ตอนที่ 12 เปลี่ยนตัว

1659 Words
“ฮุ่ยหลินยังเด็ก นางย่อมฟังข้าเจ้าค่ะ แต่อาเยียนข้าไม่รู้ว่าเขาจดจำเรื่องของบิดามารดาได้เพียงใด หากเขาลืมข้าก็จะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปแต่หากเขาจดจำเรื่องในอดีตได้ข้าก็พร้อมจะบอกความจริงและเหตุผลกับเขา ข้าเต็มใจที่จะเปลี่ยนไปใช้แซ่จาง แต่มีข้อแม้ว่า ขอให้ท่านปู่อนุญาตเราสามพี่น้องได้มีโอกาสกราบไหว้เคารพป้ายวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่ที่แท้จริงด้วยก็พอเจ้าค่ะ" จางจื้อพิจารณาคำขอของถังจื่อรั่วอยู่ครู่หนึ่ง เด็กสามคนอายุไล่เลี่ยกับหลานๆ ตามจดหมายที่ได้รับจากบุตรชายมาตลอด อีกทั้งเขาสองสามีภรรยาก็ยังไม่เคยจัดพิธีศพให้กับครอบครัวของบุตรชาย ร่างของคนทั้งห้าหายสาบสูญอยู่ก้นแม่น้ำที่ใดสักแห่ง นางเฉินซื่อก็ไม่เคยยอมรับการจากไปของคนทั้งหมดเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนจึงทำให้ชาวบ้านใกล้เคียงไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ถึงการจากไปของบุตรชายมาก่อน เรื่องการลักชื่อเปลี่ยนตัวของเด็กสามคนดูคล้ายจะไม่มีช่องโหว่ใดๆ คำขอของเด็กสาวก็เหมาะสม ตนคิดจะแย่งบุตรชายผู้อื่นมา ย่อมต้องให้ความเคารพผู้ตายด้วย เขาจึงได้ตกลงปกปิดความลับนี้ไว้กับถังจื่อรั่วแค่สองคนก่อน ส่วนถังเยียนยังต้องดูอีกทีว่าเด็กชายจะจดจำอดีตได้มากน้อยเพียงใด ………. ถังจื่อรั่วลาท่านปู่ป้ายแดงของนางกลับมายังห้องพักที่สองผู้ชราเตรียมไว้รอรับหลานทั้งสาม เมื่อกลับเข้าห้องมานางก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างเล็กของถังเยียนนั่งยิ้มแป้นอยู่ภายในห้อง “น้องรอง ทำไมไม่ไปนอน นอนไม่หลับหรือ?” นางเข้าใจว่าเด็กชายอาจจะแปลกที่ และที่ผ่านมาพวกเขาก็นอนกับตนมาหลายวัน “ไม่ขอรับ ห้องที่ท่านย่าเตรียมไว้ให้สบายมากเลย แต่ข้าเอานี่มาให้พี่ใหญ่เก็บไว้” เด็กน้อยส่งตะกร้าให้พี่สาว ยืนรอฟังคำชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ถังจื่อรั่วเห็นว่าเป็นตะกร้าใบเดิมที่นางหลัวใส่แผ่นแป้งทิ้งไว้ให้พวกตน แต่เวลานี้คล้ายว่าจะมีบางอย่างอยู่ในตะกร้าและเด็กชายก็ใช้ผ้าคลุมมันเอาไว้มิดชิด “อาเยียน..” เด็กสาวลากเสียงอย่างท้อแท้ใจ สีหน้าผิดหวัง เสียใจไม่น้อย ที่แท้ถังเยียนแอบเข้าไปขโมยผักและซาลาเปาลูกโตมาอีกหลายลูกจากในครัวบ้านสกุลจาง นี่เป็นสิ่งที่นางสั่งให้น้องชายทำมานาน จนเด็กชายจดจำจนขึ้นใจไม่ว่าไปที่ใด เขาก็ต้องหยิบจับลักขโมยอาหารกลับมาส่งให้นางเสมอ “เจ้าคิดว่าการขโมยของจากผู้อื่นเป็นสิ่งดีหรือไม่” เด็กชายตัวน้อยมองเห็นแววตาผิดหวังของพี่สาวได้อย่างชัดเจน แต่เวลานี้เขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเช่นกัน หากตอบว่าดีพี่สาวอาจจะชมเชยตนแต่นั่นเป็นสิ่งที่เขารู้ว่าผิด เวลานี้พี่สาวเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างถ้าตอบว่าไม่ดีจะเกิดอะไรขึ้นหนอ เด็กชายวัยเก้าขวบ ตัวสูงเท่าอกของถังจื่อรั่ว จะว่าเด็กก็ยังเด็ก จะว่าโตก็โตแล้ว ถังจื่อรั่วไม่เคยมีน้องชาย ไม่เคยสั่งสอนอบรมเด็กอายุน้อย แต่นางก็รู้ดีว่าสมควรต้องแก้ไขปัญหานี้ เพราะเด็กอาจจะติดเป็นนิสัยและมีผลต่อการกระทำของเขาในอนาคต “พี่ใหญ่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว พวกเราสามพี่น้องกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีความสุข ข้าจะไม่ตำหนิเจ้า ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร ตอบมาตามตรงเถิด” “ข้าไม่ชอบลักขโมยของผู้อื่น แต่ท่านชอบ” เด็กชายช้อนสายตามองพี่สาวด้วยสีหน้าหวั่นเกรง ถังจื่อรั่วถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เป็นนางที่สั่งสอนเขามากับมือ และไม่เคยสนใจความรู้สึกของน้องชายมาก่อน เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้นางก็สบายใจขึ้นมาก อย่างน้อยถังเยียนก็ยังรู้จักผิดชอบชั่วดี “ใช่เมื่อก่อนเป็นเพราะข้าเกียจคร้าน ไม่รู้จักทำงานหาเงินหาอาหารมาเลี้ยงดูพวกเจ้า เลยสั่งให้เจ้าไปแย่งชิงสิ่งของจากผู้อื่น นั่นมันเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ ข้าขอโทษที่ข้าโง่เขลาอบรมสั่งสอนเจ้าให้ประพฤติผิด แต่จากนี้ไปเราจะไม่ทำเรื่องร้ายกาจใดๆ อีกต่อไป เราต้องทำความดีให้ท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่าภูมิใจในตัวพวกเรา” "แล้วถ้าท่านปู่กับท่านย่าจากเราไปอีกเล่าขอรับ ท่านจะกลับมาเป็นพี่สาวที่ร้ายกาจดังเดิมหรือไม่" ถังเยียนกล่าวจบก็ตบปากตัวเอง ไม่อยากเอ่ยคำว่าจากไปกับท่านปู่ท่านย่าที่เพิ่งได้พบสักนิด “ยังไม่มีผู้ใดจากไปหรอก โดยเฉพาะข้า ข้าจะอยู่ดูแลเจ้าสองคนให้เติบใหญ่ จะไม่สั่งสอนให้เจ้าทำเรื่องชั่วร้าย ดีหรือไม่” เด็กสาวเอื้อมมือไปลูบศีรษะของน้องชายเบาๆ “พี่ใหญ่ ข้าดีใจที่สุดเลย” ถังเยียนยินยอมที่จะปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาต่อหน้าพี่สาว เวลานี้เขาสามารถเป็นเด็กที่อ่อนแอ ไม่ต้องแสร้งทำตัวก้าวร้าวอย่างที่พี่สาวชอบได้แล้ว “จริงสิ เจ้าจำท่านพ่อกับท่านแม่ของพวกเราได้หรือไม่ คิดถึงพวกเขาหรือเปล่า” ถังจื่อรั่วลองถามคำถามออกมา นางไม่ได้ตั้งใจจะตอกย้ำความโศกเศร้าของถังเยียน แต่จะดีกว่าถ้ารู้ถึงความในใจที่แท้จริงของน้องชาย “ข้าเคยคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ แต่ข้ากลับลืมไปแล้ว ข้าจดจำใบหน้าพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ” ถังเยียนตอบคำถามอย่างรู้สึกผิด เขาพยายามนึกเรื่องราวของบิดามารดา แต่เวลานั้นตนเพิ่ง 6 ขวบ ความทรงจำยังปะติดปะต่อไม่ได้ชัดเจน และในที่สุดก็หลงลืมมันไป “แล้วเจ้าจำชื่อพวกเขาได้หรือไม่” เรื่องนี้ถังจื่อรั่วกล้าที่จะถามออกมา เพราะจากความทรงจำของร่างเดิม แม้แต่นางเองที่เป็นพี่สาวคนโตยังเอ่ยนามของบิดามารดาไม่บ่อยนัก เรียกพวกเขาว่าท่านพ่อท่านแม่มาตลอด ถังเยียนและถังฮุ่ยหลินเองก็เป็นเช่นเดียวกัน “ท่านพ่อถังฟู่เฉิง ท่านแม่หลินซินอี๋" เด็กชายตอบได้ทันทีไม่เสียเวลาคิดทบทวนเลยสักเสี้ยว ถังจื่อรั่วเม้มปากพูดไม่ออก ถังเยียนยังคงจำบิดามารดาที่แท้จริงได้ นางไม่กล้าปิดบังหรือบังคับใจเขาให้หลงลืมผู้มีพระคุณได้ลงคอ “ข้าจะเล่าเรื่องของท่านปู่ท่านย่าให้เจ้าฟัง เจ้าค่อยๆ ฟังแล้วคิดตาม หากมีข้อสงสัยหรือมีสิ่งที่เจ้ารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเจ้าก็บอกข้าได้ เราจะตัดสินใจร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง” ถังจื่อรั่วเล่าความทั้งหมดที่ตนและจางจื้อเพิ่งจะคุยกันเมื่อครู่ให้น้องชายฟัง ถังเยียนก็ตอบรับพยักหน้าเข้าใจเรื่องราวเป็นอย่างดี เมื่อรู้ว่าตนสามพี่น้องยังสามารถเคารพศพบิดามารดาแสดงความกตัญญูต่อไปได้ดังเดิม สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะเปลี่ยนเป็นคนสกุลจางเหมือนเช่นพี่สาว “เจ้าไม่เสียใจแน่นะ เมื่อเจ้าโตขึ้นบุตรของเจ้าก็จะแซ่จาง ไม่ใช่แซ่ถัง เจ้ายินยอมหรือ?" “ไม่เสียใจขอรับ ท่านปู่กับท่านย่าน่าสงสารกว่าพวกเราสามคนมากนัก ข้ามีท่านกับน้องเล็กก็พอแล้ว ข้าไม่อยากให้ท่านย่าเสียใจ” เด็กชายกล่าวออกมาจากใจจริง หากไม่ได้พบท่านย่าที่ริมน้ำ ไม่แน่ว่าพวกเขาทั้งสามก็อาจต้องหนาวตายอยู่ในเรือไปแล้ว ภายหน้าตนจะใช้แซ่จางเพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านย่าเอง “ขอบใจเจ้ามากนะน้องรอง เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว อีกไม่นานพี่จะขอให้ท่านปู่ทำแผ่นป้ายวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่ขึ้นมาใหม่แทนอันที่ถูกไฟเผาไป แล้วพวกเราจะได้เผากระดาษเงินกระดาษทองให้พวกเขากัน เวลานี้เจ้าเอาของพวกนี้กลับไปคืนที่เดิมให้เรียบร้อย ระวังอย่าให้ใครเห็นเล่า นี่เป็นเรื่องไม่ดีเลย” “ขอรับ” ถังเยียนตอบรับคำแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที ไม่มีร่องรอยของความเสียใจหรือลังเลแม้แต่น้อย ………. วันรุ่งขึ้นสองสามีภรรยาก็จ้างเกวียนจากคนในหมู่บ้านหลางหลงที่พวกเขาอาศัยอยู่ เดินทางเข้าเมืองไห่ เพื่อเตรียมข้าวของสำหรับพิธีศพที่จะจัดกันอย่างเงียบๆ ที่เรือนของตนพร้อมกับ ประกาศข่าวการเสียชีวิตของบุตรชายและบุตรสะใภ้ให้คนในหมู่บ้านได้รับรู้ รวมทั้งแจ้งบันทึกชื่อสามพี่น้องลงในสายสกุลจาง ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ไม่ได้มีความคลางแคลงใจกับครอบครัวของท่านหมอชราแต่อย่างใด พวกเขาล้วนรู้กันอยู่แล้วว่าจางหย่งเดินทางออกจากหมู่บ้านหลางหลงไปตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม หลายคนจึงเดินฝ่าหิมะมายังเรือนสกุลจางเพื่อแสดงความเสียใจกับการจากไปของจางหย่งและภรรยา รวมทั้งร่วมแสดงความยินดีกับท่านหมอจางเรื่องหลานสามคนที่ยังมีชีวิตรอดกลับมาได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD