“แต่เท่าที่ทหารสอดแนมรายงานมาก็ไม่เห็นมีเผ่าใดกระด้างกระเดื่องกับเรา”
“เป็นเช่นนั้นจริงแต่เราก็มิควรประมาทมิใช่หรือ”
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อูเซอร์คาเรเอ่ยขึ้น “แล้วพระองค์มีประสงค์จะทำเช่นไร”
“ข้าก็ไม่ได้อยากทำอะไร” พระองค์สรวลในพระศอ “แต่เหล่าเสนาบดีออกความเห็นไว้หลากหลายและส่วนใหญ่ก็ให้นำบุตรชายของหัวหน้าเผ่าต่างๆ มาเป็นทหารในวัง”
“ก็เป็นความคิดที่ดี”
“แต่บางเผ่าก็มีแต่บุตรี” พระองค์เว้นระยะให้อนุชาทรงคิดเอง
“พระองค์คงคิดจะรับมเหสีเพิ่ม”
“ข้ามีเพียงอังค์เนสคนเดียวก็พอแล้วไม่ปรารถนาจะมีนางสนมกำนัลเพิ่มอีก”
“กระหม่อมไม่อยากเดา ทรงเฉลยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็...ถ้าเจ้ายังไม่มีสตรีที่หมายปองจะแต่งงาน ข้าก็อยากให้เจ้าช่วยแบ่งเบาภาระนี้ไปหน่อย”
“แบ่งเบาภาระ”
อูเซอร์คาเรหยุดเดินพร้อมกับนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เขาไม่คิดว่าจะถูกตามตัวด้วยเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้เขารู้สึกปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
“ให้กระหม่อมไปออกรบยังง่ายกว่า”
แต่องค์ฟาโรห์กลับแตะไหล่ผู้เป็นอนุชาเบาๆ “ข้าไม่อยากบังคับฝืนใจเจ้า แต่หากจะคิดทบทวนหน่อยก็ดี หรือหากเจ้ามีหนทางอื่นก็จงบอกมา”
“กระหม่อมคงต้องใช้เวลาคิดครู่ใหญ่”
“เอาเถิด...เจ้าพักผ่อนก่อนไว้หลังจากอาหารค่ำของวันพรุ่งนี้เจ้าค่อยให้คำตอบแก่ข้า”
อูเซอร์คาเรก้มศีรษะรับ ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรทรงก้าวพระบาทไปทางอื่นปล่อยให้เขาได้อยู่ในห้องพักตามลำพัง ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วปลดเสื้อคลุมออกก้มมองผ้าปิดแผลที่ยังมีเลือดซึมออกมา อาจเพราะการเดินทางบนหลังม้าทำให้บาดแผลเปิดจนเลือดซึมออกมาเช่นนี้ เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง หลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตกร่ำศึกอยู่กลางแดดร้อนและค่ำคืนที่เหน็บหนาวห่างเหินที่นอนหนานุ่มเช่นนี้นานแล้ว แม้ในความเป็นจริงเขาเลือกที่จะอยู่อย่างหรูหราก็ย่อมได้แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา ความสะดวกสบายในวังหลวงไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างในหัวใจได้ เขาเรียนรู้ชีวิตมากขึ้นเมื่อดวงตาไร้สิ้นซึ่งความริษยา
“ท่านแม่ทัพอูเซอร์คาเร”
ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นนั่งทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องทักดังมาจากประตู แต่กระนั้นก็ยังช้าว่าผู้ที่ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน หญิงสาวตรงหน้ายังคงความงดงามเปล่งปลั่งแม้ว่าจะเป็นมารดาของพระโอรสทั้งสองและยังมีอีกหนึ่งชีวิตในพระครรภ์
“พระมเหสีอังค์เนส” อูเซอร์คาเรถวายความเคารพพยายามจะเอื้อมมือหยิบเสื้อคลุมมาปิดที่บาดแผลแต่ก็ช้าเกินไป
“อย่าพูดจาเป็นคนอื่นคนไกลนักเลย” มเหสีอังค์เนสทรงสรวลขึ้นและโบกพระหัตถ์ห้าม “สวามีของข้าเป็นห่วงคนปากแข็งอย่างท่านจึงให้ข้ามาดูอาการบาดเจ็บของท่าน”
อูเซอร์คาเรหัวเราะในลำคอเบาๆ เขาคิดว่าตนเองพยายามเก็บอาการเจ็บแผลได้มิดชิดแล้วแต่ก็ยังไม่รอดสายพระเนตรที่คมกริบของฟาโรห์ได้
“ขอบพระทัยที่ทรงมาทอดพระเนตรกระหม่อมด้วยองค์เอง”
“คงเพราะบาดแผลนี่ที่ทำให้ท่านเดินทางมาถึงล่าช้า”
มเหสีอังค์เนสซึ่งได้ขึ้นชื่อว่ามีฝีมือในการรักษาชีวิตคน พระนางก้าวพระบาทไปประทับใกล้ๆ แล้วทอดพระเนตรที่บาดแผล
“เป็นผู้ใดที่ทำให้แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งอียิปต์บาดเจ็บได้เพียงนี้”
“พระมเหสีกล่าวเกินไปแล้วนี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อยที่กระหม่อมสะเพร่าเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านคงไม่ซุ่มซ่ามขนาดหกล้มใส่ของมีคมหรอกนะ” ทรงแย้มสรวลอย่างรู้ทัน
“กระหม่อมไม่อยากให้องค์ฟาโรห์ทรงเป็นกังวลเรื่องนี้”
“ไม่มีพี่ชายคนใดไม่ห่วงน้องชายหรอก” มเหสีอังค์เนส ทรงสรวลอย่างอารมณ์ดี “ให้เป็นหน้าที่ของหมอหลวงเถอะนะ ข้าเองอุ้ยอ้ายเกินกว่าจะทำอะไรได้เองแล้ว”
“พระนางไม่อุ้ยอ้ายขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ” อูเซอร์คาเรมองหน้าท้องที่หนานูนของหญิงมีครรภ์ราวหกเดือนเศษ พระมเหสีอังค์เนสลูบหน้าท้องของตนเองเบาๆ “อโมนีกับอมุน-มินก็เป็นชายสืบสายเลือดบัลลังก์อียิปต์แล้ว ข้าอยากให้ท้องนี้เป็นผู้หญิง”
“ถ้าทรงมีพระธิดาคงต้องงดงามเช่นพระองค์เป็นแน่”
“ข้าก็ขอให้เป็นเช่นวาจาของท่าน” พระมเหสีอังค์เนส ทรงลุกขึ้นยืน “ท่านเพิ่งมาถึงใหม่ๆ ก็พักผ่อนเถิดแล้วข้าจะให้หมอหลวงมาดูแลท่านอีกครั้ง ถ้าอาการของท่านไม่ดีขึ้น ข้าจะให้สวามีเลื่อนงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ออกไป”
“งานเลี้ยงดูตัวว่าที่เจ้าสาวของกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” มเหสีอังค์เนสหัวเราะเสียงใส
“ถ้าท่านได้เห็นว่าที่ภรรยาของท่าน ท่านอาจเป็นฝ่ายเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันวิวาห์เลยก็ได้”
“กระหม่อมก็อยากให้เป็นเช่นนั้นจะได้ไม่ขัดพระทัยฟาโรห์”
“ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนทำอะไรที่ไม่ต้องการหรอกท่านแม่ทัพอูเซอร์คาเร เพียงแต่สตรีนางนี้งดงามและน่ารักเหมาะกับท่านมาก และองค์ฟาโรห์เองก็ไม่ปรารถนาหญิงอื่น ต่อให้รับนางมาเป็นสนมก็จริง แต่ใช่ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะมีความสุข”
“เรื่องนั้นกระหม่อมทราบแล้ว แต่ชีวิตของกระหม่อมเป็นอิสระไม่ผูกมัดกับผู้ใดมาเนิ่นนานจึงเกรงว่าการแต่งานครั้งนี้จะเหมือนกักขังหญิงสาวผู้นั้นมากกว่า”
“รอให้ท่านได้พบนางก่อนจะดีกว่า”
พระมเหสีอังค์เนสทรงสรวลเบาๆ แล้วขอตัวเดินออกไป เมื่อในห้องไม่มีใครแล้วชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง อุตส่าห์พยายามปิดเรื่องบาดเจ็บแล้วก็ยังทราบอีกคงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนบาดแผลแล้วแต่เขาไม่รู้ว่าจะโกหกอย่างไรกับที่มาของบาดแผลในครั้งนี้
ดำรัสของฟาโรห์เนเฟอร์คาเรที่รับสั่งเมื่อครู่ทำให้เขาปิดเปลือกตาและครุ่นคิด เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่กับองค์ฟาโรห์ที่มีพระทัยรักมเหสีเพียงหนึ่งเดียวไม่ปรารถนาจะมีสนมอีกก็เป็นเรื่องลำบากใจของเหล่าเสนาบดี แต่การ ‘แต่งงาน’ ไม่เคยอยู่ในความคิดของชายหนุ่มมานานแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะรักใครได้
ใบหน้าคมเข้มปรากฏรอยยิ้มขึ้นน้อยๆ เมื่อภาพดวงตาคู่งามจ้องมองเขาอย่างตื่นตระหนก ท่าทางจะไม่เคยเห็นเลือดด้วยซ้ำไป แต่ก็ต้องนับถือจิตใจในเรื่องของความกล้าหาและมุ่งมั่น ไม่รู้ป่านนี้เธอคนนั้นจะเป็นอย่างไร
คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืดทำให้เขาไม่อาจเห็นรายละเอียดความแตกต่างระหว่างเซราเนียกับเมอริอาร์ได้ชัด แต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้คือความมั่นใจและแน่วแน่ที่แผ่กระจายอยู่รายล้อม เขาไม่อาจหวังให้ความแค้นที่เธอมีละลายหายไปแต่ก็หวังใจว่าจะชดเชยความผิดที่มีต่อเซราเนียได้บ้าง
หรือบางที นี้อาจเป็นความเมตตาจากปวงเทพเจ้าที่จะให้โอกาสเขาแก้ตัวอีกครั้ง.
.......
เมอริอาร์นั่งถอนหายใจอยู่ในอุทยานที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ แม้ว่าจะสวมอาภรณ์ที่งดงามแต่จิตใจของเธอกลับหม่นหมอง เธอเข้าวังมาหลายวันแล้วและได้เข้าเฝ้าฟาโรห์เนเฟอร์คาเรรวมทั้งพระมเหสีอังค์เนสแล้ว ทั้งสองทรงทราบวัตถุประสงค์ที่เธอมาในครั้งนี้แต่ก็ยังมิทรงดำรัสสิ่งใด
ทำให้เธอหวาดหวั่นว่าการมาครั้งนี้ของเธอจะไม่เป็นผลสำเร็จ โดยเฉพาะเมื่อได้เข้าเฝ้าพระมเหสีอังค์เนสก็ยิ่งทำให้เธอกังวลใจมากขึ้น พระนางช่างเป็นมเหสีที่เปี่ยมด้วยน้ำพระทัยมิเคยดูถูกดูแคลนเธอเลย ซ้ำยังทรงสิริโฉมงดงามทั้งที่มีพระโอสรน้อยๆ ถึงสองพระองค์และยังมีอีกหนึ่งชีวิตในพระครรภ์ เธอมิได้ปรารถนาจะเป็นนางสนมหรือใช้ชีวิตในวังเช่นนี้ แม้จะได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์รวมทั้งเครื่องประดับที่งดงาม แต่จิตใจเธอกลับไร้ความสุข ชีวิตในชนเผ่าทะเลทรายแม้จะไม่สะดวกสบายแต่ก็มีอิสระ ที่กังวลมากกว่าคือกลัวว่าการเสียสละของตนเองครั้งจะไร้ค่า
เสียงการเคลื่อนไหวจากพุ่มไม้ด้านหลังทำให้หญิงสาวหันไปมอง แล้วดวงตาของหญิงสาวก็ต้องเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นสิงโตหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ๆ
‘สิงโตมีสิงโตในอุทยาน’