“เจ้าจะตามหาพวกนางต่อไปหรือไม่อาอวิ้น หากเจ้าตั้งใจข้าก็จะรั้งอยู่เพื่อช่วยเจ้าเป็นการไถ่โทษ” หลัวเจี้ยนคังถามเมื่อเห็นชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก เหม่อมองไปยังผืนน้ำแววตาครุ่นคิด
“เวลาผ่านมานานเกินไปแล้วขอรับท่านลุง ข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากเห็นกับตาว่าคนทั้งสามได้เสียชีวิตอยู่ในวัดร้างแห่งนี้หรือไม่ เราจะได้ช่วยกันจัดการศพให้ตามสมควร แต่เวลานี้ข้ามั่นใจอยู่เจ็ดส่วนว่าจื่อรั่วจะพาน้อง ๆ เดินทางต่อไปได้" ชายหนุ่มคิดว่าเจ็ดส่วนที่ตนมอบให้นี้ยังสูงเกินไปด้วยซ้ำ ต่อให้ถังจื่อรั่วใช้เรือในการเดินทาง แต่สภาพอากาศหนาวเย็นที่คนทั้งสามต้องเผชิญก็ยังยากที่จะเอาชีวิตรอด
“ข้าต้องกลับไปรายงานตัวที่สำนักศึกษาหลวงเมืองเจี้ยน ไม่อาจรั้งอยู่ต่อไปได้ หลังจากนี้ข้าคงต้องฝากท่านลุงช่วยติดตามข่าวคราวของนางแทนข้าด้วยขอรับ หากยังมีวาสนาวันหนึ่งข้าจะออกไปตามหานางอีกครั้งด้วยตนเอง”
ผลจากการสอบหย่วนเซิงเพื่อรับคุณวุฒิซิ่วไฉในครั้งนี้ แม้จะไม่ได้คะแนนอันดับหนึ่งเป็นอั้นโส่ว(1) แต่เกาซ่งอวิ้นก็เป็นบัณฑิตในกลุ่มหลิ่นเซิง(2) ได้รางวัลจากทางการในการเข้าร่วมการศึกษาต่อในสำนักศึกษาของราชสำนักที่เมืองเจี้ยน ยังต้องเดินทางอีกไกลไม่อาจรอช้า
“ตกลง หลานชายก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเถิด ทางนี้ข้าจะลองพยายามหาข่าวให้เอง ถ้ามีอะไรคืบหน้าข้าจะส่งความไปที่สำนักศึกษาเพื่อบอกกล่าวเจ้า”
“ท่านลุงนี่เป็นเงินที่ข้าเก็บหอมรอมริบเอาไว้ในระหว่างที่ร่ำเรียนอยู่ในเมืองซุ่นโจว และยังได้รางวัลจากท่านอาจารย์ในสำนักศึกษามาสมทบ ข้าฝากท่านเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการสืบหาพวกนางด้วยขอรับ”
เกาซ่งอวิ้นล้วงถุงเงินออกมานับแบ่งให้หลัวเจี้ยนคังไป 8 ตำลึง เหลืออยู่ที่ตนราว 4 ตำลึง
“เจ้าต้องเดินทางไกลยังต้องใช้เงินอีกมาก ไม่ต้องมอบเงินจำนวนนี้ให้กับข้าหรอก เป็นข้าที่สมควรจะทำเช่นนี้มาเสียตั้งนานแล้ว” หลัวเจี้ยนคังดันมือของชายหนุ่มกลับคืนไป
“ข้ามีหนทางของข้า ท่านลุงไม่ต้องกังวลใจไป ท่านเก็บเอาไว้เถิด” เกาซ่งอวิ้นวางใจในตัวหลัวเจี้ยนคังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ท่านลุงยอมขายน้องสาวเปิดเผยความจริงออกมาก็นับว่าจิตใจของเขาดีมากพอควรอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นว่าหลัวเจี้ยนคังไม่ยอมรับเงินไว้ ชายหนุ่มยิ่งคิดว่าตนฝากความหวังไว้กับคนไม่ผิด
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะใช้เงินจำนวนนี้ให้คุ้มค่าที่สุด หากมันยังเหลือจนถึงวันที่สามพี่น้องกลับมายังหมู่บ้านหนิงป่อ ข้าก็จะออกหน้าเป็นผู้สร้างเรือนในที่ดินเดิมของพวกเขาเอง” หลัวเจี้ยนคังตัดสินใจ
เดินทางจากวัดร้างย้อนกลับมาถึงเมืองซุ่นโจว ทั้งสองคนก็ต้องพักค้างคืนกันในป่าอีกหนึ่งคืน เมื่อมาถึงซุ่นโจวเกาซ่งอวิ้นก็ว่าจ้างเกวียนวัวอีกคัน ขนสัมภาระของตนเดินทางต่อไปที่เมืองเจี้ยน
จากนี้ตนจะต้องไปเรียนและต้องรับตำแหน่งงานผู้ช่วยฝึกฝนตามแต่ทางราชสำนักจะจัดการให้ เรื่องค่าเล่าเรียนในสำนักศึกษาหลวงนั้นยังไม่ต้องกังวลเพราะบัณฑิตหลิ่นเซิงทุกคนไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน แต่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพรวมทั้งอุปกรณ์การเรียนอีกสารพัดอย่างรวมทั้งที่พักเขาต้องจัดหาเอง
เวลานี้ตนตัดขาดกับนางหลัวซื่อ ไม่มีทรัพย์สมบัติสกุลเกามาช่วยส่งเสียอีกแล้ว ชายหนุ่มจึงจำต้องบากหน้ากลับไปที่สกุลเกาแห่งเมืองเจี้ยน อันเป็นสถานที่เกิดของบิดาเกาเหว่ยหลง
ท่านปู่ของเกาซ่งอวิ้นแต่เดิมเป็นพ่อค้ามีฐานะดีพอสมควร เขามีบุตรชายสี่คน บุตรสาวสองคน เกาเหว่ยหลงเป็นบุตรชายลำดับที่สี่เป็นน้องคนเล็กที่สุดใบบรรดาพี่น้องทั้งหมด 6 คน
ภายหลังเกาจางเหว่ยบุตรชายคนโตก็สามารถสอบเข้าเป็นขุนนางได้ ทำให้สกุลเกามีทั้งทายาทที่เป็นพ่อค้าคหบดีและขุนนาง เกาจางเหว่ยยังได้แต่งงานกับบุตรสาวในตระกูลขุนนางทำให้สกุลเกาเริ่มได้รับการต้อนรับนับหน้าถือตาสูงขึ้นไปอีกขั้น
แม้ว่าบุตรชายสามคนที่เหลือในสกุลเกาจะไม่มีผู้ใดเข้ารับราชการได้อีกเลย แต่สกุลเกาก็ยังมีช่องทางการค้าดำเนินชีวิตกันต่อไปได้สบาย แต่เกาเหว่ยหลงบุตรชายคนเล็กกลับเลือกไม่แต่งงานกับสตรีที่บิดามารดาหาไว้ให้ เขาหลงรักลู่เหม่ยเจินมารดาของเกาซ่งอวิ้นหญิงสาวยากจนที่ไม่สามารถสนับสนุนการค้าของสกุลเกาได้
มารดาของเกาเหว่ยหลงยื่นคำขาดไม่ให้คนทั้งคู่ได้แต่งงานกัน สุดท้ายเกาเหว่ยหลงจึงพาลู่เหม่ยเจินหนีมาที่เมืองซุ่นโจวและให้กำเนิดเกาซ่งอวิ้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวจากนั้นลู่เหม่ยเจินจึงได้ตายจากไป
เกาเหว่ยหลงไม่ได้ปิดบังเรื่องสกุลเกาที่เมืองเจี้ยนกับบุตรชาย หลายครั้งที่เขาปรึกษากับเกาซ่งอวิ้นคิดจะพาบุตรชายไปกราบท่านปู่ท่านย่าที่เมืองเจี้ยน แต่เป็นเพราะมีหลัวซิ่นเข้ามาในชีวิตอีกคนและนางก็เป็นสตรีที่ดี ปรนนิบัติดูแลสองพ่อลูกทำงานเคียงข้างเกาเหว่ยหลงจนบิดาไม่อาจตัดใจทิ้งหลัวซิ่นเอาไว้ที่หมู่บ้านหนิงป่อ
จะพานางกลับไปสกุลเกาด้วยก็คงไม่วายทำให้มารดาต้องโมโหเข้าไปอีกเพราะภรรยาสองคนล้วนเป็นหญิงชาวบ้านไร้เบื้องหลังสนับสนุนสามีทุกช่องทาง ทั้งหลัวซิ่นยังเป็นสตรีหม้ายลูกติดอีกหนึ่งคน ความลับเรื่องสกุลเกาแห่งเมืองเจี้ยนจึงมีเพียงสองพ่อลูกที่รู้กันเพียงสองคนเท่านั้น นางหลัวไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านปู่ท่านย่าของตนยังมีชีวิตอยู่
แต่เขาอายุ 17 ปีแล้ว ยังไม่เคยได้พบเจอท่านปู่ท่านย่าเลยสักครั้ง ท่านลุงท่านป้าทั้ง 5 คน จะต้อนรับตนหรือไม่ก็ยังไม่รู้ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกาเหว่ยหลงมีบุตรชายและได้เสียชีวิตไปแล้ว
ตนเองก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องกลับไปพึ่งบารมีท่านปู่ท่านย่ามาก่อน เพราะบิดาเองก็ทำไม่ถูก หนีหายจากสกุลเกามานานถึง 19 ปีไม่เคยส่งข่าวคราวกลับไปเลยสักหน อยู่ดีๆ ตนก็กลับไปขอความช่วยเหลือมันน่าละอายเกินไป แต่เวลานี้เกาซ่งอวิ้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน เงินที่เหลือติดตัวอยู่สี่ตำลึงเศษมีพอใช้แค่เพียงค่าอาหารและค่าเดินทางเท่านั้น
……….
จวนสกุลเกาเมืองเจี้ยน
“นายท่านรอง เชิญท่านไปที่เรือนหลักหน่อยเถิดขอรับ เวลานี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมาขอพบนายท่านและฮูหยินผู้เฒ่า ข้าให้เขาเข้ามารออยู่ที่ศาลารับรองแล้ว” พ่อบ้านเฉียนปากสั่นคอสั่นรีบรุดมาหาเกากังเยว่เพื่อแจ้งข่าว
“พ่อบ้านเฉียนไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ได้กำชับเอาไว้แล้วหรอกหรือว่าไม่ให้พาคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเข้าจวนมาง่ายๆ ไล่ออกไป” เกากังเยว่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
หลายปีที่ผ่านมามีคนไม่น้อยมาแอบอ้างว่าเป็นบุตรชายหรือบุตรสาวของเกาเหว่ยหลงเพื่อหวังเข้าร่วมสกุลเกา พี่ใหญ่เกาจางเหว่ยยังเคยหลงกลรับชายหนุ่มผู้หนึ่งมาเลี้ยงดูอยู่หลายเดือน สุดท้ายแล้วก็ถูกจับผิดได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคนสกุลเกาจึงตัดใจจากการตามหาเกาเหว่ยหลงรวมทั้งไม่ต้อนรับผู้ที่แอบอ้างคนใดทั้งสิ้น
ไม่นึกว่าผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังมีคนคิดนำเรื่องนี้มาหลอกลวงคนสกุลเกาเข้าอีก พ่อบ้านเฉียนก็กระไร รู้ทั้งรู้ว่าน้องชายหายสาบสูญไปเกือบยี่สิบปีแล้ว หากเขาคิดจะกลับมาก็คงมาเสียนานแล้ว ไม่ปล่อยให้บุตรชายหรือบุตรสาวเดินทางมาเองเมื่ออายุไม่น้อยแล้วเป็นแน่ ซ้ำทุกคนยังกล่าวเหมือนกันหมดว่าน้องชายของตนเสียชีวิตไปแล้ว นี่มันช่างน่าโมโหยิ่งนัก
“นายท่านรอง ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ท่านออกไปพบเขาเสียหน่อยเถิดขอรับ ข้ารับรองว่าท่านก็คงจะคิดไม่ต่างไปจากข้า” พ่อบ้านเฉียนกล่าวไปก็น้ำตาคลอไป ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าคล้ายนายท่านสี่ในวัยหนุ่มไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่มีความสุขุมเยือกเย็นกว่านายท่านสี่ในวัยหนุ่มที่ขี้เล่นซุกซนมากนัก
“เขาก็คงบอกว่าบิดาตายจากไปเหมือนคนอื่น ๆ อีกล่ะสิ” เห็นท่าทางของพ่อบ้านวัยชรา เกากังเยว่ก็ลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปที่เรือนหลัก
พ่อบ้านเฉียนรับใช้บิดามาตั้งแต่เขายังไม่เกิดด้วยซ้ำ บุตรชายบุตรสาวพี่น้องทั้ง 6 คน พ่อบ้านเฉียนล้วนแล้วแต่เคยพบหน้าช่วยจัดการธุระให้มาตั้งแต่เด็ก หากพ่อบ้านเฉียนคิดว่าชายหนุ่มผู้มาใหม่มีความพิเศษกว่าผู้อื่นตนก็สมควรออกไปพบดูสักครั้ง
“ยังไม่ได้ส่งคนไปตามท่านพ่อท่านแม่ใช่หรือไม่”
“ยังขอรับ ข้าอยากให้นายท่านรองได้พบชายหนุ่มผู้นี้เสียก่อน หากว่าท่านเห็นด้วยข้าจึงจะกล้าไปเรียนนายหญิงผู้เฒ่า”
(1) การสอบหย่วนเซิง หรือซิ่วไฉ ผู้มีคะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งเพียงหนึ่งเดียวในการสอบหย่วนเซิง เรียกว่า อั้นโฉวหรืออั้นโส่ว
(2) การสอบหย่วนเซิง หรือซิ่วไฉ มีการแบ่งระดับไปอีก 3 ระดับตามผลการสอบ คือ
1 หลิ่นเซิง คือกลุ่มบัณฑิตที่มีคะแนนสอบสูงที่สุด รวมไปถึงอั้นโส่วที่ได้อันดับ 1 ด้วย บัณฑิตเหล่านี้ได้รับรางวัลให้ได้เรียนต่อในสำนักศึกษาของราชสำนักได้
2 เซิงเซิง คือกลุ่มบัณฑิตที่มีผลคะแนนสอบรองลงมาจาก หลิ่นเซิง
3 ฟู่เซิง คือกลุ่มบัณฑิตที่มีผลคะแนนสอบต่ำลงมาจาก บัณฑิตเซิงเซิง และยังเป็นกลุ่มสำรองในการคัดเลือกเข้ารับราชการ