7.2 เบื้องหลังรอยยิ้ม

2427 Words
หนิงเทียนบรรจงสวมหน้ากากหนังมนุษย์กลับเข้าที่ จากดรุณีงดงามก็กลายเป็นเหอปี้เวิ่น เห็นทีนางต้องกลับไปยังบ้านอิงซาน พวกเขาคงทราบข่าวที่นางฝากไปแจ้งแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เพียงแค่จิตนาการหน้าของเจ้าตะพาบน้ำจมูกยื่นๆ ที่คงกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในบ้าน ดรุณีน้อยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน หลังจากนี้ชีวิตของหลี่ชุนคงจะปลอดภัยมากกว่าเก่า ขอเพียงแค่เขาไม่ย่างกรายเข้าไปเหยียบแผ่นดินแคว้นเกาอีกก็เป็นพอ ทีนี้จะได้ทางใครทางมันเสียที ร่างเปียกชุ่มคิดพลางคลี่ยิ้ม แล้วเริ่มออกตัวเดินมุ่งหน้ากลับไปยังเส้นทางซึ่งทอดตรงไปยังบ้านของพ่อค้าปลา ทว่าเดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อดวงตากลมโตมองเห็นร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนถือร่มอยู่ไกลออกไปกำลังหันซ้ายหันขวา เหมือนมองหาอะไรบางอย่างจนกระทั่งสายตาเคลื่อนมาจับจ้องอยู่ที่ร่างของนาง หลี่ชุนจ้องมองร่างบางที่เดินเอื่อยเฉื่อยท่ามกลางสายฝนตาไม่กระพริบ เป็นจังหวะเดียวกับที่ความชุ่มชื้นหยุดตกโปรยปรายลงมาพอดี ขาทั้งสองทำงานรวดเร็วกว่าสมองทันได้สั่งการเสียอีก เผลอไปครู่เดียวชายหนุ่มก็ใช้วิชาตัวเบาเหาะมายืนตรงหน้าหญิงสาว ร่มคันใหญ่ที่เคยถือก็ถูกลงบนพื้นอย่างไม่ใยดีในขณะที่เขาวางมือทั้งสองลงบนไหล่บางแล้วจับตัวนางหมุน ดวงตาสีชากวาดมองไปมาอย่างสำรวจท่ามกลางความสงสัยของหนิงเทียนที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นทายาทตระกูลหลี่เห็นว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่แววตากังวลและห่วงใยจะแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเคืองเสียจนหญิงสาวตามอารมณ์ไม่ทัน “เจ้า...เจ้า !” เขาตะโกนพลางเขย่าไหล่บางอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มวัยยี่สิบปีแดงเถือกในขณะที่มือยังคงเขย่าตัวนางต่อไปเสียจนนางเริ่มปวดคอ “เจ้า...!” “ก็ข้าน่ะสิ หรือเจ้าเห็นเป็นผู้อื่นกัน” หญิงสาวช่วยเขาพูดอีกแรง ซึ่งมันก็ทำให้หลี่ชุนได้สติพร้อมกับปล่อยมือออก เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าริมฝีปากของร่างที่เปียกปอนเริ่มกลายเป็นสีม่วงคล้ำ แสดงว่าคงตากฝนมาเป็นนานแล้ว “ทำไมถึงเดินตากฝนจนตัวเปียกเช่นนี้! ” เขาถามเสียงขุ่นในขณะที่จับแขนเรียว ดึงร่างของหนิงเทียนให้เดินกลับไปด้วยกัน “ก็ข้าไม่มีร่ม” นางตอบเสียงซื่อ ราวกับไม่รับรู้ถึงอารมณ์คุกกรุ่นของผู้ถาม “แล้วเหตุใดจึงไม่หาที่หลบฝนเล่า! ” เขาแทบจะพ่นไฟใส่หน้านางอยู่รอมร่อ ก่อนหน้านี้เขากางร่มเดินตามหานางเสียทั่วจนเขากังวลแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว มือใหญ่กร้านที่จับแขนเรียวอยู่สั่นระริก เขาเพิ่งสูญเสียครอบครัวของตนเองไปได้ไม่นาน หากเจ้าเหอปี้เวิ่นเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน...เขาจะทำเช่นไร คลื่นอารมณ์ที่เกิดจากความหวาดกลัวและความกังวลทำให้ชายหนุ่มระเบิดมันออกมา “เจ้าไปอยู่ไหนมา! ” “ข้าจะเป็นต้องบอกเจ้าด้วยหรือ” นางมิได้ยอกย้อน หลายวันที่ผ่านมามิเห็นว่าอีกฝ่ายจะสนใจเลยว่านางจะไปไหนมาไหน “แล้วเจ้าออกมาทำไม” นางรึถึงกับอุตส่าห์ยอมควักเงินจ่ายให้คนไปแจ้งมิให้หลี่ชุนออกมานอกบ้าน แล้วเหตุใดเขาจึงได้ออกมาลากนางกลับไปเช่นนี้เล่า! ในดินแดนแคว้นหยางแห่งนี้ มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่กล้าขัดคำสั่งของนาง หนิงเทียนไม่ได้โกรธ หากแต่สีหน้าของหนุ่มน้อยหน้าหยกกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจจนกระทั่งคนทั้งสองกลับมาถึงบ้านขนาดเล็กของอิงซาน พ่อค้าร่างหนากำลังยืนหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน เมื่อพบว่าคนทั้งสองกลับมาแล้วก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แต่สภาพของเจ้าเวิ่นที่ยืนตัวสั่นเหมือนลูกนกก็ทำให้เขารีบหลีกทางให้คนทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน เสียงฝีเท้าที่ย่ำเข้ามาภายในบ้านเรียกให้ฮูหยินวัยสาวชะเง้อหน้าออกมาจากห้องครัว สีหน้าหงิกงอเปลี่ยนกลายเป็นตกใจเมื่อเห็นร่างที่เปียกชุ่มจนทิ้งหยดน้ำไว้ตามพื้น สภาพไม่ต่างไปจากลูกหมาตกน้ำก็รีบทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี “ข้าจะไปเตรียมน้ำให้เจ้าอาบ” แม้น้ำเสียงของฮูหยินอิงจะขุ่นมัวเหมือนกำลังไม่สบอารมณ์ แต่มือเติมฟืนเพื่อต้มน้ำให้อย่างเร่งรีบด้วยความมีน้ำใจ “ขอบคุณฮูหยิน” หญิงสาวกล่าวในขณะที่ชายอีกสองคนต่างยืนแข็งทื่อ ไม่กล้าส่งเสียงราวกับมีความผิดติดตัว หนิงเทียนมองการตอบสนองของทั้งสองก่อนจะหัวเราะในลำคอ จากนั้นจึงเดินมาทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะอาหาร อิงซานรีบหาผ้าผืนหนาใหม่สะอาดมาห่มให้ ส่วนหลี่ชุนก็รินน้ำชาแล้วเลื่อนมาตรงหน้าใบหน้าหวานที่ซีดเซียวจากความหนาวเย็น ท่าทีการแสดงออกถึงความห่วงใยทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง จึงเอ่ยทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดและสร้างความขัดเขินแปลกๆ ขึ้นมา “พวกท่านมีอะไรอยากจะพูดก็พูดออกมาเถิด” “เจ้าไปไหนมา เหตุใดจึงบอกให้ข้ารั้งหลี่ชุนเอาไว้ในบ้าน” พ่อค้าขายปลาเข้าประเด็นเป็นคนแรกในขณะที่สายตาเบือนไปยังบริเวณสีข้างของหลี่ชุน หลังจากที่ชายหนุ่มตะโกนบอกเขาแบบนั้น อิงซานจึงรีบทำแผลให้เขาอย่างลวกๆ แล้วบอกให้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ พอเสร็จเรียบร้อยก็ไม่คิดจะรั้งคนที่คว้าร่มแล้ววิ่งออกจากบ้านไปอย่างรีบร้อนอีก ยอมรับว่าในทีแรกเขามัวแต่เป็นห่วงหลี่ชุนมากเกินไป กลัวว่าความแค้นจะทำให้เขาหุนหันพลันแล่น “พวกเจ้าคิดมากไปเอง ข้าเพียงฝากคนมาบอกให้พวกเจ้าทานอาหารกันในบ้านเพราะเห็นว่าฝนมันกำลังจะตก ส่วนข้าก็ว่าจะเดินเล่นอีกสักหน่อยจึงยังไม่อยากกลับ” เสียงดัดห้าวตอบ เอื้อมมือไปจับถ้วยชาแล้วยกขึ้นจิบ ของร้อนที่ไหลผ่านลำคอช่วยให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นมากขึ้น “แต่เจ้าฉีบอกว่าเจ้าเดินออกไปกับกลุ่มนักเลง” อิงซานยังคงไม่คลายความสงสัย ถึงแม้สภาพที่เปียกปอนของผู้ที่เพิ่งกลับมาจะปราศจากร่องรอยบาดเจ็บใดๆ ก็ตาม แต่ในเมื่อเพื่อนของเขาบอกว่าเหอปี้เวิ่นปะกับคนต่างถิ่นกลุ่มใหญ่ที่ดูอันตราย มิแน่ว่าอาจจะโดนข่มขู่มาก็เป็นได้ “อ๋อ...” ผู้ฟังลากเสียงยาวเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ก่อนจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะไม้ ท่าทีเหมือนเจ้าตัวดูมิใส่ใจมันเลยแม้แต่น้อย “แค่เรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้คลี่คลายแล้ว” หลี่ชุนที่สังเกตสีหน้าผู้เล่าตลอดขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโจรที่สังหารครอบครัวเขาจริงๆ น่ะหรือ? “เจ้าแน่ใจนะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ดวงตาสีชาจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของหนิงเทียนในขณะที่นางพยักหน้า “หากไม่มีอะไรจริง แล้วเหตุใดแววตาของเจ้าจึงได้เศร้าหมองเช่นนี้” ร่างบางที่ถูกห่มทับด้วยผ้าผืนหนาฟังพลางเลิกคิ้วสูง ก่อนจะทอดถอนหายใจพร้อมกับล้วงมือหยิบของบางอย่างออกจากอกเสื้อของตนเอง สิ่งที่หนิงเทียนหยิบออกมาคือพัดเล่มเล็กที่บริเวณกระดาษและกาวที่แปะติดถูกน้ำซึมเข้าใส่จนมีสภาพเปียกยุ่ย พร้อมกับเสียงเศร้าๆ ของเจ้าตัวที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ “พัดของข้ามันยับเยินเสียแล้ว” พัดเหล่านี้ช่างไม่ทนเอาเสียเลย เห็นทีหลังจากนี้นางคงต้องหาซื้อพัดขนห่านมาใช้ ครั้นชายหนุ่มพบว่าอีกฝ่ายกำลังเสียใจเรื่องพัด สีหน้าเคร่งเครียดก็หายวับไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน เจ้าเหอปี้เวิ่นทำให้เขาเป็นห่วงเก้อหรอกหรือนี่! “รีบไปอาบน้ำเสีย!” เขากล่าวจบก็เดินหัวเสียออกไปจากบ้าน ทิ้งให้หนิงเทียนที่ไม่รู้ว่าเขากำลังโกรธนางเรื่องอะไรมองตามตาปริบๆ “เจ้าชุนเขาเป็นห่วงเจ้า” “ห่วง? ” นางถามเสียงสูง คำๆ นี้หญิงสาวไม่ได้ยินมานานจนแทบจะลืมไปแล้ว “เขาห่วงข้าทำไมกัน” หลี่ชุนควรจะเป็นห่วงตนเองมากกว่าสิถึงจะถูก เรื่องเล็กเพียงนี้นางสามารถเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว “เพราะเขานับเจ้าเป็นสหายอย่างไรเล่า” ผู้เป็นเจ้าบ้านเอ่ยเสียงทุ้มห้าวพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เวลานี้ฮูหยินของเขากำลังอารมณ์เสีย ทางที่ดีเขาควรจะรีบออกไปหาดอกไม้สักช่อมาให้นางเพื่อให้ใจเย็นลง หนิงเทียนนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งอิงซานจากไปแล้วจึงเริ่มขยับตัว นางจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้พร้อมกับพึมพำเสียงแผ่ว “สหาย...” กล่าวจบก็เดินกลับเข้าไปยังห้องอาบน้ำ ปึง! เสียงปิดประตูดังขึ้นจากทางด้านหลัง ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังถังไม้บรรจุของเหลวร้อน ส่งควันสีขาวของไอน้ำให้ล่องลอยออกมา ฉับพลันภาพใบหน้าคมคายของใครผู้หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในห้วงคิด การพบเจอเพียงครั้งเดียวในถังน้ำ ณ หมู่บ้านตงเจียงกลับเป็นสิ่งที่สลักอยู่ในความทรงจำของหญิงสาวอย่างไม่มีทางสลัดมันออกไปได้ คนผู้นั้นคือท่านอ๋องห้า ฮั่วหลิงหวางแห่งแคว้นอู๋ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าดั่งรูปปั้นแกะสลักของทวยเทพที่ทำให้หญิงสาวเผลอจ้องมองมันอย่างตะลึงงัน ร่างทั้งร่างนิ่งค้างไปชั่วขณะราวกับถูกดวงตาพยัคฆ์คู่นั้นสะกดตรึงเอาไว้กับที่ หากไม่นับเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นผู้มีอำนาจในแคว้นที่จะเป็นศัตรูกับแคว้นหยางในอนาคตล่ะก็ ฮั่วหลิงหวางก็ถือว่าเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจคนหนึ่งเลยทีเดียว หนิงเทียนรู้สึกว่าตนเองเริ่มคิดสะระตะไปไกลก็ส่ายหน้าแรง คงเป็นเพราะนางตากฝนมานานแน่ๆ จึงได้คิดอะไรแปลกๆ ออกมาเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้จึงรีบจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าและหน้ากากออก ร่างสะคราญที่เปลือยเปล่าหย่อนตัวแช่ลงในถังน้ำ ความอุ่นร้อนแผ่ซึมไปทั่วร่าง เลือดลมที่กลับมาหมุนเวียนอีกครั้งส่งผลให้ใบหน้างามที่เคยซีดเซียวเริ่มมีเลือดฝาด เรือนผมสีน้ำตาลเข้มเงางามคลอเคลียใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้ม ท่าทีผ่อนคลายสบายอารมณ์อยู่ในที “...เพราะเขานับเจ้าเป็นสหายอย่างไรเล่า” คำพูดของอิงซานยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ส่งผลให้หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วน้อยๆ ในใจเกิดความเคลือบแคลงและไม่มั่นใจอยู่ในที นางไม่เคยมีสหาย แม้จะเคยมีคนที่ใกล้เคียงกับคำๆ นั้นผ่านเข้ามาในชีวิต แต่สุดท้ายจุดจบของมันมีเพียงสองอย่าง หากไม่เป็นเพราะหน้าที่และผลประโยชน์ อีกฝ่ายก็จะหายสาบสูญไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ครั้นยังเป็นเด็ก นางไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก แต่เมื่อเริ่มเติบโตและได้เห็นสิ่งต่างๆ มากยิ่งขึ้นจึงเริ่มเข้าใจ คนที่นางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนมิได้ทิ้งนางไป แต่เป็นเพราะพวกเขาถูกกันให้ออกห่างจากนางต่างหาก อาจารย์บอกกับว่านางไม่จำเป็นต้องมีสหาย ในเมื่อชั่วชีวิตของนางมีหน้าที่ต้องใส่ใจคนเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อความสบายและความเงียบสงบกลับมา หนิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาจับจ้องกำแพงไม้ในห้องอาบน้ำแคบๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะกลั้นหายใจพร้อมกับจุ่มศีรษะลงไปในน้ำ ภาพของบางสิ่งปรากฏขึ้นมาในมโนภาพ เป็นซากศพของกองโจรต่างถิ่นที่หญิงสาวไม่รู้จักแม้แต่ชื่อที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง นางเห็นศพคนตายมามากจนไม่อาจนับได้ทั้งหมด ทว่าก็ยังไม่ชินกับมันอยู่ดี คิดพลางดึงศีรษะให้พ้นออกจากน้ำในถัง ใบหน้างดงามแหงนขึ้นมองเพดานในขณะที่ดวงตากลมโตฉายประกายเศร้าสร้อยอย่างที่ผู้อื่นไม่มีวันได้เห็นมัน คนร้ายเหล่านั้นสมควรตาย แต่นางไม่เคยชื่นชอบการเข่นฆ่า หลายๆ ครั้งมันถือเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะหน้าที่ที่นางเคยทำเมื่อครั้นยังอาศัยอยู่ในเมืองหลวง... “นึกไม่ถึงว่าเจ้าตะพาบน้ำจะดูออก” เสียงหวานปราศจากการดัดห้าวเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป ก่อนที่มันจะถูกกลบทับด้วยเสียงวักน้ำเมื่อนางเริ่มลงมือสระเรือนผมของตนเอง หลังจากหนิงเทียนอาบน้ำเสร็จแล้ว หลี่ชุนก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับนางเพราะนางชิ่งหนีไปหลับเสียก่อนด้วยความเหนื่อยล้า และครั้นเขาตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็หงุดหงิดทันทีเมื่อเห็นเตียงของเจ้าคนชอบกวนประสาทนั่นว่างเปล่าเสียแล้ว! ชายหนุ่มยืนจ้องมองเตียงที่ว่างเปล่าราวกับกำลังสวดมนต์สาปแช่งคนที่จากไปตั้งแต่ก่อนรุ่งสางอยู่ในใจ ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะบิดเบี้ยวเมื่อความเจ็บปวดจากแผลที่ฉีกขาดจนเกิดอักเสบอีกเป็นระลอกสอง เจ้าเหอปี้เวิ่นจะทำตัวลึกลับไปถึงไหน... เจอหน้ากันมาตั้งหลายวัน แต่หลี่ชุนกลับรู้สึกเหมือนเขามิได้รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD