“แค่ก ๆ ...ๆ …” เสียงไอของข้าทำให้ทั้งสองนั้นหยุดนิ่งทันที หย่งหมินมองข้าอย่างไม่พอใจก่อนจะวางตะเกียบลงอย่างแรง
“ถ้าไม่สบายก็ลุกออกไป หากข้าติดโรคเจ้าขึ้นมาจะทำยังไง”
“กะ...กระหม่อมขออภัยพ่ะย่ะค่ะ “
“ไป!”
“ฝ่าบาทพระทัยเย็นไว้เพคะ เป็นหม่อมฉันเองที่ผิดคิดชวนสนมซือซือออกมาทั้งที่ไม่สบาย”
หย่งหมินนิ่งแต่ยังคงโกรธและไม่หันมามองข้าอีกเลย
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ข้าค่อยๆ ลุกยืนแต่เพราะขานั้นปวดจากการเดินที่นานและข้านั้นปกตินั่งบนเก้าอี้ไม่เคยนั่งพื้นเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อลุกยืนจึงเสียหลักและทรุดฮวบลงพื้นจนมือนั้นเผลอยันโต๊ะอาหารไว้
เพล้ง!
ถ้วยอาหารหล่นแตกหลายชิ้น อาหารหกเกลื่อน ข้านั้นตกใจจนรีบหยิบเศษที่แตกขึ้นมาและรีบกล่าวขอโทษ ไม่สนใจว่านิ้วจะถูกบาดจนเลือดออก
ปัง! มือของหย่งหมินตบโต๊ะเสียงดัง
“เจ้า! เจ้าทำข้าโกรธนัก รีบไสหัวไปซะ!!”
หนิงลี่จึงรีบมาประคองข้าให้ลุกยืนและพาเดินออกไป
“พระสนม…” นางรีบนำผ้ามาพันห้ามเลือดไว้แต่ว่าไม่รู้ทำไมข้าถึงไม่เจ็บสักนิดอาจเป็นเพราะว่าหัวใจข้านั้นแหลกสลายแล้ว
เมื่อกลับมาถึงตำหนักหนิงลี่รีบต้มน้ำเพื่อให้ข้าแช่เท้า เพราะตอนนี้แม้แต่ข้ายังรู้สึกว่าตัวเองตัวเย็นอย่างมาก
“แค่กๆ”
“พระสนม…หม่อมฉันจะตามหมอหลวง…”
“ไม่ต้อง...”
“พระสนม”
“ข้าไม่ได้มีค่ามากพอที่หมอหลวงจะมาดูอาการหรอก เจ้าไปนำสมุนไพรมาประคบแผลและนำมาต้มยาก็พอ”
“เพคะ” นางรับคำอย่างไม่เต็มใจนักแต่ก็รีบไปทันที
“แค่กๆ ท่าทางข้าจะป่วยแล้ว”
ข้าหลับตาเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ กำมือแน่นและร้องไห้อีกครั้ง
คิดไว้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาคงจะลืมข้าแต่ว่าพอได้ยินได้รับฟังมันช่างปวดใจนัก ข้าอยากหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้เสียที
แต่ว่ากลับยังนึกถึงสัมผัสและคำหวานในวันวานเสมอ ทั้งที่เขาไล่ข้าเยี่ยงสัตว์ขนาดนี้
……………………………
หลายวันจากนั้นแม้ข้าจะเริ่มหายป่วยแต่ว่าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตมากนัก ยังคงนั่งรออยู่หน้าตำหนักด้วยความหวังอันริบหรี่ว่าหย่งหมินจะมา แต่ยังดีที่เมื่อหลายปีก่อนหนิงลี่เห็นว่าข้าเบื่อจึงสอนข้าปักผ้า และตอนนี้ข้ากำลังปักผ้าลายดอกเหมยฮัวเต็มผืน
เดิมข้านั้นชอบล่าสัตว์หาของป่า แต่พออยู่ในวังหลวงที่วันหนึ่งเพียงนั่งว่างเมื่อมีโอกาสได้ลองปักผ้าดู จากตอนแรกที่ตำนิ้วจนเจ็บแต่ตอนนี้คล่องมือมากแล้ว
แต่ว่าหนิงลี่ออกไปนอกตำหนักนานแล้วทำไมยังไม่กลับมาอีก นางไปยกอาหารมาให้ข้าแต่ว่าวันนี้ช้าเกินไป ข้านั่งรออย่างร้อนใจ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยจึงตัดสินใจเดินออกไปข้างนอก
เห็นข้ารับใช้สองนางเดินผ่านมาข้าจึงค่อยๆ เดินไปถาม
“เห็นหนิงลี่หรือไม่”
นางทั้งสองมองหน้ากันด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนหนึ่งในสองนางจะเอ่ยบอกข้าทั้งที่ไม่รู้ว่าข้าคือใคร
“หนิงลี่นางขโมยอาหาร ตอนนี้ถูกคุมขังอยู่คุกวังหลัง”
ข้าเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าหนิงลี่ขโมยอาหารและกำลังถูกขัง
“คะ..คุกวังหลังอยู่ที่ใด พวกเจ้าพาข้าไปได้หรือไม่”
“ก็ได้..” พวงนางลังเลแต่ก็รับคำพาข้าไป
จากที่ข้าถาม คุกวังหลังนั้นมีไว้เพื่อขังข้ารับใช้ ทำไมหนิงลี่ถึงขโมยอาหาร ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่นอน
“ที่นี่ล่ะ” นางทั้งสองพอพาข้ามาก็รีบเดินกลับไปโดยไม่ฟังคำขอบคุณจากข้าด้วยซ้ำ
เบื้องหน้าคือตำหนักที่เก่าและโทรมแต่ใหญ่กว่าตำหนักข้า ทั้งยังมีทหารเฝ้าอยู่ด้านหน้าสองนาย
“ข้า..ข้ามาหาหนิงลี่”
ทหารสองนายเพียงยืนนิ่งเหมือนข้าไม่มีตัวตน
“ข้า..มาหาหนิงลี่!”
เสียงฝีเท้าที่เดินมาทำให้ข้าหันไปมอง เป็นคนสนิทของฮองเฮา
“พวกเจ้าให้คนผู้นี้เข้าไป” พอนางบอกทหารจึงยอมให้ข้าเดินเข้าไป ภายในตำหนักนั้นแสงสว่างแทบเข้าไม่ถึง ทหารที่เดินนำเปิดประตูห้องหนึ่งให้ข้าเข้าไป ภายใต้ความมืดเห็นเงาคนกำลังนั่งอยู่ที่พื้น
“นะ..หนิงลี่”
“พระสนม!”
นางรีบลุกยืนทันทีแต่ว่าก็ต้องทรุดฮวบลงไปอีก ได้ยินเสียงเหมือนของหนักบางอย่างที่ดังยามนางเคลื่อนไหว ข้ารีบไปกอดนางทันที แต่นางก็ร้องด้วยความเจ็บ
“เจ้าเจ็บตรงไหน”
“มะ...ไม่เพคะ…”
พอสายตาชินกับความมืดทำให้ข้าเริ่มเห็นใบหน้านางอย่างชัดเจนมากขึ้น ใบหน้ามีแต่รอยฟกช้ำ มอง เสื้อผ้าก็มีแต่รอยเปื้อนดินแต่คาดว่าต้องมีบาดแผลอีกแน่นอน แต่เมื่อมองมือของนาง ข้าก็ต้องร้องไห้เพราะมือเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด พอมองที่ขาพบว่านางถูกล่ามโซ่ตรวนไว้
“ทะ..ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ฮึก..ก..หนิงลี่เจ้าถูกปรักปรำใช่ไหม”
“ฮึก..ก..พระสนม..ไม่เพคะ..หม่อมฉันทำจริงๆ”
“ทำไมล่ะ…ทำไมเจ้าต้องขโมยอาหารด้วย”
“อาหารที่ห้องเครื่องทำในวันนี้เป็นอาหารสำหรับคณะทูตและหนึ่งในนั้นหากทานจะทำให้โรคของพระสนมพอทุเลาลงได้ หม่อมฉันอยากให้พระสนมหายดี…ฮึก..ก..”
“หนิงลี่...เจ้ามันโง่จริงๆ …ข้าจะต้องช่วยเจ้าให้ได้ ข้าจะเข้าเฝ้าฮองเฮา”
“คงจะไม่ได้” เป็นคำพูดของคนสนิทฮองเฮาที่เอ่ยขัด
“ฮองเฮาบอกข้าว่าไม่ให้ท่านเข้าเฝ้า”
“แต่ข้าอยากคุยเรื่องหนิงลี่”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เชิญออกไปได้แล้ว”
“มะ..ไม่ข้าเพิ่งได้พบหนิงลี่เมื่อครู่นี้เอง…ให้ข้าได้พูดคุยมากกว่านี้เถอะ”
“ไม่ได้!”
“พระสนมออกไปเถอะเพคะ ที่นี่ไม่เหมาะกับพระองค์”
“หนิงลี่…”
ทหารจับแขนข้าให้รีบลุกและกระชากพาไป ข้าก็ค่อยๆ เดินออกไปอย่างจำใจ
“ข้าจะต้องช่วยเจ้าให้ได้แน่นอน!”
หลังออกจากตำหนักข้าก็ยืนร่ำไห้อยู่นาน ข้าควรจะทำอย่างไรดี ฮองเฮานางไม่ให้ข้าเข้าเฝ้า..ถ้าอย่างนั้น..ฮ่องเต้ ข้ารีบเช็ดน้ำตาและค่อยๆ เดินไปยังตำหนักของฝ่าบาท ขานั้นปวดจนแทบเดินไม่ไหวแต่ก็กลั้นใจเดินไปถึง
“ข้าอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ข้าบอกทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านนอกประตู หนึ่งในนั้นรีบเดินเข้าไปด้านใน ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับขันทีผู้หนึ่ง
“ฝ่าบาทมีรับสั่งไม่ให้พระสนมเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ทะ..ทำไม…ข้ามีเรื่องอยากขอร้องพระองค์”
“กระหม่อมก็จนปัญญาพ่ะย่ะค่ะ”
ข้ากำมือแน่น แล้วคุกเข่าลงพื้น “ข้าจะคุกเข่าจนกว่าฝ่าบาทจะยอมให้ข้าเข้าเฝ้า”
“พระสนม…พระองค์ขาไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างฝ่าบาทตรัสแล้วไม่คืนคำ”
“ถ้าอย่างนั้น…ข้าจะรอจนกว่าฝ่าบาทจะเสด็จออกมา”
ขันทีถอนหายใจแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน ข้าก็นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกตำหนักอย่างนั้น ท่านไม่รักข้าไม่เป็นไรแต่ขอร้องช่วยข้าสักครั้งเถอะ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้ว่าข้าเกือบจะทรุดล้มหลายครั้ง ริมฝีปากแห้งผาก ลมหายใจก็ร้อน
“ฝ่าบาทเสด็จ…”
เสียงที่ได้ยินทำให้ข้าเงยหน้ามองช้าๆ “ฝะ…ฝ่าบาท”
หย่งหมินเมื่อเห็นข้าก็มองอย่างสงสัยแล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร”
ข้านิ่งงัน เขาจำข้าไม่ได้อีกแล้ว
ข้าเม้มปากมองดวงตาของเขาที่มองมา ในสายตาของท่านเห็นข้าเป็นเพียงเศษหญ้าที่ไม่มีให้ค่าจดจำเลยรึ
ขันทีเมื่อครู่รีบกระซิบบอก หย่งหมินเปลี่ยนสีหน้าจากนิ่งเฉยเป็นหงุดหงิดทันที
“ข้าไม่อยากเจอหน้าเจ้า ไสหัวไปซะ”
“ฝะ..ฝ่าบาทกระหม่อมมีเรื่องจะขอร้อง..ช่วย..”
ไม่ทันที่ข้าจะพูดจบ หย่งหมินก็เดินผ่านข้าไปทันที
“ฝ่าบาท…โอ๊ย!”
ข้ารีบลุกยืนแต่ว่าขากลับปวดและไม่มีแรงจนล้มลงกระแทกพื้นทันที ข้าที่นอนอย่างเจ็บปวดค่อยๆ เงยหน้ามองแผ่นหลังที่จากไป
“ฝ่าบาท…ฮึก...ฝ่าบาท”
ข้ายื่นแขนหวังคว้าอีกฝ่ายไว้แต่ว่าก็ทำได้เพียงคว้าความว่างเปล่าเท่านั้น