บทที่ 11
แม่ดอกบัวขาว
ฉันแวะไปที่สหกรณ์ร้านค้าแล้วเลือกซื้อของติดไม้ติดมือใส่ตะกร้ามานิดหน่อย จากนั้นก็เอาผ้าปิดตะกร้าไว้ เดินไปรอเกวียนของคอมมูนที่จุดนัด
พอเดินมาถึงก็ไม่เห็นมีใคร ฉันก็เดินไปนั่งม้านั่งแล้วเอาซาลาเปาออกมากิน พร้อมเอานมผงสำหรับเด็กโตออกมาใส่ตะกร้าไว้ด้วยเพื่อเอาไปฝากหลานๆ ที่บ้านเฉิน
ฉันคิดว่าสักวันจะไปเยี่ยมบ้านหลินแล้วเอาของไปฝากบ้านเดิมบ้าง หลานๆ ฝั่งบ้านหลิน ฉันจะบำรุงเช่นกัน และนั่งรอไม่นาน ทั้งชาวบ้านและรถเกวียนก็มา ฉันเดินขึ้นไปนั่งที่เดิมทันที
ระหว่างการเดินทางก็มีสายตาสอดรู้สอดเห็นมองมาที่ตะกร้าของฉันเพราะอยากรู้ว่าสะใภ้รองบ้านเฉินวันนี้ไปซื้ออะไรมาอีก แต่ก็ต้องเสียดายเพราะฉันเอาผ้ามาปิดไว้…
จนเดินทางมาถึงหมู่บ้าน ฉันลงรถแล้วเดินอ้อมไปด้านหน้า ฉันหยิบเอาซาลาเปาลูกใหญ่ออกมา 1 ลูกแล้วยื่นให้เลขาโจว
“อะไรหรือสะใภ้รองบ้านเฉิน” เลขาโจวมองซาลาเปาที่มือฉันแล้วเงยหน้าขึ้นถาม
“ฉันให้เลขาโจวค่ะ ขอบคุณที่ให้ติดเกวียนเข้าเมืองบ่อยๆ นะคะ” ฉันตอบแล้วยิ้มให้เลขาโจว
เลขาโจวเป็นลูกชายคนโตบ้านโจว อายุ 30 ปี แต่เพราะบ้านโจวสายหลักเป็นคนเก่าแก่ของหมู่บ้าน จึงทำให้ลูกชายโตได้เรียนและมารับตำแหน่งสำคัญในหมู่บ้าน เวลาที่ฉันคนก่อนเข้าในเมือง และคนเดียวที่เต็มใจให้ฉันขึ้นรถก็มีแค่เลขาโจว ส่วนคนอื่นแม้หน้าตาจะไม่ยินดียินร้ายอะไรแล้วยังทำท่ารังเกียจฉัน
ตอนหลินซูมี่คนก่อนเข้าเมืองกับพวกเขา แล้วได้เดินกลับมาที่หมู่บ้านบ่อยๆ พอเธอกลับมาก็ด่ากราดไปทั่ว สร้างความไม่พอใจให้แก่คนที่ถูกด่า แล้วเธอก็โดนทิ้งบ่อยมาก พอกลับมาก็ด่า จนคนที่ขับเกวียนหรือรถแทรกเตอร์เข้าเมืองเอือมระอาเป็นอย่างมาก มีแต่เลขาโจวนี่แหละที่รอคนที่มาช้า ซึ่งก็มีแต่หลินซูมี่คนก่อนนี่แหละที่บ่อยสุดแล้ว ฉันจึงอยากขอบคุณเขาบ้าง
“ไม่เป็นไรๆ” เลขาโจวรีบปฏิเสธทันที
“รับไปเถอะค่ะ ถือซะว่าเป็นน้ำใจของฉันนะคะ” แต่ฉันก็ยื่นให้เขา แล้วทำหน้ากดดันเพื่อเป็นการบังคับให้เขารับไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ขอบใจมากนะ” พอเห็นสายตาของฉันแล้ว ไหนจะกลิ่นซาลาเปาในห่อกระดาษนี่อีก เขาจึงรับมันมาอย่างเต็มใจ
“…” ฉันไม่พูดแต่ยิ้ม และก้มหัวให้กับเลขาโจวเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังเดินไปบ้านเฉิน สร้างความตกตะลึงให้แก่คนแถวนั้นเป็นอย่างมากที่เห็นสะใภ้รองบ้านเฉินเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ท่าทางนอบน้อมแบบนี้พวกเขาเคยเห็นแค่ตอนก่อนหลินซูมี่จะแต่งเข้าบ้านเฉินเท่านั้น
เพราะหลังจากแต่งแล้วเธอก็แผลงฤทธิ์จนต้องแยกบ้าน แล้วยังชอบมาด่า อาละวาดคนที่คอมมูนบ่อยๆ เวลาที่ได้เดินกลับหมู่บ้าน แต่วันนี้นอกจากจะไม่ด่าแล้วยังยิ้มแย้มอีกต่างหาก น่าแปลกจริงๆ นี่สะใภ้รองบ้านเฉินเป็นอะไรกัน…
ที่บ้านเฉิน…
ฉันเดินเข้ามาในรั้วบ้านเฉินก็เห็นลี่เหมยกำลังวิ่งเล่นกับพี่ๆ แล้วยังมีเด็กมาเพิ่มอีก 2 คน ฉันจึงเรียกลูกสาว
“ลี่เหมย แม่มาแล้วนะ”
เสียงใสฟังแล้วไม่ขัดหูดังขึ้น ทำให้สะใภ้ใหญ่ที่นั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้านกับสหายที่มาเที่ยวหา ต่างมองหน้ากัน และเป็นสะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นว่า
“สะใภ้รองมาแล้วหรือ”
“ค่ะ พี่สะใภ้ อ้าว สะใภ้ใหญ่โจวก็อยู่ด้วยหรือคะ” ฉันตอบกลับ แล้วก้มหัวทักทายสะใภ้บ้านโจว นั่นก็คือภรรยาของเลขาโจวนั่นเอง ฉันจำได้ว่าสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินและบ้านโจวเป็นสหายรักกันและไปมาหาสู่กันบ่อยๆ
“จ้ะ” แม้จะแปลกใจกับท่าทีเปลี่ยนไปของสะใภ้รองบ้านเฉิน ซึ่งปกติแล้วไม่แม้แต่จะมองมาที่เธอด้วยซ้ำ แต่หลิวเซียนซาน สะใภ้ใหญ่บ้านโจวก็ยิ้มรับ
“แม่มาแล้ว” ลี่เหมยวิ่งเข้ามาหาแม่อย่างดีใจ
ส่วนฉันก็นั่งคุกเข่า อ้าแขนรอรับลูกสาวที่โผเข้ามากอดอย่างเต็มรัก
พรึบ!...
“เป็นยังไงบ้างวันนี้ เป็นเด็กดีหรือป่าว” ฉันกอดลูกสาวตัวน้อย แล้วโยกตัวแกไปมาพร้อมกับถามเมื่อได้หอมแก้มลูกสาว
“หนูเป็นเด็กดีไม่ดื้อกับป้าสะใภ้ค่ะ” เด็กน้อยตอบเสียงใส
“ถ้าอย่างนั้นเด็กดีต้องได้รางวัล” ฉันผละแกออกจากวงแขน แล้วเปิดถุงลูกอมกระต่ายขาวในตะกร้าออกมาแกะ ยื่นให้ลูกสาวไป 2 ก้อน
“ขอบคุณค่ะ” ลี่เหมยรับลูกอมไปแล้วโค้งตัวให้แม่ตามที่แม่สอนเวลารับของจากผู้ใหญ่แล้วให้ขอบคุณ
ฉันยกมือขึ้นลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู พอละสายตาจากลูก ก็เห็นหลานสองคนยืนมองมาที่ถุงลูกอมในมือของฉันอย่างหิวโหยตาละห้อย
“เด็กๆ มาต่อแถวตรงนี่สิจ๊ะ ฉันขอให้หลานๆ นะคะพี่สะใภ้” ฉันยิ้มแล้วกวักมือเรียกเด็กทั้ง 4 คนมาหา ซึ่งหลานๆ บ้านเฉินทั้งสองหันไปมองหน้าแม่ พอเห็นว่าแม่ไม่ว่าอะไรเด็กทั้งสองคนก็วิ่งมาหาอาทันที
“ขอบคุณครับ / ค่ะ” เด็กทั้งสองรับลูกอมคนละสองก้อนแล้วก็เอ่ยขอบคุณ
“2 คนนั้นด้วย มาสิจ๊ะ” ฉันกวักมือเรียก
“…” แต่เด็กสองคนได้แต่ยืนมองหน้ากันแล้วหันไปมองหน้าแม่
“นี่คงเป็นลูกชายลูกสาวเลขาโจวสินะคะ” ฉันยิ้มให้สะใภ้ใหญ่โจว
“ใช่จ้ะ” สะใภ้ใหญ่โจวตอบ
“งั้นฉันขอให้ขนมกับเด็กๆ นะคะ” ฉันขอสะใภ้ใหญ่โจว และไม่รู้จักชื่อเด็กทั้งสอง เพราะในความทรงจำฉันไม่ได้มีคนรู้จักมากนัก เรียกได้ว่าไม่มีเพื่อนเลยในหมู่บ้านนี้จะดีกว่า ไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้จักใคร
“ไม่ต้องให้พวกเด็กตัวเหม็นนี่หรอกนะ” สะใภ้ใหญ่บ้านโจวตอบอย่างเกรงใจ ลูกอมกระต่ายขาวนี่แพงมาก
ถุงหนึ่งก็หลายหยวน เธอยังไม่มีปัญญาซื้อให้ลูกๆ กินเลย แต่นี่สะใภ้รองบ้านเฉินกลับเอามาแจกเสียอย่างงั้น
“ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ ฉันซื้อมาเยอะเลย” ฉันยิ้มแล้วหันไปกวักมือเรียกเด็กทั้งสอง ซึ่งพอเห็นว่าแม่ไม่ว่าอะไร เด็กทั้งสองก็มารับเอาลูกอมไป 2 ก้อนแล้วไปแกะกินกัน…
ฉันลุกขึ้นแล้วเดินไปหาลูกชายที่นั่งอยู่บนตักของสะใภ้ใหญ่ เด็กตัวกลมที่เห็นแม่เดินมาพร้อมกับถุงอะไรซักอย่างก็ยื่นมือมาเหมือนจะขอกินด้วย
“ลี่หมิงยังกินไม่ได้นะลูก เดี๋ยวแม่กลับไปชงนมให้กินนะ” ฉันอุ้มลูกชายมาแนบอก พร้อมบอกลูกชายเมื่อหอมแก้มแก
“เอิ๊กอ๊าก” เด็กชายตัวกลมลี่หมิงหัวเราะจนเห็นเหงือกแดง เมื่อแม่หยอกล้อโดยการจูบหอมตามตัวและคอ ซึ่งเสียงหัวเราะของเด็กนน้อยทำให้สะใภ้ใหญ่พูดว่า
“สะใภ้รองนั่งก่อนสิ”
ซึ่งฉันก็นั่ง แล้ววางตะกร้าไว้ข้างๆ แล้วพูดกับสะใภ้ใหญ่ว่า
“พี่สะใภ้ นี่ค่ะ” ฉันหยิบของที่เตรียมไว้ให้บ้านใหญ่ออกจากตะกร้า แล้วเอาไปวางไว้ข้างหน้าสะใภ้ใหญ่
“อะไรหรือจ๊ะ”
“นี่เป็นนมให้เด็กๆ ค่ะ พี่สะใภ้ชงให้เด็กดื่มก่อนนอนนะคะ ส่วนนี่เป็นของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ รับไว้เถอะนะคะ ถือเสียว่าเป็นความกตัญญูของหยางตงและบ้านรอง ส่วนเด็กๆ ฉันอยากให้พวกเขาได้รับสารอาหารบ้างค่ะ” ฉันหยิบนมผงเป็นกล่องออกมาจากตะกร้าแล้วยื่นให้พี่สะใภ้ใหญ่
ส่วนของพ่อแม่มีนมมอลต์กระป๋องที่เธอซื้อมาจากสหกรณ์ร้านค้า 2 กระป๋อง เอาไว้บำรุงร่างกายพวกท่าน
“ก็ได้จ้ะ ขอบใจมากนะสะใภ้รอง” พอถูกพูดดักไว้ สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะสะใภ้รองยกความกตัญญูมาอ้าง นางได้แต่ขอบคุณและมองสะใภ้รองอย่างซาบซึ้งใจที่สะใภ้รองเอ็นดูลูกหลานบ้านเฉินใหญ่ แล้วไหนจะอาหารเมื่อตอนกลางวันอีก มันอร่อยมากจริงๆ ลูกของเธอได้กินอาหารอร่อยและกินอิ่ม มันดีมาก
“งั้นฉันกลับก่อนนะ แล้วตอนเย็นฉันไม่ได้มาทำอาหารที่นี่นะคะ แต่จะมาต้มน้ำชงนมให้เด็กๆ”
ฉันยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยลา ไม่ลืมหันไปก้มหัวลาสะใภ้ใหญ่บ้านโจวด้วย
“จ๊ะ” สะใภ้ใหญ่ก็ก้มหัวให้เล็กน้อย เมื่อลุกขึ้นเดินไปส่งสะใภ้รองที่ประตูรั้วหน้าบ้าน…
เย็นวันนี้…
ไม่มีบ้านไหนที่ไม่พูดถึงสะใภ้รองบ้านเฉิน เพราะวันนี้สะใภ้ใหญ่ถือซาลาเปายักษ์และเกี๊ยวตัวอวบอ้วนไปส่งให้คนของบ้านเฉินที่ไปทำงานในคอมมูน
แล้วสะใภ้ใหญ่บอกว่าสะใภ้รองที่แสนจะขี้เกียจของบ้านเฉินเป็นคนทำ ซาลาเปาลูกขาวๆ น่ากิน เวลาคนบ้านเฉินกัดกิน กลิ่นเนื้อที่อัดแน่นอยู่ในซาลาเปาและเกี๊ยวทำให้ทุกคนที่เห็นกลืนน้ำลายลงไปตามๆ กัน
คนบ้านเฉินยิ้มทั้งวันเมื่อได้กินอาหารอร่อย ส่วนพวกคนอื่นได้แต่ดมกลิ่นเนื้อแล้วกัดกินแผ่นแป้งหยาบๆ ในมือเท่านั้น
ส่วนเลขาโจวที่ได้ซาลาเปายักษ์มาจากสะใภ้รองบ้านเฉิน เขาก็ยังยืนยันว่าเนื้อข้างในนั้นอัดแน่นเต็มไปหมด อร่อยแทบจะกลืนลิ้นตัวเอง แล้วยังลูกใหญ่มากจนเขากินไม่หมด ต้องแบ่งครึ่งไปให้ลูกๆ ที่บ้านกินด้วย
ส่วนคนที่อิจฉาหลินซูมี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็พากันพูดว่าสะใภ้รองบ้านเฉินนั้นไม่รู้จักการใช้ชีวิต ใครจะเอาเงินหลายหยวนไปซื้อเนื้อมาทำซาลาเปาแจกคนอื่นกัน ทำตัวเป็นแม่ดอกบัวขาว ทั้งๆ ชื่อเสียงของเธอเน่าเหม็นไปทั่วแล้ว ใครจะไม่รู้ว่าสะใภ้รองบ้านเฉินร้ายจะตาย มาทำดีเอาตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้ว…
ด้านฉันที่เป็นคนถูกพูดถึงไม่ได้รับรู้อะไรเลย ฉันเอาเกี๊ยวกุ้งออกมาอุ่นกินกับลูกสาว ส่วนลูกชายฉันก็ให้กินข้าวต้มกุ้ง ตบท้ายด้วยองุ่นนำเข้าลูกโตๆ ที่อยู่ในมิติ
“แม่ใจดี” ลี่เหมยพูดขึ้นขณะที่กำลังเข้านอน
“แล้วลี่เหมยชอบไหม” ฉันหันไปพูดแล้วคว้าเจ้าตัวเล็กมากอดไว้ให้ความอบอุ่นที่ลูกเคยเรียกหาอ้อมกอดของฉัน ส่วนลี่หมิงก็นอนอยู่อีกข้างของฉัน
“ชอบ หนูชอบ พ่อก็ต้องชอบ” ลี่เหมยพูดแล้วก็เอาแขนเล็กๆ มากอดแม่ตัวเองไว้ เพราะเด็กน้อยโหยหาไออุ่นจากแม่มานานแสนนาน
“หื้ม จ้ะ ดีแล้วที่ลูกชอบ” ฉันยิ้มเมื่อหันไปหอมหน้าผากของแก ซึ่งฉันก็รู้สึกดีที่ลูกสาวชอบ แต่รู้สึกตงิดใจตรงที่ลูกสาวพูดถึงพ่อ เพราะพูดถึงเขาแล้วฉันก็เป็นกังวลไม่น้อย ไม่รู้ว่าปีใหม่นี้เขาจะกลับมาหรือเปล่า
เอาจริงๆ ฉันในยุคปัจจุบันมีเพื่อนที่เป็นทหารรู้ว่าเวลาออกปฏิบัติภารกิจน่ากลัวแค่ไหน และฉันก็อยากโน้มน้าวให้สามีลาออก แต่คงพูดไม่ได้แน่ เพราะอาชีพทหารคือเกียรติและศักดิ์ศรีของเขา
ฉันก็ทำได้แค่เอ่ยเตือนแล้วขอให้เขาไม่ต้องไปทำภารกิจพิเศษที่อันตรายต่อชีวิตก็เท่านั้น แล้วฉันก็คิดเรื่องสามีจนเผลอหลับไปในที่สุด…