8.3 ร่องรอย

1382 Words
นางตัดสินใจถูกต้องแล้วที่จากมา ก่อนที่ความทรงจำดีๆ จะถูกทำลายไปมากกว่านี้... หนิงเทียนครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเกือบชนเข้ากับหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่เดินสวนมา นางจึงดึงตนเองออกจากห้วงคิดแล้วกลับมาใส่ใจกับปัจจุบันอีกครั้ง หาซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมายังบ้านของพ่อค้าปลาก่อนฮูหยินวัยสาวลงมือทำอาหารเช้าพอดี “ฮูหยินอิง ตลาดยามเช้าวันนี้คึกคักนัก ข้าเห็นมีของดีมากมายจึงซื้อมาฝากท่าน” สิ้นเสียงดังห้าว หญิงสาวที่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในบ้านก็รีบเดินออกมาจากห้องครัว สีหน้าเรียบเฉยแปรเปลี่ยนเป็นตกใจทันควันเมื่อเห็นว่าด้านหลังผู้มาใหม่ กลับมีชาวบ้านอีกสองคนหอบหิ้วของเดินตามเข้ามาด้วย ทั้งปลาตัวใหญ่ หอยแครงหกชั่ง สันคอหมู ฟักทอง ผักกาดขาว ผักบุ้ง หัวไชเท้า...แล้วไข่ไก่หนึ่งโหล่นั่นอีก! ภรรยาพ่อค้าปลาเห็นแล้วอยากจะเป็นลมเสียให้ได้ “ท่านเหอ! เหตุใดจึงซื้อมามากมายถึงเพียงนี้!” “อ้าว...มากไปหรอกหรือ” คนซื้อเลิกคิ้วสูง ปกตินางไม่เคยจ่ายตลาดมาก่อน ต่อให้นางจะเป็นนักกินตัวยงแต่ก็ไม่เคยเข้าครัว เห็นว่าทุกอย่างมันน่ากินไปหมดก็เลยซื้อมา ในเมื่อทุกคนเข้าใจว่านางเป็นผู้ชายก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากเป็นผู้หญิงและทำแบบนี้คงไม่มีหวังไม่ได้แต่งออกเรือน รอขึ้นคานสถานเดียว! หรือนางควรจะแต่งงานกับชายที่มีเสน่ห์ปลายจวักดีล่ะ เช่นพ่อครัวสักคนเป็นอย่างไร... ในระหว่างที่หนิงเทียนกำลังขบคิดอย่างสนุกสนาน เสียงของฮูหยินก็ดังขึ้นมา “ช่วงนี้เป็นหน้าร้อน หากพวกเราทานไม่หมดมันก็จะเน่า เสียดายเงินที่ซื้อมาเปล่าๆ ” กล่าวพลางหันไปพิจารณาของที่หนิงเทียนซื้อมาอีกครั้ง ก่อนจะจัดการคืนของกลับไปส่วนหนึ่งแล้วยื่นเงินทอนให้กับผู้ที่ซื้อมันมา “ท่านเหอ ท่านเดินทางคนเดียวเช่นนี้ ปกติมักจะไปซื้ออาหารข้างทางกินตลอดเลยหรือ” โฉมสะคราญในคราบหนุ่มน้อยหัวเราะ ตอบยิ้มๆ “เมื่อก่อนตอนร่ำเรียนอยู่กับอาจารย์ ศิษย์พี่รองจะเป็นคนรับผิดชอบทำอาหาร ข้าเคยมีโอกาสทำอยู่ครั้งหนึ่ง...” “แล้วเป็นอย่างไรหรือ” อีกฝ่ายถามอย่างสนอกสนใจ “ก็...” เสียงดัดห้าวลากยาวเพื่อต้องการกระตุ้นความใคร่รู้ของฮูหยินอิง ก่อนจะเปิดปากเฉลยออกมาในที่สุด “ไม่มีใครกินได้สักคน ขนาดข้าเอาไปวางไว้ด้านนอกเพื่อให้เป็นอาหารนกกา พวกมันก็ยังเมิน บินหนีไปหมดเลย” ครั้นเล่าจบแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างคิกคักจากคนทั้งสอง แล้วมันจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตูห้องนอนที่อยู่ไม่ไกล เผยให้เห็นร่างของบุรุษสามคนเดินเรียงแถวกันออกมา หนึ่งคืออิงซาน สองคือหลี่ชุน ทว่าคนที่สามกลับเป็นท่านหมอวัยชราที่หญิงสาวมิได้พบมาหลายวัน ซึ่งหนิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มลาท่านหมอที่เดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบเชียบ ฮูหยินจึงขอตัวไปทำอาหารเช้าในครัวต่อ หนิงเทียนไม่เสียเวลาคิดนานก็พอจะเดาได้ว่าบาดแผลของหลี่ชุนคงมีปัญหา จึงเดินไปหาอิงซาน “ค่ารักษาเท่าไรหรือท่านสาม ข้าจะจ่ายให้ท่านเอง” พ่อค้าปลารีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไรเจ้าเวิ่น ข้าเป็นคนทำให้แผลของเจ้าชุนฉีกเอง ย่อมต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว” “ท่านสาม ท่านให้ข้ากับเจ้าตะพาบน้ำพักอยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน” นางกล่าวพลางวางเงินใส่มือหนา “เรื่องเจ้าตะพาบน้อยซุ่มซ่ามถือเสียว่าเป็นความรับผิดชอบของข้าก็แล้วกัน” จากสภาพที่หลี่ชุนที่ออกไปตามหาตัวนางเมื่อวานแล้ว ดูท่าคงยื้อยุดกับอิงซานอยู่นานจนแผลปริเสียกระมัง “ร่างกายเป็นของข้า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ารับผิดชอบ” หลี่ชุนที่เงียบไปนานเอ่ยอย่างหงุดหงิด เมื่อวานนี้เจ้าคนร่างบางทำเขาเป็นห่วงเก้อยังไม่พอ วันนี้ยังจะมาแสดงท่าทีรับผิดชอบให้เขารู้สึกขายหน้าอีก แต่ชายหนุ่มก็ต้องนิ่งไปอีกหน เมื่ออีกฝ่ายถามกลับด้วยน้ำเสียงระรื่น “หรือว่าเจ้ามีเงิน? ” หน้าของทายาทตระกูลพ่อค้าคล้ำลง นอกจากหยกประจำตระกูลที่ได้คืนมาแล้ว เขาก็ไม่มีสมบัติใดๆ ติดตัวอยู่เลย นางมองใบหน้าของหลี่ชุนพลางยิ้มขัน แลดูกวนประสาทเหลือทนสำหรับผู้ที่จนด้วยคำพูด “ไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าเพียงชอบให้คนติดหนี้ข้าเยอะๆ ” ครานี้บุรุษทั้งสองถึงกับนิ่งค้างไปพักใหญ่ กรอกตามองกันอย่างหวาดระแวง จนกระทั่งเสียงหัวเราะของหนุ่มน้อยหน้าหวานดังทำลายความเงียบขึ้นมา “ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น อย่าได้ถือจริงจังไปเลย” รอยยิ้มบนใบหน้าละมุนละไมขึ้นอีกเท่าตัว “วางใจเถิด วันมะรืนนี้ข้าจะออกเดินทางแล้ว คงไม่อยู่รบกวนท่านสามและเจ้าพาบน้ำไปมากกว่านี้” สิ้นเสียงของนาง อาหารเช้าก็ปรุงเสร็จพอดี บุรุษทั้งสองจึงไม่มีโอกาสได้พูดอะไรออกมาอีก มื้อเช้าวันนี้ให้ความรู้สึกอึมครึมแปลกๆ แม้เบื้องหน้าจะเป็นอาหารที่มีสีสันน่าทานและรสชาติเอร็ดอร่อยเพียงใด ทว่ารังสีกดดันที่แผ่ออกจากผู้บาดเจ็บเสมือนกับเมฆหมอกสีดำทมิฬ จนคนใกล้ตัวรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เจ้าบ้านและฮูหยินหันมามองหน้ากัน สื่อสารกันผ่านแววตาก่อนจะเคลื่อนไปยังผู้ที่นั่งกินข้าวด้วยสีหน้ารื่นรมย์ การกินข้าวถือเป็นหนึ่งในความสุขสูงสุดของหนุ่มน้อยผู้นี้ ยามนี้ต่อให้ช้างป่ากำลังวิ่งมาเป็นฝูง เชื่อเถิดว่าเขาคงจะวิ่งไปกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย! “ข้าอิ่มแล้ว” หลี่ชุนวางตะเกียบเป็นคนแรก ชามข้าวที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งส่งผลให้หนิงเทียนขมวดคิ้ว “แผลเจ็บมากหรือ” นางเอ่ยถาม แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ แถมยังเดินกลับไปยังห้องราวกับไม่ได้ยิน ครั้นบานประตูปิดลง อิงซานจึงเปิดปากคุยกับหนุ่มหน้าหวานผู้ที่มีสีหน้างุนงง “เจ้าอย่าได้ถือสาเจ้าชุนเลย สหายกำลังจะจากกัน เจ้าชุนก็ย่อมต้องเสียใจเป็นธรรมดา” “ท่านสามก็กล่าวเกินไป ข้ากับเจ้าตะพาบน้ำพบกันโดยบังเอิญ อีกไม่นานก็ลาจาก ข้า...เหอปี้เวิ่นไม่กล้ารับคำว่า ‘สหาย’ ” อิงซานส่ายหน้ายิ้มๆ “แค่เจ้าแสดงว่าเป็นห่วงเจ้าชุนเมื่อครู่ ก็เท่ากับยอมรับเขาเป็นสหายแล้วมิใช่หรือ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็วจนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ส่วนพ่อค้าขายปลาก็มิได้ใส่ใจเท่าไร เพราะมัวแต่หันไปเอ่ยกับผู้เป็นภรรยาเสียงอ่อนเสียงหวาน “วันนี้ข้าต้องไปส่งปลาที่หมู่บ้านตงเจียง แล้วจะรีบกลับมานะจ๊ะ” “อย่าลืมดอกไม้ด้วยล่ะ ที่เจ้าเก็บกลับมาฝากเมื่อคราวก่อนหอมมาก ข้าชอบ” “หอมอย่างไรก็ไม่เท่าครึ่งหนึ่งของเจ้าหรอก เมียจ๋า” การหยอดคำหวานส่งผลให้หนิงเทียนรู้สึกขนลุก จำต้องขอตัวออกไปด้านนอกโดยด่วน อดคิดไม่ได้ว่าชาติคงไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้แน่ๆ และเรื่องการแต่งงานก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวเสียจนนางมิเคยคิดถึงมันมาก่อน... แต่ยามนี้นางเป็นอิสระแล้ว หรือว่าในอนาคตข้างหน้านางจะลงหลักปักฐาน แต่งงานกับบุรุษธรรมดาสักคนหลังจากที่เดินทางท่องเที่ยวมาอย่างยาวนานดีเล่า? หนิงเทียนคิดพลางหัวเราะเบาๆ อย่างไรเสีย มันก็ยังคงเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเกินไปสำหรับนาง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD