1. one-night stand ที่ไม่รู้ตัว
เสียงดนตรีตื่นเต้นเร้าใจในผับชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ ปลุกความกล้าแสดงออกของนักท่องเที่ยวกลางคืนเมื่อร่างกายได้รับแอลกอฮอล์ให้ออกไปโยกย้ายส่ายสะโพก บ้างก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับคู่รัก หรือแม้แต่คนที่เพิ่งเจอและเผลอสบตากันในครั้งแรกอย่างไม่เหนียมอาย
"ขิม แกจะมานั่งเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้นะ วันนี้พี่ๆ อุตส่าห์พามาเลี้ยง แกจะนั่งมองเหล้าในแก้วที่พี่ๆ รินให้ละลายทิ้งไปถึงไหนกัน ดื่มสิแก ดื่ม"
เสียงยายลิล เพื่อนเรียนที่เดียวกันและฝึกงานที่เดียวกันหันมาบอกฉัน ยายลิลตะคอกเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงในผับ ทำให้ทุกคนที่นั่งบนโต๊ะ หมายถึงพี่ๆ ซึ่งมีแต่ผู้ชายต่างก็ได้ยินด้วยกันถ้วนหน้า
"นั่นนะสิน้องขิม วันนี้พวกพี่อุตส่าห์พามาเลี้ยง ดื่มสักหน่อยให้พวกพี่ชื่นใจนะ"
นี่เสียงพี่เมธา คนนี้เป็นพี่ในที่ที่ฉันกำลังฝึกงาน เช่นเดียวกับ พี่ว่าน แล้วก็ พี่ทูน ซึ่งก็เป็นพี่ในที่ฝึกงานของเราเหมือนกัน
แนะนำคนอื่นที่นั่งด้วยกันไปจนหมดแล้ว ดันลืมแนะนำชื่อของตัวเอง ฉันชื่อขิม...นางสาวขวัญรตี ประเสริฐกุล ตอนนี้เรียนอยู่ปี4 เทอม2 คณะนิเทศศาสตร์ เอกวารสาร กำลังฝึกงานอยู่ในช่องทีวีชื่อดังแห่งหนึ่ง หน้าที่หลักๆ คือช่วยพวกพี่ๆ เขียนสคริป หาข่าวเกี่ยวกับข่าวบันเทิงอะไรต่างๆ รวมทั้งการเดินเอกสารและชงกาแฟตามแบบฉบับเด็กฝึกงานที่ต้องทำทุกอย่างตามที่ถูกสั่ง
จริงๆ ในที่ฝึกงานของเราไม่ได้มีแต่ผู้ชายที่เรามาด้วย คนที่เป็นผู้หญิงก็มีเยอะ เพศที่สามก็อีกหลายคน แต่คนที่พาเรามาเลี้ยงดันมีแต่พี่ๆ ที่เป็นผู้ชาย ตอนแรกฉันเองก็ว่าจะไม่มาแล้วแหละ วันนี้ฝึกงานค่อนข้างเหนื่อย ไหนจะต้องเขียนสคริปตามคำสั่งที่ถูกสั่งมาส่งพรุ่งนี้เช้า ฉันตั้งใจว่าเลิกงานก็จะรีบกลับไปทำงานที่ค้างแล้วนอนดูซีรีส์จนหลับไปเหมือนทุกๆ วัน แต่แล้วตอนสองทุ่มกว่าๆ ยายลิลที่พักห้องเดียวกับฉันกลับขอร้องแกมบังคับพร้อมทั้งลากฉันมาที่ผับนี้ด้วย
เรื่องของเรื่องคือฉันไม่ค่อยชอบเที่ยวในที่แบบนี้ และที่สำคัญฉันก็ยัง...ไม่เคยดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สักครั้ง ปกติแค่ลองจิบๆ สปายฝาเดียวฉันก็เมาไปสองวันแล้ว แต่ตอนนี้กำลังถูกลิลและพวกพี่ๆ เชียร์ให้ต้องดื่ม ฉันบอกหลายครั้งว่าดื่มไม่ได้แต่พวกพี่ๆ ก็เอาแต่พูดเหมือนน้อยอกน้อยใจอยู่นั่นแหละ ส่วนลิลก็ไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลย ซ้ำยังบังคับให้ฉันรีบดื่มๆ อีก สถานการณ์มันน่าอึดอัดจนฉันเริ่มทนไม่ไหว จึงคิดว่าจะดื่มสักแก้วให้มันจบๆ แล้วขอตัวกลับ
แต่เหมือนสิ่งที่ฉันคิดกับความเป็นจริงจะสวนทางกัน...
หลังจากน้ำสีอำพันแก้วแรกที่พี่ว่านรินให้ถูกกลืนลงคอ หลังจากนั้น...
หลังจากนั้นฉันก็มารู้สึกตัวอีกทีตอนมีอะไรบางอย่างพาดทับลงมาที่ตัว
ฉันไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร รู้สึกแค่ว่ามันให้ความอบอุ่นและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงจะอุ่นแค่ไหนฉันก็รู้สึกว่ามันอึดอัดในคราวเดียวกัน ฉันอยากจะรู้ว่ามันคืออะไรแต่เปลือกตาของฉันก็ยังหนักอึ้งเกินกว่าจะเปิดขึ้นไปดูได้ หัวก็ปวดหนึบๆ ที่ท้องและขาก็เจ็บแปลบๆ และในตอนนั้นสิ่งที่พาดทับอยู่บนตัวฉันก็ขยับ...
นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันตื่นได้เต็มตาและได้รู้ว่าสิ่งที่พาดทับอยู่บนลำตัวตัวเองก็คือ...แขนของคน
"นะ นี่มันอะไรกัน"
ฉันส่งเสียงถามออกมาเบาๆ ขณะก้มมอง แขนล่ำๆ ขาวๆ พาดทับลงมาบนหน้าอกของฉันที่...เปลือยเปล่า! ฉันค่อนข้างมั่นใจว่ามันไม่ใช่แขนของลิล และ...มันก็ไม่ใช่แขนของผู้หญิง! นั่นมันทำให้ฉันเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
"คะ คุณคะ"
ฉันลองเรียกด้วยเสียงแผ่วเบาติดแหบแห้ง ผู้ชายคนดังกล่าวยังคงนอนเงียบและไม่ขยับ เขาน่าจะยังไม่ตื่นและฉันก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น
เมื่อมั่นใจว่าเขายังหลับ ฉันจึงค่อยๆ จับแขนเขาออกแล้วลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มผืนสีขาวปิดทับใบหน้าของเขาเอาไว้ ทำให้ฉันมองไม่เห็นว่าเขาเป็นใคร ที่มองเห็นคือ...รอยเลือดสีแดงสดซึ่งติดอยู่บนผ้าปูที่นอน ตอนนั้นฉันมั่นใจแล้วว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น
ฉันพลาดไปแล้วจริงๆ สินะ ครั้งแรกของฉันพลาดเพราะความเมาให้กับผู้ชายที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร...และเหมือนตอนนี้ฉันจะยังไม่อยากรับรู้และไม่อยากยอมรับอะไรทั้งนั้น ฉันคิดว่าฉันยังไม่กล้าเผชิญหน้าและไม่อยากให้เขาตื่นขึ้นมาเห็นฉันอยู่ตรงนี้ คิดจะรีบลงจากเตียงไปแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วหนีออกไป คิดจะไม่ดูหน้าเขาแล้วลืมๆ เหตุการณ์นี้ไปเพราะฉันก็จำอะไรในเมื่อคืนไม่ได้อยู่แล้ว มันไม่มีอะไรให้ได้จดจำ
แต่ในจังหวะที่ฉันลุกจากเตียงไปแต่งเนื้อแต่งตัวและกำลังจะก้าวออกไปจากห้อง จังหวะที่ฉันได้ยินเสียงคนที่นอนบนเตียงเปล่งเสียงครางออกจากลำคอ...มันทำให้ฉันหันกลับไปมองด้วยความลืมตัว
"นั่นมัน..."
ฉันพร่ำเบาๆ ก่อนจะยกมือปิดปากตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อผ้าห่มที่เคยปิดหน้าเขาไว้ถูกถีบทิ้งไป
ผู้ชายคนนั้น...หมอผ้าเช็ดหน้าที่ฉันเคยเจอเมื่อหลายปีก่อน ฉันจำเขาได้ไม่ผิดแน่ ผู้ชายคนเดียวที่ฉันจำได้แม่นที่สุดนับตั้งแต่เจอกันครั้งแรก...
ย้อนไปเมื่อห้าปีที่แล้ว
ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ม.6 วันสอบปลายภาควันสุดท้ายมาเยือนพร้อมกับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตฉัน
วันนั้นพ่อฉัน ซึ่งเข้าผ่าตัดสมองและนอนไม่ได้สติโดยใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ในโรงพยาบาลได้สัปดาห์กว่าๆ ได้จากฉันไปอย่างไม่ย้อนกลับ
ฉันได้ข่าวและไปถึงโรงพยาบาลช่วงสี่โมงกว่า ตอนฉันไปถึงหมอกำลังคุยกับแม่ฉันเรื่องที่จะถอดเครื่องช่วยหายใจแล้วให้พ่อจากไปอย่างสงบหลังจากที่ฉันมาดูใจแล้ว ตอนนั้นฉันยังทำใจไม่ได้และไม่อยากให้หมอถอดเครื่องช่วยหายใจ พ่อนอนเป็นคนป่วยในห้องรวมของตึกฉุกเฉิน ในห้องนั้นมีเตียงคนไข้นับสิบกว่าเตียง มีญาติคนไข้นับสิบกว่าคน มีหมอ มีพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล รวมทั้งนักศึกษาฝึกงานที่มุงดูอยู่ แต่ฉันก็เอาแต่ร้องไห้แล้วบอกแม่ บอกหมอว่าฉันจะไม่ยอมให้ถอดเครื่องช่วยหายใจของพ่อเด็ดขาด ฉันถึงขั้นวิ่งเข้าไปขวางหมอไว้เพื่อไม่ให้เดินเข้าไปใกล้พ่อ ฉันรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังจะทำให้พ่อของฉันหายไป แม่พยายามห้ามฉันและเกลี้ยกล่อมบอกว่าอยากให้พ่อไปอย่างสงบ ฉันยังไม่เชื่อแม่และไม่เชื่อหมอ ยังยืนร้องไห้และขัดขวางอยู่อย่างนั้นจนมีหมอผู้ชายใส่เสื้อกาวน์สั้นสีขาวคนหนึ่งมาพาออกไป
เขาพาฉันออกไปสงบสติอารมณ์ที่ห้องๆ หนึ่ง ตอนแรกฉันยังจะวิ่งออกไปจากห้องเพื่อกลับไปหาพ่อ แต่หมอคนนั้นก็กอดเอาไว้ เขากอดแล้วยกมือขึ้นลูบที่หัวของฉันเบาๆ
"วันที่ฉันเรียนจบม.ปลาย ฉันเองก็เคยสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของฉันเหมือนกัน ฉันเข้าใจดีว่าเธอรู้สึกยังไง มันไม่ง่ายที่จะทำใจได้เลย..."
คำพูดสั่นเครือของเขา ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาเป็นครั้งแรก นั่นคือครั้งแรกที่ฉันได้เห็นหน้าเขา แม้ตอนนั้นจะมีม่านน้ำตาบดบังจนเห็นเลือนลาง แต่ใบหน้าและภาพจำครั้งแรกตอนที่ฉันเห็นใบหน้านั้นก็ยังชัดเจนติดตรึงในใจฉันอยู่เสมอ
"เช็ดน้ำตาแล้วกลับเข้าไปส่งพ่อให้ไปอย่างสงบเถอะ พ่อเธอคงต้องการเห็นรอยยิ้มของเธอมากกว่าเห็นเธอร้องไห้ตอนเขาต้องไป"
พอพูดจบเขาก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กให้ฉัน ฉันรับมาถือไว้ก่อนจะนั่งลงไปกอดเข่าร้องไห้เกือบสิบนาที พอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนน้ำตาเหือดแห้ง ขณะที่ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเปียกชุ่มแทบเช็ดต่อไม่ไหว ฉันจึงตัดสินใจยืนขึ้นแล้วเดินตามหลังเขาไปหาพ่อ
แต่ตอนที่ฉันไปถึง...พ่อของฉันกลับจากไปแล้ว จากไปโดยที่ฉันยังไม่มีโอกาสได้ร่ำลา และนับตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลวันนั้นจนผ่านมาห้าปีฉันก็ไม่ได้กลับเข้าไปในโรงพยาบาลและไม่ได้เจอหน้าหมอคนนั้นอีกเลย
หน้าตาของเขา คำพูดและน้ำเสียงนั้น รวมทั้งผ้าเช็ดหน้า สลักชื่อภาษาอังกฤษตัว K.P ฉันยังคงจดจำและเก็บมันเอาไว้จนถึงวันนี้ วันที่ฉันได้กลับมาเจอกับเขาอีกครั้งด้วยความบังเอิญ และ...ไม่คาดคิดว่าจะได้กลับมาเจอกันในรูปแบบนี้
ตอนแรกมาลงแล้ว ฝากเข้ามาอ่านกันเยอะๆ ด้วยนร้าทุกคน✌️✌️✌️