ร่างสง่าสีขาวเปล่งประกายกระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่พร้อมกับผลไม้ที่อยู่ในปากของตน ก่อนที่หมาป่าร่างใหญ่ตนนั้นจะเดินตรงมาอย่างสง่างาม พร้อมทั้งยื่นส่งผลไม้กิ่งนั้น...ให้กับหญิงสาวที่ยืนรอกันอยู่พร้อมกับยกยิ้มออกมาจนเต็มใบ
“เก่งมากเจ้าหมาน้อย...”
เจ้าหล่อนชมเชยพร้อมทั้งส่งมือขึ้นมาลูบที่ศีรษะของกันบางเบาให้ผู้ที่ถูกกระทำนั้นต้องเบือนหน้าหลบหนีด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
พร้อมกับตนที่ค่อย ๆ กลับร่างมาเป็นมนุษย์ดังเดิม และเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวจนเธอต้องถอยหลังร่นหนีอย่างตื่นตระหนกเพราะไม่ทันได้ระวังตัวว่าใครอีกคนจะพุ่งเข้ามาหากันด้วยความเร็วแสงเช่นนี้
“ข้ามีศักดิ์เป็นถึงว่าที่จ่าฝูง แต่เจ้ากลับบอกว่าข้าเป็นหมาน้อยอย่างนั้นหรือ?”
อีธานในวัยสิบเก้าปีบริบูรณ์และอีกไม่นานจะอายุครบยี่สิบปีเต็มได้แต่สบมองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง พร้อมกับจดจ้องมองใบหน้าของเธอราวกับจะข่มขี่ให้เจ้าหล่อนได้รู้สึกหวาดกลัวแก่เขาเสียบ้าง
แต่นอกเสียจากที่จะไม่หวาดกลัวกันแล้วเนี่ย...เจ้าหล่อนกลับยกยิ้มออกมาจนเต็มใบและหัวเราะออกมาอย่างขบขันให้เขาได้แต่หน้าเสียแต่ก็ยังคงวางมาดเอาไว้ไม่ให้หลุดจากที่ตัวเองพยายามฝึกฝนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ใคร ๆ ต่างก็ให้การนับถือและหวาดกลัวเขากันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ภายในหมู่บ้าน ก็มีแต่เธอคนนี้นี่แหละที่ไม่เคยจะหวาดกลัวเขาเลยตั้งแต่ไหนแต่ไร และนับวันเจ้าหล่อนก็ยิ่งจะทำตัวสนิทสนมกับเขามากขึ้นทุกที...มากกว่าตอนที่เราเป็นเด็ก ๆ เสียด้วยซ้ำไป
“เจ้าจะน่าหวาดกลัวกับใครข้าไม่รู้ แต่สำหรับข้า...เจ้าก็ยังเป็นเจ้าหมาน้อยของข้าอยู่เสมอ”
ตึกตัก ตึกตัก
“และก็จะเป็นหมาน้อยของข้า...ตลอดไป”
รอยยิ้มที่ส่งมอบมาให้กันนั้น...ทำเอาหัวใจของเขาที่พยายามจะรักษามากว่าหลายปีราวกับหล่นหายและเหมือนได้กลับไปนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งเวลาที่เธอส่งยิ้มมาให้
การพยายามตัดใจของเขามาตลอดเกือบสี่ปีเต็มมันไม่เคยเป็นผล และนับวันมันก็ยิ่งถลำลึก...ด้วยความที่เจ้าหล่อนยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งงดงามจนยากที่จะหาใครมาเทียบเคียง และหัวใจของเขามันก็ยังคงไม่รักดีอยู่ทุกครั้งแม้สถานะของคำว่าพี่น้องนั้นมันจะค้ำคอ
“ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว!”
อีธานพูดดังนั้นก่อนจะแปลงกายกลับเป็นหมาป่าที่สง่างามอีกครั้งพร้อมกับออกตัวเดินไปข้างหน้า
หากมันยังคงเป็นเช่นนี้...แล้วเมื่อไรเขาจะตัดใจจากเธอได้กัน
นับวันนานเข้าความรู้สึกของเขามันก็ยิ่งเพิ่มพูนแทนที่จะลดน้อยถอยลงไปตามความสมควร และยิ่งเขาพยายามตีตัวออกห่างเพื่อให้อยู่ในพื้นที่ของตนเอง...เธอก็จะราวกับรู้สึกตัวและก็เป็นฝ่ายที่ขยับตามเขาเข้ามาทุกครั้งจนเขาก็ยังได้แต่เดินวนลูปเป็นวนกลมอยู่ในห้วงความรักที่มีให้แก่เธอ
“เจ้าจะทิ้งข้าให้อยู่คนเดียวกลางป่าเขาเช่นนี้หรือ?”
สี่ขาของหมาป่าที่กำลังจะกระโดดไปข้างหน้าหยุดชะงักลงในทันใดที่ได้ยินเช่นนั้น
อีธานหันหน้าไปหาเธอก่อนจะเห็นว่าตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังทำใบหน้าล้อเลียนอย่างที่รู้ตัวเองแน่ ๆ ว่าเขาจะไม่มีทางทอดทิ้งเธอให้อยู่แต่ตามลำพัง เพราะขนาดวันนี้ที่เราต้องเข้ามาในป่าลึกเช่นนี้...ก็เป็นเพราะว่าเจ้าหล่อนครวญครางอยากจะทานผลไม้ที่มันมีแต่ในป่าลึกเท่านั้น
และก็เป็นเขาทุกครั้งที่ใจอ่อนยอมพาเธอมาเหมือนกับทุกที
“กรร์…”
“หยุดทำเสียงหงุดหงิดใส่ข้าเสียทีเถอะน่า...”
“กรร์...”
“หากข้าแปลงกายได้ดั่งเจ้า...ข้าก็คงไม่มานั่งร้องขอให้เจ้าต้องพาลหงุดหงิดใจเช่นนี้หรอก อีธาน”
หมาป่าที่กำลังแสดงออกถึงความหงุดหงิดและความไม่พอใจนั้นหยุกชะงักการกระทำของตัวเองลงในทันใด พร้อมกับที่รอยยิ้มของเกรซค่อย ๆ ผ่อนลงจนไม่มีให้เห็นอยู่บนใบหน้าอีกต่อไปแล้ว
เรากำลังจะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์กันในอีกไม่ช้านานนี้แล้ว...แต่เกรซยังไม่มีทีท่าว่าจะแปลงกายได้อย่างที่มันสมควรจะเป็นเลย แถมร่างกายของเธอก็หยุดเติบโตไปตั้งแต่อายุสิบหกปีแล้ว ผิดกับเขาที่ดูเหมือนจะกำยำขึ้นทุกวี่วันจนแทบจะไม่หลงเหลือความเป็นผู้หญิง
จะเรียกว่าเช่นนั้นก็ไม่ใช่ไปเสียทีเดียว เพราะตั้งแต่ที่เขาเสียศูนย์เรื่องเกรซไปเมื่อสี่ปีก่อน...เขาก็ออกกำลังกายและฝึกฝนวิชาอย่างบ้าคลั่งจนเกือบจะล้มป่วยอยู่หลายครา วิชาต่าง ๆ ของหมาป่าชั้นผู้ใหญ่เขาก็ได้ศึกษามาแทบจะหมดแล้วจากบิดาของตน จึงได้รับการนับถือจากผู้ใหญ่หลายคนเพราะบางคนนั้นก็ยังไปไม่ถึงขั้นที่เขาฝึกฝนเลยด้วยซ้ำไป
“เจ้าคิดว่า...”
“...”
“ข้าเป็นมนุษย์ไหมอีธาน?”
อีธานแปลงกายกลับเป็นร่างของมนุษย์ดังเดิมก่อนจะเดินไปยืนอยู่เคียงข้างกับเกรซ เจ้าหล่อนกำลังก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตน ส่วนตอนนี้เขาก็กำลังชั่งใจเช่นกันว่าสมควรที่จะปลอบประโลมเจ้าหล่อนเช่นไรให้ไม่ต้องมีน้ำตาอีก
เขาไม่ชอบน้ำตาของเธอเลย...และเขารู้มาเสมอว่าเจ้าหล่อนเอาแต่นอนร้องไห้คนเดียวในห้องเพราะกำลังเศร้าโศกเสียใจกับตัวเองที่ยังไม่ยอมแปลงกายเป็นหมาป่าเหมือนกับพวกเราคนอื่น ๆ
ใจหนึ่งของเขายังคงเชื่อว่าเธอเป็นมนุษย์...แต่อีกใจที่ยังกดตัวเองเอาไว้ไม่ให้ความรู้สึกมันแสดงออกมาอย่างชัดเจนอยู่เสมอก็คอยย้ำเตือนเขาว่าเราเป็นพี่น้องกันและเธอเป็นเซฟซิฟเตอร์
“เจ้าจะไปสนใจไยกับการแปลงกาย...”
สุดท้ายแล้วไหล่บอบบางที่น่าทะนุถนอมนั้นเขาก็ไม่ได้เอื้อมมือไปจับมันแต่อย่างใด...แม้ในใจอยาจะดึงเธอเข้ามากอดปลอบจนจะแย่แต่เขาก็ต้องข่มความรู้สึกของตัวเองเอาไว้
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์หรือหมาป่า...”
“…”
“สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังเป็นเจ้าหญิงของข้าอยู่ดี...”
เกรซที่ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอยู่ในคราแรกเงยหน้าขึ้นมาสบมองกันจนเต็มใบให้อีธานต้องพลันหลบหนีสายตาที่แพรวพราวและเป็นประกายของเธอในทันใด ใบหูของเจ้าหล่อนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ อีธานที่ทำตัวไม่ถูกจึงยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองเอาไว้และกระแอมไอออกไปอย่างพยายามตั้งสติ
“รีบกลับกันได้แล้ว ท่านพ่อบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับข้า”
“ข้าลืมไปเสียสนิท”
และอีธานก็ได้แปลงกายกลับเป็นหมาป่าอีกครั้งเพื่อที่จะออกเดินทาง เนื่องจากว่าร่างหมาป่ามันจะไปได้รวดเร็วกว่าร่างของมนุษย์ อีกอย่าง...เกรซจะได้นั่งบนหลังของเขาและไม่ต้องเดินให้เมื่อยอีกด้วย
เกรซค่อย ๆ ก้าวขาขึ้นมานั่งอยู่บนด้านหลังของเขา เธอแตะลงเบา ๆ ที่ศีรษะราวกับบอกเป็นนัย ๆ ว่าตนเองจัดระเบียบร่างกายของตัวเองเรียบร้อยแล้ว อีธานจึงออกเดินไปข้างหน้าอย่างระวังส่วนเกรซก็ฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดีตามนิสัยของเจ้าตัว
“ไม่ว่าข้าจะเป็นมนุษย์หรือว่าหมาป่า...”
“...”
“แต่ถ้าหากว่าข้ามีเจ้าอยู่ด้วย...ข้าจะเป็นสิ่งใดมันก็ย่อมได้ทั้งนั้น”
ตึกตัก ตึกตัก
ถ้าเช่นนั้นเขาก็ขอให้เธอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งก็เพียงพอ แล้วหลังจากนั้น...จะมีแค่เพียงความตายเท่านั้นที่จะพรากเราสองคนให้แยกออกจากกันได้
ข้ารักเจ้าเหลือเกินเกรซ...เจ้าหญิงหมาป่าของอีธาน
เราสองคนกลับเข้ามาในบ้านก็เห็นว่าท่านพ่อและท่านแม่นั้นกำลังนั่งรอการปรากฏตัวของเราทั้งสองคนอยู่ เขาเองก็ไม่รอช้า รีบก้าวเดินเข้าไปนั่งอยู่เคียงข้างกับท่านพ่อในทันที
“ท่านพ่อมีสิ่งใดอยากจะบอกข้าอย่างนั้นหรือ?”
เขาเปิดประเด็นออกไปให้บิดาต้องหันกลับมาสบมอง ก่อนที่มารดาของเขาจะยกยิ้มออกมาจนเต็มใบและยกมือขึ้นมาลูบหัวของเขาแผ่วเบาอย่างรักใคร่
“ลูกสองคนจะอายุครบยี่สิบปีเต็มแล้วใช่หรือไม่...”
เราทั้งสองพยักหน้าตอบรับพร้อมกันในทันใด
“อีกสิ่งหนึ่งของการเป็นจ่าฝูงที่ดี...ก็คือการมีคู่ครองนะลูกรัก”
มารดาพูดออกมาด้วยความใจเย็น ซึ่งเขาก็หันหน้าไปสบมองที่เกรซในทันใดก่อนจะได้เห็นว่าเจ้าหล่อนชะงักไปให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาไปเสียอย่างนั้น
เขารู้มาเสมอว่ามันจะต้องมีเรื่องนี้เกิดขึ้น บิดาและมารดาเองก็เคยเกริ่น ๆ กับเขามาแล้วตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่เพียงแค่หัวใจของเขามันมีเจ้าของแล้ว ไม่ว่าจะมีใครเข้ามาหา หรือจะเป็นคนที่บิดาและมารดาคอยหามาให้นั้น...เขาก็ไม่เคยคิดที่จะสนใจและรักเพียงเธอผู้เดียวแม้รู้ว่ามันจะไม่สมควร
“ข้าไม่ได้บังคับเรื่องคู่ครอง แต่อย่าลืมว่าเราต้องมีคนสืบทอดต่อจากรุ่นเจ้า”
บิดาย้ำชัดขึ้นมาอีกครั้ง เกรซก็มีทีท่าเปลี่ยนแปลงไปก่อนจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง
“เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับข้า เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักก่อน...”
และเจ้าหล่อนก็ค่อย ๆ เดินจากออกไปจนกระทั่งลับสายตา
“เกรซเองก็เหมือนกัน จริง ๆ แล้วเกรซเองก็ต้องออกเรือนไปอยู่กับคนอื่นเพราะเธอเป็นโอเมก้า”
“ไม่ได้!”
อีธานรีบเอ่ยออกมาเสียงแข็งให้บิดาและมารดาต้องหันกลับมาสบมองเขาในทันทีจนเขาได้สติและคิดว่าโพล่งในสิ่งที่ไม่ควรออกไปเสียแล้ว
“ข้าหมายถึง...หากข้ายังไม่ได้ออกเรือน เกรซก็ห้ามออกเรือนก่อนข้าเป็นอันขาด”
“หวงพี่อย่างไรก็ยังหวงพี่ของเจ้าเช่นเดิมเลยนะ”
บิดาเอ่ยพูดออกมาอย่างไม่ได้สนใจอะไรเมื่อได้ยินคำอธิบายข้าง ๆ คู ๆ ออกมาจากปากของเขาแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะหาคู่ให้แก่...”
“ข้าจะเป็นคนหาคู่ครองด้วยตัวของข้าเอง!”
บิดาและมารดาหันหน้ามาสบมองเขาอีกครั้งเมื่อเขาประกาศกร้าวออกมาแล้วว่าจะเป็นผู้เลือกคู่ชีวิตด้วยตัวของเขาเอง
“หากท่านพ่อและท่านแม่ไม่ได้บังคับข้า...เช่นนั้นข้าสามารถรักกับมนุษย์ได้หรือไม่?”
ทั้งสองคนเบิกตาโพล่งและสบมองเขาในทันใดที่ได้ยินเช่นนั้น
เขายังไม่ได้คิดที่จะตบแต่งกับใครในตอนนี้ถ้าเกิดว่าความจริงเรื่องของเกรซนั้นมันยังไม่ปรากฏ เขาเพียงแค่ต้องการรู้เท่านั้นว่าเผ่าพันธุ์ของเรานั้นมันสามารถรักกับมนุษย์ได้หรือไม่
“มันย่อมได้ทั้งนั้น...”
“แล้วลูก...มีคนรักเป็นมนุษย์อย่างนั้นหรือ?”
ทั้งสองเอ่ยถามข้อข้องใจของตัวเองออกมาในทันใด
ซึ่งเขายังไม่เคยได้รักใครอื่นนอกจากเกรซเลย เอาจริง ๆ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสรุปแล้วเจ้าหล่อนเป็นอะไรกันแน่
และเขารู้เพียงแต่ว่าเขารักเธอ...และจะรักได้เพียงคนเดียวเท่านั้นในช่วงชีวิตนี้
“วันหนึ่งท่านพ่อและท่านแม่จะได้รู้แน่ว่าคนรักของลูกเป็นใคร...”
“…”
“ได้โปรดอดใจรอให้วันและเวลานั้นมันมาถึง...”