แววตาของหนิงเทียนซึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงมุมห้องฉายแววตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งเจ้าเรือนส่งเสียงขึ้นมาอีกครา “ข้าทราบแล้ว เจ้าออกไปได้” ซูเฉิ้งหนานพยักหน้า “ขอรับ” ทหารหนุ่มตอบรับอย่างแข็งขัน ก่อนจะก้าวถอยหลังออกจากห้องไป เท่านั้นเอง สีหน้าเรียบเฉยของเจ้าของดวงหน้ารูปหัวใจก็แปรเปลี่ยนไปในบัดดล รีบสาวเท้าตรงไปหาคนรับใช้กำมะลอแล้วเอ่ยอย่างร้อนรน “คุณชายเหอ...แคว้นอู๋กำลังจะเข้าตีเมืองแล้ว แต่พวกเขานำกำลังพลมาสี่หมื่นมิใช่หรือ เหตุใดจึงนำไพร่พลเพียงหนึ่งหมื่นมาบุกตีเมืองเล่า? ” ผู้ฟังคลี่ยิ้ม กิริยาสงบนิ่งดุจสายน้ำผิดกับท่าทีพุ่งพล่านดั่งใจเผาของผู้ถาม “ฝั่งอู๋คงสงสัยว่าในป่าวงกตจะมีกับดักจึงไม่อยากเสี่ยงนำคนมาทั้งหมด อีกอย่างหนึ่ง...พวกเขาจำต้องทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้เฝ้าค่ายดูแลเสบียง นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ทัพย่อยจะเป็นกำลังเสริมที่มุ่งเข้าโจมตีอย่างเหนือความคาดหมายในตอนท้าย” ทางเด