาตอบแล้วปิดฝาหม้อไว้
“ฉันมีข้าวและไข่มาด้วย เดี๋ยวฉันจะช่วยทำผัดผักนะ ส่วนเด็กๆ ฉันว่าจะทำข้าวผัดไข่ ยังไงฉันก็ฝากลี่เหมยและลี่หมิงด้วยนะคะ” ฉันบอกเมนูที่จะทำ และไม่ลืมฝากลูกๆ ให้พี่สะใภ้ใหญ่ดูแล
“จ้ะ เดี๋ยวฉันจะดูแลให้อย่างดีเลย” สะใภ้ใหญ่ยิ้มรับ และเต็มใจที่จะดูแลหลานๆ ทั้งสอง เพราะเวลาสะใภ้รองมาฝากลูกของเธอไว้ ลูกๆ ของนางก็จะได้รับอาหารดีๆ ไปด้วย…
พอช่วยสะใภ้ใหญ่ทำอาหารเสร็จแล้ว ก็เกือบจะ 5 โมง ใกล้เวลาเลิกงานที่คอมมูนแล้ว ฉันก็ขอตัวกลับบ้านไปอาบน้ำเพราะเหนียวตัวจะแย่ ฉันทำธุระส่วนตัวและจัดการเจ้าเด็กทั้งสองเสร็จแล้ว
ฉันก็เอาส้มใส่ตะกร้า แล้วอุ้มลูกชายไว้แล้วหันไปชวนลูกสาวที่นอนระบายสีอยู่พื้นพรมนุ่มๆ กลางบ้านที่เธอปูเอาไว้ให้ลูกๆ นอนเล่น
“ลี่เหมย ไปบ้านคุณย่ากัน”
“ค่ะ” พอได้ยินเสียงหวานๆ ของแม่ เด็กน้อยก็เงยหน้าจากแผ่นระบายสี แล้วลุกขึ้นวิ่งมาหาแม่แล้ว ลี่เหมยก็ชะโงกไปดูตะกร้าที่แม่ถืออยู่
“อะไรเหรอคะ”
“ส้มน่ะ ที่แม่ให้ลูกกินเมื่อเช้าไง” ฉันบอกลูกสาว
“หนูอยากกิน” พอได้ยินว่าเป็นของกินเด็กน้อยก็เงยหน้ามาอ้อนแม่ตาแป๋ว เด็กน้อยยังจำรสชาติของส้มที่กินไปเมื่อเช้านี้ได้ มันหวานอมเปรี้ยว และแม่บอกว่ามีประโยชน์ เด็กน้อยก็อยากกินอีก
“เดี๋ยวแม่แบ่งไว้ให้นะ แล้วให้ป้าสะใภ้ปอกให้กินตอนกินข้าวเสร็จแล้วนะคะ” ฉันยิ้มแล้วเดินไปในครัว หยิบส้มในตะกร้าใส่ถุงกระดาษแล้วยื่นให้ลูกสาว
“…” เด็กน้อยไม่พูด แต่ยิ้มกว้างแล้วรับถุงส้มที่มีส้มอยู่ 3 ลูกไปถือไว้แล้ววิ่งไปรอแม่หน้าบ้าน ฉันยิ้มตามหลังลูกสาวอย่างเอ็นดูแล้วหยิบส้มมาจากมิติมาใส่ตะกร้าไว้ให้มันเท่าเดิม…
ที่บ้านเฉิน…
พอเดินมาถึงหน้าบ้านก็เห็นว่าทุกคนนั่งรออยู่ตรงแคร่หน้าบ้าน ฉันจึงก้มหัวให้พ่อแม่และพี่ชายสามี แล้วหันไปยิ้มให้น้องชายทั้งสองคนของสามี
“พี่สะใภ้รองมาแล้ว” ซึ่งเป็นน้องชายสี่เอ่ยทักฉัน
ฉันก็ยังยิ้มให้ทุกคน ชูตะกร้าให้พ่อเฉินแม่เฉินดู แล้วหยิบถุงจากมือลูกสาวไปยื่นให้สะใภ้ใหญ่ บอกทุกคนว่า
“หนูเอาส้มไปฝากคุณย่าเฉินด้วยนะคะ ส่วนนี่ของเด็กๆ ค่ะ ฝากพี่สะใภ้ด้วยนะคะ”
“ขอบใจๆ ไปกันเถอะ” แม่เฉินมองตามเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร จากนั้นก็เอ่ยชวนทุกคนออกเดินทางไปหมู่บ้านหนานไห่
ซึ่งวันนี้คนที่ไปด้วยมีพ่อเฉิน แม่เฉิน พี่ชายใหญ่ น้องชายสาม ส่วนน้องชายสี่เห็นบอกว่าต้องช่วยงานบ้านว่าที่คู่หมั้นเล็กน้อย
ฉันเดินเคียงคู่กับสะใภ้สามที่ไม่รู้นึกครึ้มอะไรถึงได้มาคุยกับเธอ และเรื่องที่คุยก็เป็นเรื่องราวของบ้านสายหลักทั้งนั้น เธอจึงฟังเพื่อพิจารณา…
เวลานี้เกือบจะ 6 โมงเย็น กำลังเริ่มมืด กลุ่มของบ้านเฉินเดินมาถึงหมู่บ้านหนานไห่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านข้างๆ ของหมู่บ้านที่ฉันอยู่
“อ้าว น้องสาม” คุณเฉินเอ่ยทักทายคนที่กำลังเดินมาจากอีกทาง
“พี่รองมาแล้ว”
อาสามที่ฉันเคยเห็นในความทรงจำยิ้มกว้างอย่างดีใจ ฉันจำได้ว่าอาคนนี้ใจดีและเป็นคนค่อนข้างหัวอ่อน มีลูกชายแค่ 1 คน และลูกสาว 2 คน และไม่เป็นที่โปรดปรานของแม่เฒ่าเฉินเอาเสียเลย จึงทำให้โดนเอารัดเอาเปรียบ เพราะอยู่หมู่บ้านเดียวกัน
อาสามชื่อ เฉินจื้อห่าว มีภรรยาคือ เย่วถังถัง และลูกชายชื่อ เฉินจื้อจง อายุน่าจะประมาณหยางตง สามีของฉัน ลูกสาวคนโตแต่งออกไปแล้ว ส่วนลูกสาวคนเล็กก็กำลังจะแต่งออกไปเช่นกัน
“ลุงรอง ป้าสะใภ้รอง” ลูกชายของอาสามก้มหัวให้พ่อเฉินแม่เฉิน
“ไปๆ เข้าไปข้างในบ้านกันเถอะ” พ่อเฉินรับไหว้หลานชาย แล้วบอกทุกคน
จากนั้นบ้านรองเฉินทั้งสองสายก็เดินเคียงคู่กันเข้าไปในบ้าน ในมือของลูกชายอาสามก็ถืออาหารมาเช่นเดียวกัน นี่คงจะนัดแนะกันมากินข้าวที่นี่
“คุณแม่” พอเดินเข้ามาในบ้านก็มีเสียงเด็กและผู้ใหญ่คุยกันเสียงดัง คุณพ่อรีบเอ่ยทักทายแล้วเดินไปหาแม่เฒ่าเฉิน
บ้านเฉินหลักตอนนี้ มีแม่เฒ่าเฉิน ลูกชายคนโตพี่ชายพ่อเฉินชื่อ เฉินโหย่วซวงและภรรยาคือ ถังเอ้อร์นี หลานชายคนโต เฉินจินฮุ่ยและภรรยาคือ ผินจวงซู มีลูกชาย 2 คน
หลานชายคนรอง เฉินจิงข่ายและภรรยาคือหงมัวหลิน มีลูกสาว 1 คน
หลานชายคนสุดท้อง เฉินเจิ้งอี้และภรรยาแซ่หลินหลานชินกับเจียอี แต่อยู่ละหมู่บ้าน หลินหลางซิน มีลูกชาย 1 คน
“เจ้ารอง เจ้าสาม มาๆ เข้ามา” แม่เฒ่าเฉินหันมายิ้มแย้ม แล้วชักชวนทุกคนให้เข้าไปนั่งอย่างยินดี
“ขนมาทำไมกันเยอะแยะ” แต่มีคนที่ไม่ยินดี นั่นก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง น่าจะอายุมากกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ แต่ฉันไม่รู้จัก
“ใครเหรอ” เมื่อนั่งลงแล้วฉันก็หันไปกระซิบถามสะใภ้สาม
“ลูกสะใภ้ใหญ่ ภรรยาของลูกชายคนโตบ้านเฉินสายหลักยังไงล่ะคะ” สะใภ้สามมองหน้าแม่คนนั้นด้วยความไม่พอใจแล้วตอบกลับเสียงกระซิบ
“…” ผินจวงซู หล่อนไม่พูดแต่มองสะใภ้รองสายรองด้วยสายตาอิจฉาอย่างปิดไม่มิด เพราะดูสภาพการแต่งตัวของสะใภ้รองแล้วดูดีมาก เชอะ! ไม่ต้องทำงานแล้ว มีเงินที่สามีส่งมาให้ทุกเดือนใช้จ่าย ยิ่งวันนี้เห็นการแต่งตัวของเธอแล้ว ยิ่งทำให้หล่อนยิ่งอิจฉา
“ถ้าจะบ้า” ฉันว่าหล่อนด้วยสายตาของหลินซูมี่คนก่อน เพราะจากสายตาที่หล่อนมองฉันอย่างจิก ทำให้ฉันก็มองหล่อนตั้งแต่หัวจนถึงเท้าเช่นกัน
“นี่คงเป็นสะใภ้รอง ภรรยาของหยางตงสินะ”
แม่เฒ่าเฉินมองอย่างพิจารณา เพราะนางเองก็ไม่เคยเห็นหลานสะใภ้คนนี้เลย
“ค่ะคุณย่า” พอฉันตอบแล้วก้มหน้าลงนางก็พยักหน้าพอใจ เพราะนึกว่าฉันเกรงกลัว แต่แท้ที่จริงแล้วฉันแค่ก้มหน้าลงไม่อยากมองสายตาอิจฉาของป้าสะใภ้กับบรรดาลูกสะใภ้ของนางต่างหาก
“แล้วนี่ถืออะไรกันมาเยอะแยะ” แม่เฒ่าเฉินถาม
“ฉันให้ลูกสะใภ้ใหญ่และลูกสะใภ้รองทำอาหารมากินที่นี่ด้วยนะคะ มีกระต่ายตุ๋น แล้วก็ผัดผักใส่ไข่” แม่เฉินตอบแล้วหยิบเอาตะกร้ามาวางข้างหน้า
“มีข้าวขาวด้วยเหรอ” สะใภ้ใหญ่บ้านสายหลักตาโตแล้วมองตะกร้าอย่างหิวโหย นี่บ้านรองถึงกับเอาเนื้อมากินที่นี่ ถึงแม้จะเป็นแค่เนื้อกระต่าย ก็คือเนื้อไม่ใช่หรือ กลิ่นหอมที่ลอยมามันช่างดียิ่ง แต่พอเห็นถ้วยข้าวนางก็ถามขึ้นแล้วมองมาที่แม่เฉินอย่างไม่พอใจ
แม่เฉินเองก็เพิ่งเห็นจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะตอนที่ถือของมา ลูกชายนางเป็นคนถือ แล้วลูกสะใภ้ก็ไม่ได้บอกนางว่ามีข้าวด้วย แต่นางจำได้ว่าที่บ้านนางไม่มีข้าวแล้วนี่นา
“เอ่อ...” แม่เฉินยังไม่ได้ตอบอะไร สะใภ้ใหญ่บ้านหลักก็พูดขึ้นเสียงแข็ง
“แต่ตอนที่บ้านรองส่งธัญพืชมาไหนบอกว่าข้าวมีไม่เยอะ แล้วนี่กำลังจะเก็บเกี่ยวผลผลิตอีกรอบ ทำไมถึงยังเหลือข้าวอีกล่ะ”
ครั้งก่อนตอนแบ่งอาหารมาให้บ้านหลัก นางเห็นแค่ข้าวขาวนิดเดียว พอถามบ้านรองก็บอกว่าได้ไม่เยอะ ถ้าได้ไม่เยอะจริงก็ต้องหมดไปแล้วสิ
“นี่เป็นข้าวที่ฉันซื้อมาเองค่ะ ฉันเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่อยากมากินข้าวกับคุณย่า ฉันจึงแบ่งเอาข้าวมาหุงแล้วยกมาที่นี่ ส่วนนี่เป็นส้มค่ะ ฉันเอามาฝากคุณย่า”
พอเห็นแม่เฉินพูดอึกอัก ฉันก็พูดขึ้นเสียงนิ่ง ข้าวนี้ฉันเอามาเอง แต่ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรขนาดนี้
ซึ่งทุกคนเมื่อเห็นข้าวก็ตกใจแล้ว พอมาเห็นส้มยิ่งตกใจกว่าเดิม นี่มันคือส้มเชียวนะ นี่สะใภ้ของบ้านรองต้องมีเงินเยอะขนาดไหนกัน นี่คือคำถามของบ้านเฉินสายหลักเมื่อได้มองหน้ากัน
“แหม ชีวิตดีจังเลยนะจ๊ะ งานก็ไม่ได้ทำ ใช้เงินอย่างเดียว”
พอฉันตอบแล้ว แม่ผินจวงซูอะไรนี่ก็พูดขึ้น ซึ่งฉันมองแล้วก็คิดว่า แม่คนนี้น่าจะเป็นเพื่อนกับสะใภ้สามได้นะ
“สามีฉันมีปัญญาเลี้ยงค่ะ เขาไม่เคยว่านะที่ฉันใช้เงิน แล้วยังส่งเงินมาให้ทุกเดือนอีก”
ฉันปรายตามองหล่อนแล้วพูดขึ้นเสียงนิ่ง แต่นั่นทำให้คนที่ได้ฟังถึงกับสะอึก เพราะคำพูดนี้มันกระทบผู้ชายที่ไม่สามารถให้เงินภรรยาได้อย่างหยางตง
ใช่สิ สะใภ้คนนี้ของบ้านรองมีชีวิตที่สบาย เงินใช้ไม่ขาดมือ แต่ไม่คิดว่าจะใจกว้างถึงขนาดเอาข้าวมาให้กินเยอะขนาดนี้
“พื้นที่บ้านก็คับแคบขนาดนี้ จะมากินรวมกันยังไง เอามาๆ ฉันจะเอาไปเก็บไว้ให้คุณแม่กิน”
สะใภ้ใหญ่บ้านหลักคิดได้อย่างนั้นก็ไม่พอใจ นี่มันว่ากระทบลูกชายนางหรือ นางจึงจะยืดเอาอาหารนี่มาไว้กินแค่ครอบครัวนาง ว่าแล้วก็หยิบเอาตะกร้าอาหารของทั้งสองบ้านไปแล้วลุกขึ้น
“เอ่อ” เฉินจื้อห่าว อาสามพยายามจะพูดขึ้น
“คุณก็คุยกับน้องคุณไปก่อนก็แล้วกัน รีบคุยจะได้รีบกลับ” แต่พอสะใภ้ใหญ่ตวัดสายตาไปมองก็อึกอักขึ้นมา
ฉันหันไปมองสีหน้าแต่ละคนแล้วแทบดูไม่ได้ ทุกคนล้วนแต่ไม่พอใจแต่ไม่กล้าพูดเพราะเกรงใจแม่เฒ่าเฉิน สะใภ้สามที่นั่งข้างๆ ฉันยิ่งไม่พอใจที่เห็นอาหารถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตา
“อื้ม อะแฮ่ม เจ้ารอง เจ้าสาม ที่พี่เรียกมาวันนี้จะขอความร่วมมือจากบ้านรองและบ้านสามหน่อย”
เฉินโหย่วซวง ลูกชายคนโตของแม่เฒ่าเฉิน ประมุขบ้านเฉินสายหลักไอกระแอ่มขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยเกริ่นถึงเรื่องที่เรียกบ้านทั้งสองสายมาคุย
“มีอะไรหรือครับพี่ใหญ่” พ่อเฉินถามขึ้น เพราะเขาไม่รู้เรื่อง มีแค่คนอื่นในครอบครัวสายสามเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
เมื่อเช้าก็เป็นเย่วถังถัง ภรรยาของจื้อห่าวเป็นคนไปแจ้งข่าวนี้
“คือจินฮุ่ย ลูกชายคนโตของพี่อยากจะเข้าไปทำงานที่โรงงานผ้าในเมือง แต่ว่าพวกแกก็รู้ว่าโรงงานส่วนใหญ่ถ้าไม่มีเส้นสายก็เข้าไม่ได้” พอได้ยินพี่ชายพูดแล้ว ประมุขบ้านสายรองก็นั่งนิ่ง
“ครับ แล้วไงครับ” พ่อเฉินถามพี่ชายใหญ่
“พอดีจินฮุ่ยรู้จักกับคนที่ทำงานในนั้นแล้วเขาจะขายตำแหน่งให้ พี่เลยจะขอให้พวกนายออกเงินช่วยหลานชายคนนี้หน่อย” พี่ชายใหญ่บ้านเฉินสายหลักบอกทุกคน
“ค่าตำแหน่ง 300 หยวนน่ะ เงินของบ้านมีแค่ 2-3 ร้อยหยวน แต่ฉันตั้งใจจะซื้อจักรยานให้เจ้าใหญ่ด้วย เลยจะขอให้พวกนายออกช่วยบ้านล่ะ 100 หยวน” สะใภ้ใหญ่ของบ้านสายหลักพูดขึ้นหลักจากที่เดินกลับมานั่ง