บทที่3.อัดอั้น

1372 Words
เมอริอาร์พร่างพรูออกมาจนหมดราวกับอัดอั้นไว้นานแสนนาน เช่นเดียวกับน้ำตาที่ไหลเป็นสายอย่างสุดจะทนกลั้น หลายปีมานี่เธอโดดเดียวและอ้างว้างอย่างที่ไม่สามารถจะบรรยายได้ เมื่อใดที่หลับตาก็ฝันถึงพี่สาวมาเยี่ยมเยือนเสมอๆ     หลังเหตุการณ์กบฏในครั้งนั้นแม้ว่าครอบครัวของท่านมหาเสนาบดีจะถูกละเว้นโทษตายแต่ก็มิได้อยู่อย่างสงบสุขอีกต่อไป แม้ว่าตัวเธอจะถูกส่งมาเป็นบุตรบุญธรรมของท่านชีคฮาเรบ แต่กระนั้นความแค้นในใจก็ไม่อาจจะลบเลือนไปได้เลยแม้แต่น้อย          แววตาที่อูเซอร์คาเรทอดมองเมอริอาร์เต็มไปด้วยความสงสารและเจ็บปวด เขายังจดจำภาพในครานั้นได้เป็นอย่างดี ‘ฉึก’ ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง เซราเนียก้มมองที่กลางอกมีกริชเล่มที่เธอนำมาเพื่อสังหารอังค์เนสปักอยู่ เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมา ริมฝีปากสวยอ้าเผยอแต่ไร้เสียงใดจะเอ่ยออกมามือเรียวสั่นระริกแต่ก็ยื่นไปแตะใบหน้าของบุรุษที่เธอรัก ดวงตาของชายหนุ่มจ้องมองอย่างปวดร้าวแต่เซราเนียกลับยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน อูเซอร์คาเรรั้งร่างบางเข้ามาชิดจนใบหน้าของหญิงสาวเกยอยู่บนไหล่และริมฝีปากเธอกระซิบถ้อยคำอยู่ริมหูของเขา “ข้าขอบใจเจ้ามากเซราเนีย” มือใหญ่ดันกริชให้จมลึกเข้าไปอีก กี่ครั้งกี่หนที่เคยชุดกระชากวิญญาณผู้อื่นไม่เคยเจ็บปวดเท่ากับครั้งนี้เลย ร่างบางสะอึกแต่ไม่ดิ้นรนราวกับสิ่งนี้คือสิ่งที่รอคอยมาตลอดชีวิต “หม่อมฉัน...ดีใจ...ที่ได้อยู่...กับพระองค์...จน...ลม...หาย...ใจ...สุด...ท้าย” “เซราเนีย” อูเซอร์คาเรพึมพำอย่างปวดร้าวเมื่อภาพในอดีตหวนมาอีกครั้ง “ท่านไม่มีสิทธิ์เรียกชื่อพี่สาวของข้าอีก” เมอริอาร์พุ่งกริชเข้าใส่ร่างที่ยืนนิ่งราวกับหุ่นหินสลักโดยไม่หลบ แม้เรี่ยวแรงของหญิงสาวไม่มากนักแต่ก็ทิ่มเข้าไปที่ช่องท้อง ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างอย่างตกใจและปล่อยมือจากกริชทันที “ทำไม...ทำไมท่านไม่หลบข้า...” “ถ้าสิ่งนี้นำพาความสุขมาสู่ดวงตาของเจ้าข้าก็ยินดียิ่ง” อูเซอร์คาเรสบตาดวงตาสีเขียวเข้มคู่นั้นอย่างแน่วแน่ในทุกคำพูดของตน มือหนากุมที่ปากแผลพลางระบายลมหายใจอย่างเจ็บปวด “ไม่...มันต้องไม่ใช่แบบนี้”            หญิงสาวสะบัดหน้าไปอย่างมึนงง ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยนึกหวังจะให้ยืนนิ่งเพื่อรับความแค้นของเธอเช่นนี้ เมอริอาร์มึนงงสับสนจนถอยหลังชนผนังและใช้มันเป็นที่ทรงตัว “รีบหนีไปซะ ก่อนที่คนของข้าจะเข้ามาพบเจ้า” อูเซอร์คาเรกัดฟันพูด “ไปซิ” เสียงตวาดแผ่วๆ เรียกสติของเมอริอาร์ได้สำเร็จ หญิงสาววิ่งออกไปทางด้านประตูหลังอย่างไม่กล้าหันกลับมามองอีก สิ่งนี้คือสิ่งที่เธอปรารถนามาตลอดห้าปีมิใช่หรือ แต่ทำไมเธอไม่รู้สึกโล่งโปร่งใจแต่กลับรุ่มร้อนในอกจนแทบไม่รู้ตัวว่าวิ่งมาไกลเพียงใด จนเท้าเล็กๆ สะดุ้งก้อนหินล้มลงกับพื้น หญิงสาวนั่งตัวสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นแล้วยกฝ่ามือที่เปรอะเลือดขึ้นดู            ทำไมเขาไม่หลบเธอ ทำไมเขาจึงยืนรับคมกริชเช่นนั้น...ทำไม. ............... “พวกเจ้าเฝ้ายามกันยังไงถึงมีคนลอบทำร้ายท่านแม่ทัพได้” ฟาราจิหัวเสียหนักตวัดหลังมือใส่ทหารยามทั้งสองจนล้มคว่ำไม่เป็นท่า แม้ว่าหมอจะรายงานว่าบาดแผลไม่ฉกรรจ์นัก แต่การที่มีคนลอบเข้าไปทำร้ายถึงในกระท่อมที่พักของแม่ทัพอูเซอร์คาเรได้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีนัก หรือจะเรียกให้ถูกว่าเป็นการหยามน้ำหน้ากันก็ว่าได้ “ท่านฟาราจิ...ท่านแม่ทัพเชิญขอรับ” มาโมเข้ามาตามก่อนที่ทหารยามทั้งสองจะถูกลงโทษหนักปางตาย  ฟาราจิก้าวเดินเข้าไปในที่กระโจม หลังจากที่ทหารมารายงานว่าแม่ทัพอูเซอร์คาเรถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส ความโกลาหนจึงเกิดขึ้นท่ามกลางคืนเดือนมืดแต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อแม่ทัพไม่ยอมให้ออกตามหาคนร้าย เมื่อตลบผ้าม่านเดินเข้าไปก็พบร่างกำยำมีผ้าแผลซึ่งมีรอยเลือดซึมออกมา “ท่านแม่ทัพ” “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าไปโทษทหารยาม”      อูเซอร์คาเรเอ่ยเสียงเรียบ   “แล้วก็ไม่ต้องตามหาว่าใครเป็นคนทำร้ายข้า” “ขออภัยเถิด” ฟาราจิก้มศีรษะลงเล็กน้อย “แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านจึงมิข้าให้ติดตามคนร้าย” “นางผู้นั้นมิใช่คนร้าย” “นาง?” ฟาราจิกับมาโมเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “เป็นสตรีหรือ” อูเซอร์คาเรหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แต่สะเทือนถึงแผลจึงกลั้นไว้ “ใช่...นางเป็นสตรีและยังเป็นสตรีที่อาจหาญยิ่งนัก” “แสดงว่าท่านรู้ตัวตลอดเวลา” ฟาราจิครางเบาๆ ในลำคอ “นางทำในสิ่งที่ถูกต้อง” อูเซอร์คาเรผงกศีรษะรับ “เรื่องนี้ขอให้ยุติเพียงเท่านี้” “ขอรับ” มาโมและฟาราจิก้มศีรษะรับคำสั่ง “จะให้ข้ารายงานกับทางวังหลวงหรือไม่ขอรับ เห็นที่ว่าการเดินทางเข้าวังคงต้องเลื่อน” อูเซอร์คาเรก้มมองบาดแผลของตน เขาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วรู้สึกเจ็บเสียดๆ ที่บาดแผลอยู่ “ข้าไม่อยากขัดบัญชาองค์ฟาโรห์” “พระองค์ต้องทรงเข้าใจเป็นแน่” ฟาราจิเอ่ยขึ้น “แต่ข้าไม่ต้องการให้พระองค์ทราบ” อูเซอร์คาเรลุกขึ้นยืนมาโมรีบเข้าไปประคอง “เห็นทีคงต้องให้มาโมตามเข้าวังด้วยแล้ว” “ขอรับท่านแม่ทัพ” มาโมก้มศีรษะรับคำสั่ง “แต่บาดแผลของท่านจะได้รับกระทบกระเทือนระหว่างการเดินทาง” ฟาราจิแย้ง “มันเป็นสิ่งที่ข้าสมควรได้รับอยู่แล้ว” อูเซอร์คาเรโบกมือไล่คนอื่นๆ “ไปพักผ่อนกันได้แล้ว พรุ่งนี้เดินทางตามกำหนดเดิม แล้วอย่าแพร่งพรายข่าวนี้ออกไปเป็นอันขาดเพราะนั่นหมายถึงความมั่นคงในกองทัพของเราด้วย” “ขอรับท่านแม่ทัพ”           ทหารทั้งหมดก้มศีรษะน้อมรับคำสั่งและเดินออกจากที่พักของอูเซอร์คาเร ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะบางแผลเบาๆ ทว่าในห้วงความรู้สึกกลับรำลึกถึงดวงตาสีเขียวคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาไม่โกรธเธอเลยแม้แต่น้อย ยิ่งรู้ว่าเธอคือน้องสาวของ ‘เซราเนีย’ หญิงสาวที่เคยทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาด้วยความรักจากใจจริง  เขาเพียงหลอกใช้ความรักที่เธอมีเพื่อให้บรรลุในสิ่งที่ตนปรารถนาโดยไม่เคยรู้ภูมิหลังของเซราเนียเลยแม้แต่น้อย    ภาพของหญิงสาวทั้งสองซ้อนทับกันอย่างพอดี   แม้ในความมืดก็ยังเห็นเค้าโครงหน้าที่มีความคล้ายคลึงกัน จึงไม่น่าแปลกใจถ้าหญิงสาวคนนั้นจะบอกว่าเธอเป็นน้องสาวคนเดียวของเซราเนีย ชายหนุ่มยกฝ่ามือของตนขึ้นดูเลือดที่ซึมออกจากปากแผลเลอะฝ่ามือเป็นรอยจางๆ แต่เขากลับคิดถึงรอยเลือดจากเซราเนียที่เปื้อนเปรอะมือของเขา   บาดแผลเท่านี้ไม่อาจชดใช้ชีวิตที่แสนดีงามของเซราเนียได้หรอก หากชีวิตของเขาทำให้ความเศร้าจางหายไปจากดวงตาคู่นั้นได้เขาก็ยินดีจะมอบให้อย่างไม่หวั่นกลัวสิ่งใด “เมอริอาร์” หญิงสาวสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปทันที ดวงตาที่ยังตื่นตระหนกอยู่อ่อนลงเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้            “พี่โมเรส” “เจ้าไปไหนมากลางค่ำกลางคืนเช่นนี้” ชายหนุ่มจ้องมองเรือนรางบอบบางที่มีเสื้อคลุมตัวหนาสวมทับอยู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD