คุณฟุรุคาวะรู้ใช่มั้ยครับว่าผมมาขอพบคุณเพราะอะไร
อากาศในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนไม่ต่างอะไรจากหน้าร้อนของประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย ดูท่าจะร้อนกว่าเสียด้วย ร้อนแบบอบอ้าว อากาศไม่ถ่ายเท ร้อนแห้งๆ ชวนให้เป็นลมอะไรแบบนั้น
หากแต่สิ่งที่ร้อนกว่าอุณหภูมิกว่า 35 องศา คงจะเป็นใจของชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนรอประตูขบวนรถไฟใต้ดินเปิดออกอย่างใจจดจ่อหลังจากที่เข้าเทียบชานชาลา สายตามองไปยังด้านนอกสลับกับหน้าจอโทรศัพท์ฝาพับอย่างหัวเสียที่ทุกอย่างไม่รวดเร็วดังใจคิดเสียที
อีกครึ่งชั่วโมงจะได้เวลาพักเที่ยง...
ใช่ อีกครึ่งชั่วโมงจะได้เวลาพักเที่ยง... เวลาพักเที่ยงของกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ ‘นิปปอนเพิร์ล’ สำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสือนิยายและการ์ตูนรายใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ เรียกได้ว่าเป็นสำนักพิมพ์ที่เป็นศูนย์รวมนักเขียนเบสท์เซลเลอร์ไว้มากที่สุดเลยก็ว่าได้ ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจนัก นอกจากคำพูดของบรรณาธิการต้นฉบับที่เขาเรียกติดปากว่า บ.ก.ฟุรุคาวะ ที่เพิ่งจะแจ้งเขาไปเมื่อชั่วโมงก่อนว่านิยายของเขาซึ่งวางแผงเล่มที่ 2 ไปเมื่อสามเดือนก่อนจำเป็นต้องถูกตัดจบในเล่มที่ 3 โดยมีกำหนดวางแผงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เล่มที่ 3! ให้ตายเถอะ เรื่องนี้วางแผนไว้ว่าจะเขียน 10 เล่มจบนะ มาตัดจบกันแบบนี้ได้ไง!
ถึงจะรู้เหตุผลว่าที่ถูกตัดจบเป็นเพราะนิยายของเขาขายได้ไม่ดีตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เรียกได้ว่าล้มเหลวอย่างราบคาบตั้งแต่เล่มที่ 1 วางแผงไปเลยก็ว่าได้ ชนิดเทียบกับนักเขียนที่ได้เดบิวท์จากการชนะการประกวดนิยายไลท์โนเวลของสำนักพิมพ์อย่างลำดับที่ 2 และ 3 แล้ว นิยายของเขายังมียอดขายแย่กว่าหลายเท่าด้วยซ้ำ
ฉันเป็นนักเขียนที่ได้รางวัลชนะเลิศเชียวนะ! มันจะขายไม่ได้ยังไงกัน!
เพราะคิดแบบนี้นั่นแหละที่ทำให้เขาต้องรีบแจ้นมาที่สำนักพิมพ์เพื่อเข้าไปคุยกับ บ.ก.ฟุรุคาวะ ให้กระจ่างใจ
พอประตูขบวนรถไฟเปิด ขายาวก็พาร่างกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามทางเดิน พอออกจากทางออกที่ 4 ที่ทะลุมายังหน้าสำนักพิมพ์ได้อย่างพอดิบพอดีแล้ว เขาก็เปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งทันทีที่เหลือบเห็นหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาพักเที่ยงเพราะต้องการเจอผู้ดูแลต้นฉบับก่อนที่ฝ่ายนั้นจะหนีไปกินข้าว
ชายหนุ่มเข้าไปแจ้งกับประชาสัมพันธ์ว่าต้องการพบใคร เขานึกหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าพบคนดูแลต้นฉบับทันทีเลยได้ทั้งที่เขาเองก็มาที่นี่บ่อยและเป็นนักเขียนของสำนักพิมพ์นี้ แต่กฎระเบียบ อย่างไรก็คือกฎระเบียบ ถึงจะดังหรือมีชื่อเสียงแค่ไหนก็ไม่สามารถแหกกฎได้ เขาจึงอดใจนั่งรออยู่สักพัก ให้ประชาสัมพันธ์สาวโทรไปแจ้งว่าเขามาขอพบ ไม่นาน ร่างผอมสูงของชายอายุราว 30 ปี ใส่แว่นหนาเตอะ แต่งตัวเชยๆ ก็ปรากฏให้เห็นพร้อมกับทักเขาเสียงดัง
“เอ้า อาจารย์กัน ทำไมจะมาถึงไม่บอกผมก่อนล่ะครับ”
‘อาจารย์กัน’ เป็นชื่อที่รู้กันในกองบรรณาธิการว่าหมายถึงชายหนุ่มชาวไทยวัย 25 ปีที่ชื่อ ‘กัลป์’ ซึ่งเป็นผู้ชนะเลิศจากการประกวดนิยายประจำปี ประเภทไลท์โนเวลที่ทางสำนักพิมพ์จัดไปเมื่อปีก่อน อันที่จริงไม่ใช่แค่กองบรรณาธิการเท่านั้นที่รู้จักเขาในชื่อนี้ แต่นักอ่านขาประจำของสำนักพิมพ์เองก็รู้จักเขาในนามปากกานี้ด้วย เนื่องจากนิยายเรื่องแรกที่เขาเขียนลงนิตยสารรายสัปดาห์ประสบความสำเร็จอย่างมากจนคนอ่านติดกันงอมแงม หากแต่พอมาเขียนเล่มเดียว ความนิยมกลับถดถอยลงเสียอย่างนั้น ...ถดถอยจนว่ากลัวว่าทางสำนักพิมพ์จะเลือกผู้ชนะการประกวนนิยายครั้งนั้นผิดพลาด แทนที่จะได้เพชรเม็ดงาม แต่กลับได้ก้อนกรวดมาแทน
ทว่ากัลป์ไม่ได้ใส่ใจกับคำทักทายของอีกฝ่ายนัก นอกจากตอบรับเสียงเรียบ
“ผมส่งเมล์แจ้งคุณไว้แล้วว่าจะมา คุณได้เปิดอ่านหรือยังล่ะครับ”
ที่ถามอย่างนี้เพราะรู้ว่าฟุรุคาวะมักไม่ค่อยแตะโทรศัพท์ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อเขาล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู ก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้ายทอย ขอโทษขอโพยเป็นพัลวัน
“พอดีผมติดประชุมอยู่น่ะครับ ขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้ตอบเมล์อาจารย์”
กัลป์พยักหน้าอย่างขอไปที พลันเข้าเรื่องด้วยไม่อยากเสียเวลา
“คุณฟุรุคาวะรู้ใช่มั้ยครับว่าผมมาขอพบคุณเพราะอะไร”
ฟุรุคาวะรู้อยู่แล้วล่ะ มองสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายก็เดาได้ว่าคงจะเป็นเรื่องที่ตนแจ้งไปเมื่อชั่วโมงก่อน ก่อนที่จะพยักหน้า ผายมือเชิญให้ชายหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปข้างใน
“งั้นเราไปคุยกันข้างในเถอะครับ ดูท่าคงจะต้องคุยยาว”
กัลป์ไม่พูดอะไร เดินตามหลังฟุรุคาวะไปเงียบๆ กระทั่งถึงห้องบรรณาธิการ
เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของฟุรุคาวะถูกเลื่อนออกให้กัลป์นั่ง ก่อนฟุรุคาวะจะร้องถามตามมารยาท
“จะรับชาหรือกาแฟดีครับอา...”
“เข้าเรื่องเลยได้มั้ยครับ” พูดยังไม่ทันจบ กัลป์ก็แทรกขึ้นก่อน “ผมอยากให้คุณช่วยอธิบายให้ละเอียดหน่อยว่าตกลงเรื่องมันเป็นยังไง ทำไมนิยายผมถึงถูกตัดจบทั้งที่เพิ่งจะวางแผงไปได้ไม่กี่เดือน”
ฟังดูแล้วค่อนข้างเป็นคำพูดตรงๆ ที่ไร้มารยาท หากแต่เห็นหัวคิ้วของอีกฝ่ายขมวดกันเป็นปม ฟุรุคาวะก็ไม่อยากถือสา พยักหน้าแล้วเดินกลับมานั่งประจำที่ตัวเองแต่โดยดี
“ก็ต้องบอกกันตามตรงนะครับอาจารย์ว่างานของอาจารย์เรื่องล่าสุดเนี่ยเปิดตัวมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ถึงจะเป็นไลท์โนเวลแฟนตาซีที่ทางเราคิดว่ายังไงก็น่าจะขายได้ แต่มันพลาด ขายไม่ดีตั้งแต่เล่มแรกแล้ว”
“บอกตรงๆ ว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองทำพลาดตรงไหน ผมก็เขียนไปตามพล็อตที่เอามาเสนอให้คุณดูก่อน แล้วก็แก้งานตามที่คุณบอก ถึงจะแก้เป็นบางจุดก็เถอะ ผมทำตามคำแนะนำทุกอย่างนะ แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอะไรกันแน่ที่พลาด”
“ถ้านับเรื่องทักษะการเขียนและการใช้สำนวนของอาจารย์ในฐานะชาวต่างชาติแล้ว ผมว่าอยู่ในระดับที่เรียกว่าดีเลยนะ ดีกว่าคนญี่ปุ่นแท้ๆ บางคนด้วยซ้ำ เรื่องสำนวนอะไรนั่นมันไม่พลาดหรอก แต่ที่พลาดน่ะ มันพลาดตรงที่อาจารย์เขียนเนื้อเรื่องให้มีแต่ตัวละครชายโผล่มาทั้งเล่มมากกว่า เล่มแรกยังไม่เท่าไหร่ มาเล่มที่สองก็ยังมีแต่ตัวละครชาย คนอ่านเค้าก็ไม่โอเคกันน่ะครับ อย่างว่าแหละ ไลท์โนเวลเราเน้นกลุ่มนักอ่านชาย เราก็เลยต้องขายตัวละครหญิงเป็นหลัก“