ตอนที่6

1777 Words
ข้าช่างเป็นนายที่ไร้ประโยชน์นัก ทั้งที่หนิงลี่ถูกจับแต่ข้าทำได้เพียงนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าคุกวังหลัง เพื่ออ้อนวอนขอให้ฮองเฮาปล่อยตัวนาง เมื่อครู่ข้าไปหาฮ่องเต้แต่ว่าก็ถูกเมินจึงไม่คิดขอร้องเขาอีกนอกจากกลับมาขอร้องฮองเฮาแม้จะไร้ผลไม่ต่างกันก็ตามแต่ว่าจะให้ข้ากลับตำหนักทั้งที่หนิงลี่ยังอยู่ในนี้ ข้าทำไม่ได้ “ฮองเฮาเสด็จ” เสียงที่ได้ยินทำให้ข้าหันไปมอง “กระหม่อมคำนับฮองเฮา” ข้าก้มหัวจรดพื้นพลางมองนางที่เบะปากแล้วเชิดหน้า “ฮองเฮาผู้มีจิตใจเมตตาได้โปรดปล่อยหนิงลี่เถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยอมทำทุกอย่างได้โปรดเถิด ฮึก..ก..” “หึ ข้าก็ไม่ใช่คนใจดำหรอกนะ ถ้าเจ้าอยากให้ปล่อยก็ย่อมได้” ข้ายิ้มทันที “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” “แต่คิดว่าข้าจะใจดีปล่อยตัวมันไปง่ายๆ รึ เพราะเจ้าต้องทำตามที่ข้าสั่ง” “กระหม่อมยอมทำตามทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ” “ดี….วันงานบวงสรวงเจ้าไปอาละวาดซะ” ข้าเบิกตากว้าง เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้ หากข้าทำตามหย่งหมินไม่โกรธข้าแย่หรือ แค่ข้าจะเข้าร่วมงานยังบอกขายหน้าแต่นี่ถึงกับอาละวาดเขาคงเกลียดข้ามากแน่นอน “ทำไม…หรือเจ้าทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็ต้องตาย” “กระหม่อมทำได้ กระหม่อมจะทำ” นางยิ้ม “ดี ข้าจะปล่อยตัวมันหลังเจ้าทำสำเร็จ แต่ว่าแม้ข้าจะปล่อยมัน ข้าก็จะไม่ให้เจ้ากับมันอยู่ด้วยกัน เจ้าจะต้องใช้ชีวิตคนเดียว” ข้ายิ้มอย่างยินดี ในที่สุดหนิงลี่ก็จะได้หลุดพ้นจากข้าแล้ว “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง” ฮองเฮาทำหน้าไม่เข้าใจนักแต่ก็เดินจากไป ข้าก้มหัวจรดพื้นขอบคุณอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ลุกยืนแต่ก็เกือบทรุดลงไปอีกครั้งแต่ก็พยุงตัวเองให้ยืนได้อย่างมั่นคง สายตามองตำหนักตรงหน้าพลางคิดถึงใบหน้าของคนที่ดูแลข้าอย่างดี หนิงลี่ข้าจะต้องช่วยเจ้าให้จงได้ ………………………. กลับมาถึงตำหนักข้าก็ปวดขาแทบยืนไม่อยู่ นอนบนเตียงและพลางคิดว่าวันงานบวงสรวงข้าควรจะทำอย่างไรดี หรือควรจะวิ่งเข้าไปแล้วร้องตะโกนเหมือนคนสติไม่ดี เพียงแค่นี้คงสร้างความวุ่นวายได้บ้างแล้ว ถอนหายใจเมื่อตอนนี้เหลือเพียงข้าคนเดียว ข้ามักบอกให้หนิงลี่ไปรับใช้คนอื่นแต่ว่าตอนนี้กลับเงียบเหงานัก ต่อจากนี้ไปข้ายังไม่รู้เลยว่าข้าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลือตัวคนเดียว หากเป็นที่บ้านการอยู่คนเดียวย่อมไม่ทุกข์ร้อนแต่ว่าอยู่ที่นี่แม้แต่การกินยังต้องพึ่งพาคนอื่นแล้วข้าจะทำอย่างไร ตุบๆ เสียงเหมือนบางอย่างกระทบประตูทางเข้าของตำหนัก ข้าลุกยืนอย่างยากลำบากแล้วค่อยๆ เดินลากเท้าและเปิดประตูออก ไม่พบผู้ใดแต่เมื่อก้มมองพบว่าเจอสำรับอาหารวางอยู่ “มีคนนำอาหารมาให้ข้ารึ” ข้ามองอย่างสงสัยและคิดว่าข้าสมควรกินดีหรือไม่ อาจมีคนนำยาพิษมาให้ข้ากินก็ได้ แต่ว่าตอนนี้ข้าก็หิวเช่นกัน ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสมุนไพรวางอยู่ในสำรับอาหาร พอหยิบดูจึงพบว่าเป็นสมุนไพรเกี่ยวกับรักษาโรคความเย็นซึ่งในวังนั้นหายากนัก เพราะข้าเคยคิดนำมาต้มกินแต่ว่าเพราะมีน้อยห้องยาจึงไม่ได้ให้มา “ใครที่นำมาให้ข้า หรือว่าหนิงลี่ขอร้องฮองเฮา” ข้าตัดสินใจยกสำรับอาหารเข้าตำหนักและลองตักกินพบว่าไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ทานไปได้เพียงนิดจึงก่อฟืนต้มยา ความรู้สึกเหมือนตอนอยู่ในหมู่บ้านนัก ข้าใช้มือผิงเตาไฟ เพราะตอนนี้อากาศเริ่มหนาวอีกแล้ว …………………………………… งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นที่กลางพระราชวัง ปีนี้เป็นปีแรกที่จัดขึ้นเพื่อขอพรให้ฮองเฮาตั้งครรภ์โอรสเพราะปีก่อนขอพรให้บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนที่รู้แม้มีบางส่วนไม่พอใจแต่บางส่วนก็ต่างชื่นชมในความรักของฮ่องเต้ที่มีต่อฮองเฮาและต่างก็เฝ้ารอรัชทายาทให้ถือกำเนิด ข้าที่ได้ยินข้ารับใช้พูดก็ต้องยืนนิ่ง รู้สึกอิจฉาฮองเฮานักที่ได้รับความรักจากหย่งหมินมากล้นขนาดนี้ แม้จะเศร้าใจแต่ก็ค่อยๆ เดินไปยังลานกว้างที่กำลังรอเวลาทำพิธี แท่นสูงตรงกลางลานนั้นมีไว้สำหรับไหว้เทพสวรรค์ โดยเดินขึ้นจากบันไดหินเพื่อไปยังด้านบนของแท่นและกราบไหว้จนธูปหมดดอก ตอนที่ข้าได้ฟังหย่งหมินพูดก็เฝ้ารอพิธีนี้แต่ว่าก็ไม่เคยได้เห็นจนกระทั่งวันนี้มาถึง ที่ข้าได้มาเห็นด้วยตาตัวเองและกำลังจะสร้างความวุ่นวาย “ฮ่องเต้และฮ่องเฮาเสด็จ” เสียงที่ดังขึ้นบ่งบอกว่าพิธีเริ่มแล้ว ข้ามองกลุ่มคนที่ใส่ชุดสีแดงที่ยืนเรียงกันอยู่ข้างแท่นบูชา ท่าทางคงเป็นคณะทูตที่หย่งหมินเคยพูดถึง ข้าสูดหายใจเพื่อที่จะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งเพื่ออาละวาดดังที่ฮองเฮาสั่ง แต่ขณะที่ข้าจะเดินเข้าไปยังลาน หนึ่งในคณะทูตก็ร้องด้วยความเจ็บปวดทั้งยังกุมที่อกก่อนจะทรุดตัวลงพื้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคน ข้ามองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะถอยเท้าออกห่าง …………………….. “เป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องหย่งหมินขมวดคิ้วถามหมอหลวงเมื่อตรวจอาการของทูตแคว้นหยิน สีหน้าของหมอหลวงนั้นไม่สู้ดีเท่าใดนัก “ทูลฝ่าบาทโรคที่ท่านทูตเป็นนั้น เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจซึ่งยาของวังหลวงนั้นยังไม่สามารถรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ” “ว่าไงนะ เจ้าต้องรักษาให้ได้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงแคว้นเรา หากเราทำให้ทูตแคว้นหยินตายแม้เราจะไม่ได้คิดสังหารแต่ทางนั้นต้องสงสัยว่าเราเป็นคนทำแน่นอน ดังนั้นท่านต้องช่วย” “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ” “ไม่ใช่ให้ทำสุดความสามารถแต่ต้องช่วยให้ได้!” หมอหลวงชราหน้าซีด พลางคิดว่ายาที่วังหลวงมีตอนนี้ไม่สามารถที่จะรักษาและช่วยชีวิตทูตที่ล้มป่วยคนนี้ได้แน่นอนนอกเสียจากคิดค้นยาขึ้นมาใหม่ แต่ว่ากลับฉุกคิดบางอย่างจึงรีบเอ่ยบอก “ฝ่าบาทกระหม่อมขอทูลเรื่องหนึ่งได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” “ว่ามา” “พระสนมซือซือเมื่อหลายปีก่อนเคยช่วยชีวิตข้ารับใช้คนหนึ่งด้วยยาสมุนไพร กระหม่อมเห็นว่าพระสนมมีความรอบรู้ด้านนี้” “เจ้าจะพูดอะไร” “กระหม่อมคิดว่าอยากให้พระสนมช่วยรักษาท่านทูตโดยการคิดค้นยาขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” หย่งหมินนิ่วหน้าไม่อยากให้ซือซือเข้ามายุ่งเกี่ยวสักนิดแต่ว่าตอนนี้หากทูตเป็นอะไรขึ้นมาแคว้นย่อมลำบากจึงจำใจทำตามที่หมอหลวงบอก “แล้วแต่เจ้าเถอะ” หมอหลวงยิ้มอย่างยินดี “ข้าจะส่งคนไปรับมันมาที่นี่” หย่งหมินพูดแล้วรีบสั่งขันทีทันที ………………………… ข้านั่งอย่างกระวนกระวายใจที่ไม่สามารถทำตามคำสั่งของฮองเฮาสำเร็จเพราะหลังจากทูตคนนั้นล้มลงพิธีก็หยุดชะงักเช่นกัน นางจะต้องทำร้ายหนิงลี่แน่ๆ “พระสนม….พระสนมซือซือ…กระหม่อมขันทีจ้าวพ่ะย่ะค่ะ” เสียงที่ดังนอกประตูทางเข้าตำหนักทำให้ข้าค่อยๆ เดินไปเปิดประตูออก พบกับขันทีผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนติดตามของฮ่องเต้ ข้ามองอย่างสงสัย “ท่านมีอะไรกับข้ารึ” “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พระสนมไปยังหอหมอหลวงเพื่อรักษาอาการท่านทูตพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าน่ะรึ ข้าไม่ใช่หมอ” “แต่พระสนมเก่งด้านสมุนไพรฝ่าบาทจึงรับสั่งให้กระหม่อมพาพระสนมไป” เมื่อเป็นคำสั่งข้าจึงไม่อาจปฏิเสธได้แต่ตอนนี้ขาข้าปวดจนแทบจะฝืนเดินไม่ไหวแล้ว แต่ดูเหมือนขันทีผู้นี้จะรู้ว่าข้าคิดอย่างไรจึงรีบเอ่ยบอก “ขึ้นเกี้ยวเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ข้ามองเกี้ยวที่ขันทีนำมาจึงพยักหน้าเข้าใจ และค่อยๆ เข้าไปนั่งด้านใน ยามที่ถูกยกรู้สึกผวาจนต้องหาที่ยึดเกาะ ไม่คาดคิดว่าข้านั้นจะได้รับการอนุญาตให้ขึ้นเกรี้ยวได้ เพราะคนที่นั่งมีแต่ฝ่าบาทและฮองเฮาเท่านั้น ข้าเดินเข้าไปยังด้านในหอหมอหลวงและเมื่อเข้าไปยังห้องหนึ่งก็เห็นหย่งหมินยืนอยู่ ข้างๆ มีหมอหลวงที่กำลังตรวจอาการท่านทูต ข้าพยายามไม่ให้เสียงสั่นและไม่เสียใจ “กระหม่อมคำนับฝ่าบาท” “ตามสบายเถอะ” เขากล่าวเสียงแข็งอย่างไม่เต็มใจ “ที่ข้าให้เจ้ามาเพราะต้องการให้เจ้าคิดค้นยาสมุนไพรเพื่อรักษาอาการของท่านทูต และช่วยหมอหลวงรักษา” ข้าพยักหน้า “ท่านหมอหลวงท่านทูตป่วยด้วยโรคใด” “กระหม่อมคิดว่าเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจผิดปกติเพราะท่านกุมอกด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้กระหม่อมทำเพียงฝังเข็มพยุงอาการเท่านั้น” “งั้นรึ ถ้าอย่างนั้นข้าพอที่จะคิดค้นยาขึ้นมาได้” “จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” ข้ายิ้มแล้วพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คิดค้นซะ ส่วนเรื่องการเดินทางข้าจะให้คนนำเกี้ยวไปรับและไปส่งทุกครั้ง เพราะหากให้เจ้าเดินพระอาทิตย์ตกคงยังไม่ถึง” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ข้าก้มหัวขอบคุณแต่ว่าเพราะขาข้าปวดจากการเดินในวันนี้อยู่มากจึงเสียหลักล้มลงแต่ว่าหย่งหมินที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับโอบเอวข้าไว้ ยามที่สายตาเราประสานกันข้ารู้สึกเหมือนวันวานนักแต่ว่าก็เพียงชั่วครู่เมื่อเขาผลักข้าล้มลงอย่างแรง “อึก” “เหอะ คิดเสแสร้งให้ข้าช่วยรับรึ!” เขาชี้หน้าว่าข้า “กระหม่อมเปล่า…” “หมอหลวงไปนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดมือให้ข้าซะ ข้ากลัวติดโรค!” “พะ..พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงก็รีบออกไปดังคำสั่ง ข้าเงยหน้ามองน้ำตาคลอ “ฝะ..ฝ่าบาท…รังเกียจกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ใช่…แต่ขยะแขยง!” ข้าเม้มปากและค่อยๆ ลุกยืนอย่างเข้าใจ “กระหม่อมเข้าใจแล้ว….กระหม่อมขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะที่น่าขยะแขยง…” “ไม่ต้องมาประชดข้า! อย่าคิดว่าการที่ข้าให้เจ้ามารักษาอาการแล้วข้าจะมีความรู้สึกดีต่อเจ้า บอกไว้ว่าไม่มีทาง! ข้าเกลียดเจ้าและขยะแขยงเจ้านัก!” หย่งหมินรีบเดินออกไป ทิ้งให้ข้ายืนนิ่งและน้ำตาไหลเงียบๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD